The Grandmaster : After Tang Chang บทสนทนากับ จ่าง แซ่ตั้ง ศิลปินระดับปรมาจารย์แห่งศิลปะสมัยใหม่ไทย โดย วิชิต นงนวล | IAMEVERYTHING.CO

LOOKING ON EVERYTHING ?

EXPLORE ON EVERYTHING

The Grandmaster : After Tang Chang บทสนทนากับ จ่าง แซ่ตั้ง
ศิลปินระดับปรมาจารย์แห่งศิลปะสมัยใหม่ไทย โดย วิชิต นงนวล
Writer: Panu Boonpipattanapong
Photographer: Mc Suppha-riksh Phattrasitthichoke

  ในยุคสมัยปัจจุบัน ที่ความคิดสร้างสรรค์กลายเป็นสินทรัพย์เปี่ยมมูลค่า การจดลิขสิทธิ์หรือทรัพย์สินทางปัญญาเป็นสิ่งที่ทํากันเป็นปกติในโลกของทุนนิยม การลอกเลียนแบบ จึงนับเป็นความผิดร้ายแรง ทั้งทางกฎหมายและจริยธรรม

  หากแต่ในยุคอดีต ก่อนระบบทุนนิยมจะถือกําเนิด ยังไม่มีแนวคิดเรื่องลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญา การลอกเลียนแบบในโลกของการสร้างสรรค์ ถือเป็นการศึกษาเรียนรู้ ศึกษาในสิ่งที่คนรุ่นก่อนหน้าสร้างสรรค์มา เรียนรู้ทักษะในการใช้ชีวิตและสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ เฉกเช่นเด็กทารกหรือสิ่งมีชีวิตที่ถือกําเนิดใหม่ เรียนรู้การเดินเหิน หาอาหาร ใช้ชีวิต หรือฝึกทักษะในการดํารงชีพจากบุพการีผู้ให้กําเนิด หรือคนในรุ่นก่อนหน้าที่ถือกําเนิดเกิดมาก่อนตนเอง
  ในโลกศิลปะ การลอกเลียนแบบครูบาอาจารย์ หรือคัดลอกผลงานของศิลปินชั้นครูในยุคก่อนหน้า ก็เป็นวัตรปฏิบัติที่ทํากันเป็นปกติ ไม่ว่าจะเป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่อย่าง ปาโบล ปิกัสโซ (Pablo Picasso) และ ซัลบาดอร์ ดาลี (Salvador Dali) เอง ในช่วงวัยเยาว์ก็ลอกเลียนแบบผลงานของศิลปินระดับปรมาจารย์อยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลงานของศิลปินคนสําคัญที่สุดของยุคทองสเปน (Spanish Golden Age) อย่าง ดิเอโก เบลาสเกซ (Diego Velázquez) ที่ศิลปินรุ่นเยาว์ทั้งสองต่างคัดลอกเพื่อศึกษาเรียนรู้ฝีไม้ลายมือของศิลปินบรมครู จนก้าวมาเป็นศิลปินเอกแห่งยุคสมัยได้ในที่สุด

  หรือจิตรกรชาวดัตช์ในศตวรรษที่ 18 ฆอร์ริตต์ ลุนเดนส์ (Gerrit Lundens) ที่คัดลอกภาพวาดชิ้นเอกของ เรมบรันต์ (Rembrandt) ศิลปินเอกแห่งยุคทองของดัตช์ (Dutch Golden Age) อย่าง The Night Watch (1642) โดยลุนเดนส์คัดลอกภาพวาดนี้ขึ้นในปี 1642-1655 ในช่วงที่ภาพจริงเพิ่งวาดเสร็จใหม่ๆ แบบเหมือนเป๊ะทุกกระเบียดนิ้ว เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่าของจริงมาก

  แต่อย่าเพิ่งปรามาสกันไปก่อน ว่าการคัดลอกภาพนี้เป็นแค่ของเก๊ทําเลียนแบบที่ไร้คุณค่า เพราะ ความดีงามของภาพก็อปปี้ภาพนี้ก็คือ มันทําให้นักประวัติศาสตร์ศิลปะรุ่นหลังค้นพบข้อเท็จจริงหลาย ประการเกี่ยวกับภาพวาด The Night Watch ของจริง อย่างเช่นการที่ภาพวาดจริงมีองค์ประกอบบาง อย่างในภาพที่หายไป เพราะภาพวาดก็อปปี้ภาพนี้ดันมีฉากหลังและตัวละครมากกว่าภาพจริงเสียนี่!
   ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะภาพ The Night Watch ของจริงนั้นเคยถูกเจ้าของใหม่ที่ซื้อภาพนี้ต่อมาอีกทอด หนึ่งในปี 1715 ตัดเฉือนขอบของภาพทั้งสี่ด้านออกไปหลายนิ้ว เพื่อให้แขวนโชว์อยู่ตรงกลางระหว่าง ประตูสองข้างในอาคารศาลาว่าการเมืองอัมสเตอร์ดัมได้ (ซึ่งเป็นเรื่องที่ทํากันเป็นปกติในยุคก่อน ศตวรรษที่ 19) ผลลัพธ์ก็คือ บุคคลทางซ้ายของภาพหายไปสองคน และภาพก็สูญเสียมิติ ทั้งความกว้างและความลึกไป ที่น่าเสียดายอย่างยิ่งก็คือ ไม่มีใครค้นพบขอบภาพที่ถูกตัดออกไปอีกเลยจวบจนทุกวันนี้ แถมแสงสว่างอันจัดจ้าในภาพวาดก็อปปี้ภาพนี้ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เดิมทีภาพต้นฉบับภาพนี้วาดฉากตอนกลางวัน ไม่ใช่ฉากตอนกลางคืนอย่างที่ชื่อภาพนี้ (ที่ตั้งขึ้นในภายหลัง) อ้างเอาไว้เสียหน่อย กว่าที่นักประวัติศาสตร์ศิลปะรุ่นหลังจะรู้ว่าภาพจริงถูกเฉือนออกไป และเป็นฉากในตอนกลางวัน ก็ตอนที่ได้ไปเห็นภาพวาดก็อปปี้ภาพนี้นี่แหละ

  เหตุการณ์นี้เป็นอุทาหรณ์ให้เรารู้ว่า การก็อปปี้ก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป เพราะอย่างน้อยที่สุด ก็ทําให้เราได้รู้ว่าผลงานต้นฉบับของจริงในช่วงเวลาที่เสร็จสมบูรณ์นั้นมีความดีงามขนาดไหน
  ไม่ต่างอะไรกับศิลปินร่วมสมัยสัญชาติไทยอย่าง วิชิต นงนวล ที่หลงใหลศรัทธาในผลงานของศิลปินระดับปรมาจารย์ในยุคสมัยใหม่ของไทยอย่าง จ่าง แซ่ตั้ง ตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ ในวัยของนักเรียน นักศึกษา เรื่อยมาจนเติบโตเป็นศิลปินอาชีพ ความหลงใหลศรัทธาที่ว่าก็ยังไม่จางหาย หากแต่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็สุกงอมออกดอกผลเป็นผลงานศิลปะในนิทรรศการ The Grandmaster : After Tang Chang ที่เป็นเสมือนหนึ่งการสร้างบทสนทนากับศิลปินระดับปรมาจารย์ผู้นี้

  ด้วยความที่ จ่าง แซ่ตั้ง เป็นศิลปินที่วิชิตประทับใจมาตั้งแต่เริ่มเรียนศิลปะ จากการที่เขาเคยได้เห็นผลงานและได้ยินเรื่องราวของจ่างมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน จากความประทับใจกลายเป็นภาพจํา เมื่อ เขาได้รู้จักจ่างมากขึ้นในช่วงเวลาที่เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยศิลปากร พอเวลาผ่านไป วิชิตก็มีโอกาสได้รู้จักกับทิพย์ แซ่ตั้ง ลูกชายของอาจารย์จ่าง ทําให้ได้มีโอกาสได้ชมผลงานและเรียนรู้เรื่องราวชีวิตของจ่างมากยิ่งขึ้น วิชิตกล่าวว่า นับแต่เด็กจนโตที่ได้ดูงานศิลปะ มีเพียงผลงานของจ่าง ที่ยิ่งได้ดูชมเยอะเท่าไรเขาก็ไม่รู้สึกเบื่อ มีแต่จะชื่นชมและหลงใหลยิ่งขึ้นไปอีก
  ความหลงใหลที่ว่านี้นี่เอง ที่ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นบทสนทนาของเขากับศิลปินที่เขาหลงใหลศรัทธา ในหลากหลายวิธีการ หากแต่สามารถจําแนกแยกออกมาเป็นสามแนวทาง

  แนวทางแรกคือการจําลองผลงานของ จ่าง แซ่ตั้ง ทั้งการลอกเลียนอย่างตรงไปตรงมาด้วยการคัดลอก ผลงานจริงให้ใกล้เคียงต้นฉบับที่สุดเท่าที่จะทําได้ ซึ่งปรากฏเป็นผลงานที่คล้ายคลึงกับต้นฉบับอย่างแนบเนียน แม้แต่ร่องรอยของกาลเวลาอย่างคราบใคลเก่าคร่ําคร่าและรอยเปื่อยขาดบนผืนผ้าใบ
  ถึงแม้ผลงานชิ้นจริงของจ่างชิ้นนี้จะใช้สีอีพอคซี่สําหรับทาเรือ (Marine paint) ในการวาดภาพ แต่ด้วยอายุของภาพที่ผ่านกาลเวลาอันยาวนานหลายสิบปี ทําให้ไม่สามารถใช้เทคนิคแบบเดียวกันสร้างพื้นผิวและร่องรอยแบบเดียวกันขึ้นมาได้ วิชิตจึงเลือกใช้เทคนิควิธีการที่แตกต่างจากต้นฉบับด้วยการใช้สีอะคริลิครองพื้นด้วยสีน้ํามันแทน แม้แต่รอยขาดเปื่อยของภาพ เขาก็ใช้มีดค่อยๆ สับทีละนิด เพื่อให้มีความขาดเปื่อยคล้ายกับของจริง

   หรือการสร้างผลงานของจ่างขึ้นมาใหม่ จากความทรงจําที่เคยได้สังเกตและสัมผัสด้วยตา ทั้งสีสัน ร่องรอยฝีแปรง ฝีมือ หรือแม้กระทั่งฝีเท้าของจ่างที่ปรากฏบนผืนผ้าใบ และการศึกษากระบวนการทํางาน วิถีปฏิบัติ ตลอดจนประเภทของสีและวัสดุในการสร้างสรรค์ผลงานจากการบอกเล่าจากปากของทายาทของจ่างโดยตรง จนปรากฏเป็นผลงานที่ถึงแม้จะไม่เหมือนกับผลงานต้นฉบับของจ่างชิ้นใดเลยสักชิ้น หากแต่ก็สามารถเก็บเอาอารมณ์ ความรู้สึก และจิตวิญญาณแบบจ่างออกมาให้เราได้ สัมผัสอย่างครบถ้วน ราวกับเป็นการพลิกฟื้นคืนชีวิตจ่างให้หวนกลับมาสร้างสรรค์ผลงานชิ้นใหม่ขึ้นมาก็ไม่ปาน
   ด้วยการทํางานในลักษณะนี้ วิชิตเลือกที่จะไม่ดูแบบผลงานต้นฉบับเลยแม้แต่ชิ้นเดียว หากพยายามสวมวิญญาณเป็นจ่างไม่ต่างกับนักแสดง ด้วยการศึกษาปรัชญาความคิด อ่านหนังสือลัทธิเต๋าและเซน แบบเดียวกับจ่าง เพื่อให้ตัวเองเข้าถึงความเป็นจ่างให้ได้ เขาใช้เวลาหมดไปกับกระบวนการนี้กว่าสัปดาห์ กว่าที่จะสร้างสรรค์ผลงานขึ้นมาได้ ผลลัพธ์จากกระบวนการที่ว่านี้ยังทําให้เขาเรียนรู้อะไรบางอย่างจากจ่างอีกครั้ง ยกตัวอย่างเช่น ผลงานภาพวาดสีดําในดํา ที่วิชิตทําขึ้นจากการศึกษาผลงานภาพวาดสีดําของจ่าง ที่มีเพียงแค่สีดําสีเดียวก็ทํางานได้ ต่างกับตัวเขาเวลาทํางานที่ต้องเตรียมผืนผ้าใบสะอาดเรียบร้อย พู่กันล้างสะอาด และสีพร้อมสรรพ ถึงจะเริ่มต้นทํางานได้ การสวมบทบาทในการทํางานแบบจ่าง ผู้สามารถวาดภาพได้ในทุกสถานการณ์ ก็เป็นการลดอัตตาของตัวเขาเองในรูปแบบหนึ่งเช่นเดียวกัน

   ซึ่งวิถีการทํางานเช่นนี้ คล้ายคลึงกับกระบวนการทํางานของศิลปินร่วมสมัยคนสําคัญในโลกศิลปะ อย่าง เอเลน สตัวร์เดอวันด์ (Elaine Sturtevant) ศิลปินหญิงชาวอเมริกัน ผู้เป็นที่รู้จักจากการลอกเลียน ทําซ้ํา และสร้างผลงานของศิลปินคนอื่นขึ้นมาใหม่ การเลียนแบบทางศิลปะของเธอก่อให้เกิดการถกเถียงในวงการศิลปะในช่วงปลายยุค 1960 และ 1970 อย่างกว้างขวาง จนเธอได้รับฉายาว่า Queen of Copycats (ราชินีแห่งการลอกเลียนแบบ) สตัวร์เดอวันด์ลอกเลียนแบบผลงานของศิลปินระดับตํานานในยุคสมัยใหม่อย่าง แอนดี้ วอร์ฮอล (Andy Warhol), รอย ลิคเทนสไตน์ (Roy Lichtenstein), คเลส์ โอเดนเบิร์ก (Claes Oldenburg), แจสเปอร์ จอห์น (Jasper Johns), โจเซฟ บอยส์ (Joseph Beuys) และ มาร์เซล ดูชองป์ (Marcel Duchamp) ไปจนถึงศิลปินร่วมสมัยอย่าง แอนเซล์ม คีเฟอร์ (Anselm Kiefer), พอล แมคคาร์ธี (Paul McCarthy) และ เฟลิกซ์ กอนซาเลส-ตอร์เรส (Felix Gonzalez-Torres) ฯลฯ

   และการลอกเลียนแบบของสตัวร์เดอวันด์ ก็ไม่ใช่ว่าสักแต่ลอกเลียนแบบเปล่าๆ ปลี้ๆ เพราะเป้าหมาย ของเธอไม่ใช่การสร้างของเลียนแบบที่เหมือนเป๊ะ หากแต่เธอสร้างงานศิลปะเหล่านั้นขึ้นมาใหม่จาก ความทรงจําของเธอ และศึกษาเทคนิคการสร้างงานของศิลปินที่เธอกําลังเลียนแบบอย่างลึกซึ้ง และ ขับเน้นความแตกต่างจากการลอกเลียนแบบอย่างไร้ความคิดสร้างสรรค์ จากการทํางานด้วยสมองและสองมือของเธอเอง โดยไม่อาศัยเครื่องจักรกลใดๆ ในการช่วยบันทึก คัดลอก หรือทําสําเนาแต่อย่างใด ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับกระบวนการศึกษาและสร้างผลงานของ จ่าง แซ่ตั้ง ขึ้นมาใหม่จากความทรงจําและการศึกษาเรียนรู้วิถีการทํางานของศิลปินระดับปรมาจารย์ผู้นี้ของวิชิตนั่นเอง ต่างกันก็ตรงที่ สตัวร์เดอวันด์ลอกเลียนแบบผลงานของศิลปินทั้งหลายโดยไม่มีการขออนุญาตศิลปินเหล่านั้นแต่อย่างใด หากแต่วิชิตนั้นขออนุญาตลอกเลียนแบบผลงานของจ่างจากทายาทของศิลปินผู้นี้อย่างถูกต้องตามทํานองคลองธรรมนั่นเอง

  แนวทางที่สอง คือการสร้างบทสนทนาด้วยการตีความผลงานของ จ่าง แซ่ตั้ง ขึ้นมาใหม่ในรูปแบบ และเทคนิคการทํางานอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของวิชิต ไม่ว่าจะเป็นการจําลองหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของจ่างอย่าง “ไม่มีชื่อ (14 ตุลาคม)” (1973) หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อว่า “ตัดมือกวี ควักตาจิตรกร” ภาพวาดชิ้นสําคัญที่แสดงออกถึงอุดมการณ์ทางการเมืองในการใฝ่หาเสรีภาพประชาธิปไตยและการต่อต้านเผด็จการของจ่าง ซึ่งเป็นหนึ่งในผลงานที่ถูกนําไปจัดแสดงในสถาบันทางศิลปะสมัยใหม่ และศิลปะร่วมสมัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอย่าง ศูนย์ศิลปะและวัฒนธรรมแห่งชาติฌอร์ฌ ปง ปีดู (Centre Pompidou) ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

   หากวิชิตไม่ได้จําลองผลงานชิ้นนี้ขึ้นมาอย่างซื่อตรงเหมือนต้นฉบับ แต่เขากลับตีความผลงานชิ้นนี้ขึ้นมาใหม่ด้วยการสร้างขึ้นจากกระบวนการปักร้อยพรมขนสัตว์ (Wool Tapestry) โดยใช้วัสดุ เส้นใยสิ่งทอจากธรรมชาติ แทนการใช้สีสันบนผืนผ้าใบ ถึงแม้เส้นใยสิ่งทออย่างขนสัตว์อันนุ่มนวล ละมุนละไม จะลดทอนความรุนแรงแข็งกร้าวของร่องรอยบนผืนผ้าใบ และอารมณ์ความรู้สึกอันเคร่งเครียดจริงจังจนท้วมท้นล้นหลั่งของงานชิ้นนี้ลงในระดับหนึ่ง หากแต่ผู้ชมอย่างเราก็ยังคงสัมผัสถึงปณิธานอันแรงกล้าในการประท้วงต่อต้านการล่วงละเมิดและปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนที่จ่างส่งผ่านภาพนี้ออกมาได้อยู่ดี ถึงแม้จะเป็นผลงานที่ถูกตีความใหม่ก็ตาม

  ด้วยความที่ในช่วงเวลาก่อนหน้า วิชิตเคยเรียนปักพรมในเวิร์คช็อปปักพรมที่ Tentacles Art Space กับอาจารย์ที่จบจากสถาบัน Central Saint Martins หลังจากนั้นเขาก็ฝึกฝนเทคนิคนี้อยู่ 5 ปี จนรู้สึกว่าเทคนิคปักพรมสามารถทํางานได้หลายอย่าง เขาจึงหยิบเอาเทคนิคนี้นํามาใช้ทํางานในนิทรรศการครั้งก่อนหน้า (Obsess : หลง) เรื่อยมาจนถึงนิทรรศการในครัั้งนี้
  วิชิตยังใช้กระบวนการเดียวกันนี้ บอกเล่าเรื่องราวของจ่างและครอบครัว ผ่านการจําลองภาพถ่ายของ จ่าง, ภรรยา, ทายาทของเขา และเหล่าบรรดาสานุศิษย์ ที่วิชิตได้มีโอกาสคลุกคลีใกล้ชิด ด้วยการปัก ทอร้อยเรียงเส้นใยขนสัตว์ ทั้งภาพใบหน้าของจ่างเอง ภาพของ เซี๊ยะ แซ่ตั้ง ภรรยาของเขา และภาพหมู่ครอบครัวแซ่ตั้ง นอกจากจะเป็นการรื้อฟื้นหลักฐานแห่งความทรงจําของครอบครัวศิลปินเอกผู้นี้ขึ้นมาใหม่ให้ผู้ชมได้รับรู้แล้ว ในอีกนัยหนึ่ง การปักร้อยเส้นใยธรรมชาติอันนุ่มนวลอ่อนโยนให้กลายเป็นภาพของครอบครัวแซ่ตั้ง ก็เปรียบเสมือนสายใยแห่งความผูกพันที่ร้อยรัดสมาชิกครอบครัวเหล่านี้เข้าไว้ด้วยกันอย่างแน่นแฟ้น และสายสัมพันธ์และความรักของเหล่าบรรดาทายาทรุ่นหลังนี่เอง ที่ร่วมแรงร่วมใจกันโอบอุ้ม เกื้อหนุน และผลักดันให้ผลงานของบุพการีและบรรพบุรุษของพวกเขาก้าวไปสู่เวทีและสายตาของสากลโลกได้ในที่สุด

   ในนิทรรศการครั้งนี้ นอกจากวิชิตจะนําเสนอผลงานของ จ่าง แซ่ตั้ง ผ่านมุมมองของเขาแล้ว เขายังต้องการนําเสนอเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัวแซ่ตั้งอีกด้วย ด้วยความที่ติดตามครอบครัวนี้มา อย่างยาวนานตั้งแต่รุ่นของจ่าง มาจนถึงรุ่นลูกและหลานของจ่าง ที่ทําหน้าเพื่อผลงานของพ่อและปู่อย่างเข้มแข็ง เขามองว่า ถึงแม้คนในครอบครัวนี้ต่อสู้ฝ่าฟันกันอย่างหนัก หากแต่ก็มีจิตใจดีและมีเมตตากับผู้อื่น ถึงแม้วิชิตจะไม่มีโอกาสได้เจอจ่างโดยตรง แต่เขามีโอกาสได้เจอคุณแม่เซี๊ยะ ภรรยาของจ่าง มารดาของทิพย์ ในครั้งแรกที่เขาไปเยือนครอบครัวนี้ ทําให้เขาสัมผัสถึงความเป็นมิตรและความเมตตาของเธอ ถึงแม้เธอจะไม่ค่อยพูดอะไรนัก เขาจึงอยากเล่าความรู้สึกประทับใจออกมาให้ผู้คนได้รับรู้

   แนวทางที่สาม คือการสร้างบทสนทนาด้วยการจําลองรูปกายของจ่างและเหล่าบรรดาทายาทของเขา อย่างลูกชายและหลานๆ ขึ้นมาใหม่ ในรูปของประติมากรรมสามมิติ ด้วยเทคนิคและกระบวนการสร้างสรรค์ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปักทอขนสัตว์ หรือการใช้กระบวนการทํางานอันเป็นรากฐานแต่ดั้งแต่เดิมของวิชิต อย่างการทํางานเครื่องเคลือบดินเผาหรือ เซรามิก วิชิตยังตอกย้ําสายใยแห่งความผูกพันอันแนบแน่นของครอบครัวนี้ ผ่านกระบวนการเคลือบสีและลวดลายของ ประติมากรรมเซรามิก ด้วยการนําชิ้นส่วนจากภาพใบหน้าของจ่างและทายาททั้งสองรุ่นอย่าง ทิพย์, นวภู และ ภูมรพี มาปะติดปะต่อเข้าด้วยกันจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน ราวกับจะเป็นการบอกกลายๆ ว่า ความสําเร็จของปรมาจารย์อย่างจ่างนั้น นอกจากจะมาจากอัจฉริยภาพและปณิธานอันมุ่งมั่นแรงกล้าของเขาแล้ว ยังประกอบสร้างขึ้นจากแรงผลักดันด้วยความเพียรพยายามอย่างแรงกล้าของครอบครัวและทายาทของเขาด้วยเช่นกัน

  ลักษณะของการปะติดปะต่อเช่นนี้ ยังปรากฏในผลงานประติมากรรมศีรษะที่ประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนใบหน้าของจ่างและทายาท ที่เผยให้เห็นร่องรอยของการปะติดปะต่อชิ้นส่วนที่แตกเป็นชิ้นๆ เข้าด้วย กัน ด้วยกระบวนการที่ล้อเลียนภูมิปัญญาโบราณของญี่ปุ่นในการซ่อมแซมเครื่องปั้นดินเผาที่แตกหัก เสียหายอย่าง คินสึงิ (Kintsugi) แต่ก็เป็นเช่นการตีความภาพวาดสีน้ํามันของจ่างด้วยการทอเส้นใยขนสัตว์ กรรมวิธีของวิชิตก็หาใช่กระบวนการทําคินสึงิโดยแท้ หากแต่เป็นกระบวนการทางเซรามิคที่ให้ผลคล้ายคลึงกับคินสึงิเท่านั้น นี่แสดงให้เห็นถึงอารมณ์ขันอันยียวนและความไม่ยึดติดกับขนบเดิมๆ และอุปนิสัยในการแสวงหาเส้นทางใหม่ๆ ในการทํางานสร้างสรรค์ของวิชิตนั่นเอง

   ที่สําคัญ กระบวนทํางานของวิชิตที่ล้อวิถีการซ่อมแซมสิ่งของแบบคินสึงิ ที่เป็นภูมิปัญญาในการ ซ่อมแซมวัตถุสิ่งของที่เก็บรักษาความเสียหายของวัตถุและเปิดเผยให้เห็นร่องรอยของความชํารุดอย่างชัดเจน อันเป็นปรัชญาแบบตะวันออก ต่างกับการซ่อมแซมวัตถุสิ่งของอย่างสมบูรณ์แบบจนไร้ร่องรอยความชํารุดเสียหาย อันเป็นปรัชญาแบบตะวันตก ก็สะท้อนวิถีทางและปรัชญาการทํางานของจ่าง ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากภูมิปัญญาและปรัชญาแบบตะวันออก มากกว่าจะได้รับอิทธิพลจากวิถีทางศิลปะแบบตะวันตก เฉกเช่นศิลปินในกระแสความเคลื่อนไหวแบบศิลปะสมัยใหม่ของไทยในยุคสมัยเดียวกัน

   ในนิทรรศการครั้งนี้วิชิตยก ทิพย์ แซ่ตั้ง เป็นตัวละครหลักในการดําเนินเรื่องราว เหตุเพราะทิพย์เป็นผู้ดูแลงานของจ่าง บิดาของเขา ก่อนที่จะส่งไม้ต่อให้ลูกชายอย่าง นวภู เป็นผู้กํากับดูแลงานของปู่ต่ออีกทอดหนึ่ง วิชิตจึงใช้ศีรษะของทิพย์เป็นประติมากรรมหลัก และหยิบเอาภาพของอวัยวะบนใบหน้า อย่าง ดวงตา หู จมูก ปาก คิ้ว ของจ่าง ลูกชาย และหลานๆ 2 คน มาติดสลับกันไปมาโดยใช้เทคนิครูปลอกดีแคล (Decal) สร้างพื้นผิวของประติมากรรมศีรษะนี้แบบเดียวกับการพิมพ์ลวดลายบนภาชนะเซรามิก เขายังจงใจเผาประติมากรรมเซรามิกด้วยอุณหภูมิที่สูงเกินขีดจํากัดเพื่อทําให้งานระเบิดอย่างเป็นธรรมชาติ และเก็บเศษชิ้นส่วนที่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ทําเครื่องหมายเอาไว้ โดยใช้เวลา 3 วันค่อยๆ ปะติดปะต่อกันเพื่อเลียนแบบเทคนิคคินสึงิขึ้นมา แต่ใช้กาวและสีทองทาโบสถ์แทน การใช้ยางรักของคินสึงิ

  วิชิตยังแสดงออกถึงวิถีคิดแบบตะวันออกของจ่าง ผ่านการลอกเลียนแบบรูปเล่มหนังสือวรรณกรรมที่เป็นผลงานการแปลของจ่าง อย่าง “อา Q” บทประพันธ์ของ หลู่ซิ่น นักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของจีนยุคใหม่ ที่สะท้อนภาพของสังคมจีนก่อนเกิดเหตุการณ์โค่นล้มราชวงศ์ชิง ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในหนังสือต้องห้ามในยุคสมัยหนึ่งของสังคมไทย ด้วยการจําลองภาพของกองหนังสือ “อา Q” ฉบับแปลของจ่าง ที่มอดไหม้จากการถูกเผาไฟ ชะตากรรมของหนังสือเหล่านี้ยังสะท้อนไปถึงยุคสมัยแห่งการสิ้นไร้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนที่ปรากฏในผลงานชิ้นเอกของจ่างอย่าง ตัดมือกวี ควักตาจิตรกร อีกด้วย

  ด้วยความที่ อา Q เป็นหนังสือที่จ่างแปลจากภาษาจีนเป็นภาษาไทย ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ตีแผ่การแบ่ง ชนชั้นทางสังคม จนถูกรัฐบาลสั่งให้เป็นหนังสือต้องห้าม วิชิตจึงใช้เทคนิคทางเซรามิกหลายรูปแบบ ทั้งการเผาเคลือบแบบรากุ (Raku) การเผาด้วยเตาไฟฟ้า และการทําปกหนังสือด้วยเทคนิคดีแคล และนําไปรมควันเพื่อให้เขม่าควันเกาะตัวงานจนดูคล้ายกับหนังสือที่ถูกเผานั่นเอง

  ด้วยพื้นเพที่เรียนจบในสาขาเซรามิก และทําผลิตภัณฑ์เซรามิกขายส่งออกมาหลายปี ก่อนที่จะถึง จุดอิ่มตัว และรู้สึกเหนื่อยจนทําให้เขาเลิกทํางานเซรามิก และหันมาทํางานจิตรกรรมแทนเป็นเวลาหลายปี แต่เมื่อมีโอกาสทํานิทรรศการแสดงเดี่ยว วิชิตจึงนําวิชาความรู้ทางเซรามิกมาใช้ทํางานอีกครั้ง ถึงกระนั้น เขาก็ไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นศิลปินเซรามิก หรือศิลปินในสาขาไหนอย่างจําเพาะเจาะจง หากแต่เป็นศิลปินร่วมสมัยที่ทํางานศิลปะในหลากหลายแนวทางมากกว่า

  ในนิทรรศการยังมีผลงานประติมากรรมครึ่งตัวรูปของ ทิพย์ แซ่ตั้ง หล่อจากเทียนไข ที่สามารถจุดได้จริงๆ โดยวิชิตสร้างผลงานชิ้นนี้ขึ้นจากความประทับใจในการใช้ชีวิตของทิพย์ ที่เป็นเสมือนหนึ่งผู้จุดตัวเองเป็นเชื้อไฟ ไม่เพียงในการอุทิศตนเองเพื่อดูแลรักษาและผลักดันผลงานศิลปะของพ่อให้คนในสากลโลกได้รับรู้ หากแต่ยังเป็นคนที่มักจะออกหน้าท้าชนโดยไม่หวั่นหน้าอินทร์หน้าพรหม เมื่อพบเห็นความอยุติธรรม ความไม่ชอบธรรม หรือความไม่ชอบมาพากลในสังคมศิลปะประเทศไทย

  วิชิตยังถ่ายทอดความหลงใหลศรัทธาในตัวของศิลปินระดับปรมาจารย์อย่าง จ่าง แซ่ตั้ง ผ่านผลงานศิลปวัตถุที่กินได้ในรูปของ ช็อกโกแลต ซึ่งคล้ายคลึงกับแนวคิดแบบสุนทรียศาสตร์เชิงสัมพันธ์ (Relational Aesthetics) อันเป็นแนวทางศิลปะที่แหวกขนบธรรมเนียมเดิมๆ ทางศิลปะ ด้วยการเปิด โอกาสให้ผู้ชมเข้ามามีปฏิสัมพันธ์ตอบโต้กับผลงานศิลปะ เพื่อลดช่องว่างระหว่างศิลปะกับผู้ชม แนวทางนี้นอกจากจะเป็นการสะท้อนถึงความเป็นศิลปินหัวก้าวหน้าผู้มาก่อนกาล (Avant-garde) ผู้มักจะทดลองแนวทางการทํางานศิลปะในรูปแบบ กระบวนการ และแนวคิดใหม่ๆ โดยไม่ยึดติดขนบเดิมๆ ของจ่าง และการใช้เทคนิคกรรมวิธีอันหลากหลายแพรวพราวในการสร้างสรรค์ผลงานชุดนี้ของวิชิตก็เป็นการสะท้อนข้อเท็จจริงนี้ด้วยเหมือนกัน

  ในอีกแง่หนึ่ง การมอบช็อกโกแลตที่มีรูปใบหน้าของจ่างประทับอยู่ให้ผู้ชมรับประทาน ก็ทําให้เรานึกไปถึงการมอบแผ่นขนมปัง อันเป็นสัญลักษณ์แทนร่างกายของพระเยซูคริสต์ในพิธีศีลมหาสนิท เพื่อเป็นการรําลึกถึงพระศาสดาผู้เป็นที่เคารพรักและศรัทธาของเหล่าบรรดาคริสตศาสนิกชน ผลงานชิ้นนี้ก็เป็นการแสดงการรําลึกถึงปรมาจารย์ผู้เป็นที่เคารพรักและศรัทธาของวิชิตเช่นเดียวกัน

  วิชิตสร้างสรรค์ผลงานชิ้นนี้ขึ้นด้วยความประทับใจที่มีต่อเรื่องราวของจ่าง แซ่ตั้ง ที่ถึงแม้จะไม่ได้เป็นคนขัดสนเงินทอง หากก็ไม่ได้ร่ํารวย แต่ถึงกระนั้น จ่างก็มีน้ําใจแบ่งปันสู่ผู้อื่นเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแบ่งปันวิชาความรู้ต่างๆ ทําให้เขามีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ที่ประสบความสําเร็จเป็นศิลปินที่มีชื่อ เสียงหลายต่อหลายคน วิชิตจึงทํางานศิลปะในรูปของช็อกโกแลตดูไบ ให้ผู้ชมที่เดินทางมาชมนิทรรศการในวันเปิด หยิบฉวยกลับไปโดยไม่เสียสตางค์อีกด้วย

  เฉกเช่นการลอกเลียนแบบภาพวาดของศิลปินชั้นครูชาวดัตช์อย่าง เรมบรันต์ ของ ฆอร์ริตต์ ลุนเดนส์ ที่แสดงให้เห็นถึงความความยิ่งใหญ่ดีงามของภาพต้นฉบับฉันใด การลอกเลียน ตีความ และสร้างบท สนทนากับผลงานของศิลปินระดับปรมาจารย์ของไทยอย่าง จ่าง แซ่ตั้ง ก็ขับเน้นให้เห็นถึงความยอด เยี่ยม ไร้กาลเวลา ที่ปรากฏในตัวตนและผลงานของจ่างฉันนั้น
  ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ยังแสดงให้เห็นว่า ทุกสิ่งที่เราค้นพบ ทุกสิ่งที่เราสร้างสรรค์ ทุกความสําเร็จที่เราได้รับนั้นหาใช่ความสําเร็จของเราแต่เพียงลําพังไม่ หากแต่ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ต่อยอดจากการ สร้างสรรค์สั่งสมของคนรุ่นก่อนหน้าเราทั้งสิ้น และในท้ายที่สุด เราเองก็จะเป็นบันไดให้คนรุ่นถัดไป เช่นเดียวกัน เพราะเราต่างก็เป็นคนแคระที่ยืนบนบ่ายักษ์นั่นเอง.

นิทรรศการ The Grandmaster : After Tang Chang
โดยศิลปิน วิชิต นงนวล และภัณฑารักษ์ ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์
เปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 11 มกราคม ถึง 26 กุมภาพันธ์ 2568
ที่ La Lanta Fine Art ชั้น 3 เลขที่ 2198/10-11 ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ซอย 22 แขวงช่องนนทรี
เขตยานนาวา กรุงเทพมหานครฯ 10120 เวลาเปิดทําการ อังคาร - เสาร์ ตั้งเเต่ 10.00น. - 19.00น.
    TAG
  • design
  • art
  • exhibition
  • Solo Exhibition
  • วิชิต นงนวล
  • The Grandmaster : After Tang Chang

The Grandmaster : After Tang Chang บทสนทนากับ จ่าง แซ่ตั้ง ศิลปินระดับปรมาจารย์แห่งศิลปะสมัยใหม่ไทย โดย วิชิต นงนวล

ART AND EXHIBITION/EXHIBITION
January 2025
CONTRIBUTORS
Panu Boonpipattanapong
RECOMMEND
  • DESIGN/EXHIBITION

    Monte Cy-Press ศิลปะจากกองดินที่สะท้อนน้ําหนักของภัยพิบัติ โดย อุบัติสัตย์

    “ยูบาซาโตะ เดินผ่านตามแนวต้นสนขึ้นไปบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เพื่อไปก่อสร้างสถูปดิน และมักจะโดน ทีมงานช่างบ่นทุกวันเกี่ยวกับการก่อสร้าง ที่มีเวลาอยู่อย่างจํากัด เขาเพียงได้แต่ตอบไปว่า .. บุญกุศล นําพาและเวลามีเท่านี้ ขอให้ทําสิ่งดีๆ ให้เต็มที่ ต่อสถานที่บนภูเขานี้เถอะ อย่าบ่นไปเลย เราอาจจะ พบกันแค่ประเดี๋ยวเดียว แต่สิ่งเหล่านี้จะอยู่ต่อไปอีกหลายร้อยปี ... ทีมงานทุกคนเพียงส่งรอยยิ้มที่ เหนื่อยล้ากลับมา ก็เพราะต้องทนร้อนทนแดด และเปียกฝนสลับกันไป จากสภาวะโลกเดือด ที่ทุกคน ต่างพูดถึง แต่ก็จะมาจากใคร ก็จากเราเองกันทั้งนั้น ... แม้จะมาทํางานบนภูเขาก็จริง แต่เขาก็ยังคง คิดถึงเหตุการณ์ภัยน้ําท่วมดินโคลนถล่มที่ผ่านมา อีกทั้งความเสียหายต่อข้าวของที่ต้องย้ายออกจาก บ้านเช่าและค่าใช้จ่ายหลังน้ําท่วมที่ค่อนข้างเยอะพอควร และยิ่งในสภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจแบบนี้...

    Panu Boonpipattanapong2 months ago
  • DESIGN/EXHIBITION

    Kader Attia กับศิลปะแห่งการเยียวยาซ่อมแซมที่ทิ้งร่องรอยบาดแผลแห่งการมีชีวิต ในนิทรรศการ Urgency of Existence

    หากเราเปรียบสงคราม และอาชญากรรมที่กระทำต่อมนุษย์ อย่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การสังหารหมู่ และการล่าอาณานิคม เป็นเหมือนการสร้างบาดแผลและความแตกร้าวต่อมวลมนุษยชาติ ศิลปะก็เป็นหนทางหนึ่งในการเยียวยาซ่อมแซมบาดแผลและความแตกร้าวเหล่านั้น แต่การเยียวยาซ่อมแซมก็ไม่จำเป็นต้องลบเลือนบาดแผลและความแตกร้าวให้สูญหายไปเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น หากแต่การเหลือร่องรอยแผลเป็นและรอยแตกร้าวที่ถูกประสาน ก็เป็นเสมือนเครื่องรำลึกย้ำเตือนว่า สิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว และไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นอีกซ้ำเป็นครั้งที่สอง เช่นเดียวกับสิ่งที่ปรากฏในนิทรรศการ “Urgency of Existence” นิทรรศการแสดงเดี่ยวครั้งแรกในเอเชียของ คาแดร์ อัทเทีย (Kader Attia) ศิลปินชาวฝรั่งเศส - แอลจีเรีย ผู้มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เขาเป็นหัวหอกในการทำงานศิลปะผ่านสื่ออันแตกต่างหลากหลาย ที่นำเสนอแนวคิดหลังอาณานิคม และการปลดแอกอาณานิคม จากมุมมองของตัวเขาเอง ที่มีประสบการณ์ทางตรงและทางอ้อมของผู้ที่เคยถูกกดขี่และถูกกระทำจากลัทธิล่าอาณานิคมในศตวรรษที่ผ่านมา

    Panu Boonpipattanapong2 months ago
  • DESIGN/EXHIBITION

    Roma Talismano ชำแหละมายาคติแห่งชาติมหาอำนาจด้วยผลงานศิลปะสุดแซบตลาดแตก ของ Guerreiro do Divino Amor

    ในช่วงปลายปี 2024 นี้ มีข่าวดีสำหรับแฟนๆ ศิลปะชาวไทย ที่จะได้มีโอกาสชมผลงานศิลปะร่วมสมัยของเหล่าบรรดาศิลปินทั้งในประเทศและระดับสากล ยกขบวนมาจัดแสดงผลงานกันในเทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ 2024 ที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 แล้ว โดยในเทศกาลศิลปะครั้งนี้นำเสนอผลงานศิลปะจาก 76 ศิลปิน 39 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ภายใต้ธีมหลัก “รักษา กายา (Nurture Gaia)” ที่ได้แรงบันดาลใจจากเทพี ไกอา (Gaia) ในตำนานเทพปรณัมกรีก หรือพระแม่ธรณีผู้ให้กำเนิดและหล่อเลี้ยงสรรพชีวิต เพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์อันสอดประสานกลมกลืนกันระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ

    EVERYTHING TEAM3 months ago
  • DESIGN/EXHIBITION

    Apichatpong Weerasethakul : Lights and Shadows นิทรรศการครั้งยิ่งใหญ่ใน Centre Pompidou ของศิลปินผู้สร้างแสงสว่างในความมืด อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล

    เมื่อพูดถึงชื่อ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล หรือ เจ้ย มิตรรักแฟนหนังหลายคนน่าจะรู้จักเขาในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทยผู้เปี่ยมไปด้วยความเป็นศิลปะที่สุด ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย แต่หมายรวมถึงในสากลโลก ยืนยันด้วยรางวัลสำคัญจากเทศกาลภาพยนตร์ระดับโลกหลายต่อหลายรางวัล ไม่ว่าจะเป็นรางวัลยอดเยี่ยมในการฉายสายรอง (Un Certain Regard) จากภาพยนตร์เรื่อง สุดเสน่หา (Blissfully Yours) (2002) และรางวัลขวัญใจคณะกรรมการ (Jury Prize) จากภาพยนตร์เรื่อง สัตว์ประหลาด! (Tropical Malady) (2004) จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ ในปี 2002 และ 2004, หรือภาพยนตร์เรื่อง แสงศตวรรษ (Syndromes and a Century) (2006) ของเขาก็ได้รับเลือกให้เข้าชิงรางวัลสิงโตทองคำในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเวนิส ในปี 2006 และคว้ารางวัลกรังปรีซ์จากเทศกาลภาพยนตร์ Deauville Asian Film Festival ในปี 2007, และภาพยนตร์เรื่อง รักที่ขอนแก่น (Cemetery of Splendor) (2015) ของเขาก็คว้ารางวัลยอดเยี่ยมจากเวที Asia Pacific Screen Awards ในปี 2015, ที่สำคัญที่สุด อภิชาติพงศ์ยังเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รับรางวัล ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมปาล์มทองคำ (Palm d’or) จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ ครั้งที่ 63 ในปี 2010 จากภาพยนตร์เรื่อง ลุงบุญมีระลึกชาติ (Uncle Boonmee Who Can Recall His Past Lives) (2010), และล่าสุด ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องล่าสุดของเขาอย่าง Memoria (2021) ยังคว้ารางวัล Jury Prize ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ครั้งที่ 74 ในปี 2021 มาครองได้อีกครั้ง อีกทั้งยังได้รับเสียงวิจารณ์เชิงบวกอย่างท่วมท้นจากสื่อมวลชนนานาชาติ

    Panu Boonpipattanapong4 months ago
  • DESIGN/EXHIBITION

    Out of Frame การล่องแพในแม่น้ำเพื่อสำรวจหาเส้นทางใหม่ๆ แห่งการทำงานจิตรกรรมของ Lee Joon-hyung

    เมื่อพูดถึงเกาหลีใต้ หลายคนอาจจะนึกถึง เคป็อป หรือซีรีส์เกาหลี แต่ในความเป็นจริง เกาหลีใต้ไม่ได้มีสิ่งที่น่าสนใจเพียงแค่นั้น หากแต่ เคอาร์ต หรือวงการศิลปะเกาหลีก็มีอะไรที่โดดเด่นน่าสนใจเหมือนกัน ดังเช่นที่เรามีโอกาสได้ไปชมนิทรรศการศิลปะที่น่าสนใจของศิลปินเกาหลีใต้ ที่บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาจัดแสดงในบ้านเรา

    Panu Boonpipattanapong6 months ago
  • DESIGN/EXHIBITION

    The Rite of Spring ศิลปะการแสดงหลากศาสตร์สาขา สะพานเชื่อมทางศิลปวัฒนธรรมหลากประเทศ โดย พิเชษฐ กลั่นชื่น

    ในวันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมา เรามีโอกาสได้ไปชมศิลปะการแสดงชุดหนึ่งที่น่าสนใจ เลยถือโอกาสเอามาเล่าสู่กันฟัง การแสดงที่ว่านี้มีชื่อว่า The Rite of Spring Concert and Dance ที่กำกับโดย พิเชษฐ กลั่นชื่น ศิลปินศิลปะการแสดงชั้นนำของไทยและเอเชีย โดยเป็นการร่วมงานกับสองนักดนตรีระดับโลกอย่าง ทามาโยะ อิเคดะ (Tamayo Ikeda) นักเปียโนชาวญี่ปุ่น และ เกวนดัล กิเกอร์เลย์ (Gwendal Giguelay) นักเปียโนชาวฝรั่งเศส ร่วมกับเหล่าบรรดานักเต้นมากฝีมือจาก พิเชษฐ กลั่นชื่น แดนซ์คอมพะนี และกลุ่มนักแสดงนาฏศิลป์ไทยประเพณีหลากที่มาจาก ศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ วัดราชาธิวาสวิหาร, มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร, มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา และคณะนักเชิดหนังใหญ่วัดบ้านดอน จังหวัดระยอง

    Panu Boonpipattanapong6 months ago
SIGN UP TO OUR NEWSLETTER
A Monthly update of the new issue from us
THANK YOU FOR YOUR SUBSCRIPTION

We use cookies, localStorage and other technologies (collectively, "cookies") to recognise your browser or device, learn more about your interests, and provide you with essential features and services and for additional purposes. ( see details )