
สองโปรเจกท์จาก บิว มนัสพงษ์ สงวนวุฒิโรจนา แห่ง Hypothesis ที่สะท้อนแนวคิดเรื่อง Empathy
นักศึกษาที่สนใจเข้าร่วม Asia Young Designer Awards ครั้งที่ 14 ก็คงจะรู้กันแล้วว่า FORWARD: Amplifying Empathy Through Design 2021 หรือโจทย์การแข่งขันในปีนี้ มีที่มาจากการรูปแบบชีวิตของผู้อยู่อาศัยที่เปลี่ยนแปลงไป อันเป็นผลจากการเปลี่ยนของโลกในหลากหลายด้าน ทั้งเทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม ความเชื่อในสังคม วัฒนธรรม รวมไปถึงโรคระบาดเองก็เช่นกัน แต่คำถามที่เป็นหัวใจหลักของการประกวดครั้งนี้ก็คือ จะสะท้อนแนวคิดเรื่อง “Empathy” หรือการเข้าใจอารมณ์ ความรู้สึก และความต้องการของผู้อยู่อาศัย ออกมาผ่านผลงานสถาปัตยกรรมหรือผลงานการตกแต่งภายอย่างไร ให้มีคุณค่า น่าสนใจ และสร้างประโยชน์ต่อวิชาชีพได้จริง บิว - มนัสพงษ์ สงวนวุฒิโรจนา จาก Hypothesis หนึ่งในคณะกรรมการผู้ตัดสินในสาขาสถาปัตยกรรมของปีนี้ จึงมาร่วมแชร์มุมมอง ไอเดีย การตีโจทย์ และการนำแนวคิดเรื่อง Empathy มาใช้งานจริงในงานออกแบบ ให้เหล่านักออกแบบรุ่นใหม่ได้ฟัง ผ่านสองโปรเจกท์ที่ทุกคนรู้จักและเคยเห็นผ่านตามาแล้ว อย่างโปรเจกท์ล้ง 1919 ที่ทำงานร่วมกับบริษัท PIA และโปรเจกท์สวนสาธารณะแบบ Pocket Park ที่ชุมชนโชฎึกที่ทำงานกับหลายภาคส่วน

ความหมายของ “Empathy” กับโจทย์การแข่งขันในปีนี้
ผมเองก็ศึกษาอยู่เหมือนกัน ว่าคำนี้มีความหมายอย่างไร ซึ่งผมได้ข้อมูลอ้างอิงจาก Verywellmind เขาให้คำนิยามไว้ ว่ามันเป็นความสามารถในการรับรู้อารมณ์ของผู้อื่น สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ในมุมมองของเขา ควบคู่ไปกับจินตนาการของพวกเราด้วยเช่นกัน ว่าถ้าตัวเองไปอยู่ในจุดนั้น เราจะรู้สึกอย่างไร และเขายังให้อธิบายเพิ่มเติมอีกว่า Empathy มีอยู่ด้วยกัน 3 ประเภท
ประเภทแรก คือการเชื่อว่าตัวเองยืนอยู่ในจุดเดียวกันกับอีกฝ่าย หรือมีความรู้สึกร่วมกับอีกฝ่าย หากพูดให้เข้าใจอย่างง่าย ๆ ก็คือการเอาใจเขามาใส่ใจเรา เป็นการอธิบายว่าเราเริ่มเห็นอกเห็นใจ เพราะรู้สึกแบบเดียวกับเขา แบบที่สอง คือเป็นห่วงเป็นใย เป็นกังวลเรื่องของอีกฝ่าย จึงคอยให้กำลังใจ คอบซักถามว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างไรบ้าง และประเภทที่สาม เป็นประเภทที่เคยเจอเหตุการณ์แบบเดียวกันจึงเข้าใจ เช่น อยู่ในสถานการณ์โควิดเหมือนกัน เราจึงเข้าใจความรู้สึกของเขาได้ หรือบางคนที่เคยติดโควิด – 19 มาก่อน จึงรู้ว่าผู้ช่วยรู้สึกอย่างไร ต้องการอะไร จนอยากจะช่วยเหลือ ซึ่งพอพิจารณากับโจทย์แล้ว ก็ค่อนข้างชัดเจนเลยทีเดียว ว่ามันคือการขยับขยายความเห็นอกเห็นใจ ความเอื้อเฟื้อ ให้แพร่ออกสู่สังคมไปให้ได้มากที่สุดผ่านการดีไซน์

ล้ง 1919 ตัวอย่างสถาปัตยกรรมที่นำความเข้าอกเข้าใจมาใช้ร่วมกับงานออกแบบ
มีหลายโปรเจกท์ที่ผมนำเอาแนวคิดเรื่อง Empathy มาใช้ในการจัดการร่วมกับงานออกแบบ และตัวอย่างที่อยากจะนำเสนอเลยก็คือ ล้ง 1919 ที่ทำร่วมกันกับบริษัท PIA ซึ่งตอนที่เราทำ มันค่อนข้างถูกวางไว้ในหลายสมมติฐานว่าเป็นอะไรได้บ้าง จะเป็นโรงแรมและศาลเจ้า เป็นโรงแรมอย่างเดียว หรือเป็นศาลเจ้าและคอมมูนิตี้อื่น ๆ ด้วย แต่มุมมองของพวกเราในท้ายที่สุดแล้ว พวกเราไม่ได้อยากจะทำแค่ในพื้นที่ของโปรเจกท์เท่านั้น แต่อยากทำในส่วนบริบทรอบข้างไปด้วย เพราะในพื้นที่รอบ ๆ โครงการ มีชาวบ้านในชุมชนซอยเชียงใหม่ มีโรงเรียนสารพัดช่าง และผู้ที่ดูแลสถานที่ตรงนั้นด้วย พวกเราจึงเริ่มต้นด้วยเข้าไปทำการสอบถาม ว่าพวกเขาอยากได้อะไรจากโปรเจกท์นี้บ้าง เพราะผมคิดว่าเวลาที่ทำโปรเจกท์ ๆ หนึ่ง เราไม่ควรมองจากแค่ความคิดพื้นฐานในเชิงสถาปัตยกรรม เพราะมันจะเหมือนว่าเราเข้าไปกำหนดทิศทางเพียงอย่างเดียว แต่หัวใจหลักจริง ๆ คือคำตอบของพวกเขามากกว่า ซึ่งหลังจากการเข้าไปสอบถาม เราพบว่าเขาอยากได้การสร้างงาน เป็นงานที่เกิดจากการทำงานในพื้นที่
พวกเราเองยังมองออกไปให้ครอบคลุมถึงกลุ่มคนอีกหลากหลายกลุ่มด้วย เช่น กลุ่มเจ้าของพื้นที่อย่างครอบครัวหวั่งหลี ที่เขาทำธุรกิจ เราจึงต้องคิดในมุมมองทางธุรกิจด้วย ว่าต้องทำอย่างไรให้ธุรกิจที่เรากำลังทำสามารถ Run Through ผ่านธุรกิจของเขาไปได้ด้วย หรือในมุมมองของผู้ใช้งานเอง เราก็ต้องคำนึงว่าเขาจะเข้ามาใช้สอยพื้นที่ตรงนี้อย่างไร จึงต้องวางโปรแกรมพื้นที่ให้มีความหลากหลาย เป็นทั้งคอมมูนิตี้ ศาลเจ้า และ Retail Space ซึ่งเมื่อมีพื้นที่สำหรับเช่าค้าขาย เราก็ต้องคิดถึงมุมมองของผู้เช่าด้วย ว่าเมื่อเขามาเช่าแล้วจะเกิดประโยชน์อย่างไรกับเขาบ้าง แม้กระทั่งมุมของศาลเจ้าเอง เราก็ต้องทำให้พื้นที่ตรงนี้สวยงาม และคนในทุกระดับชั้นสามารถเข้ามาไหว้ขอพรได้ แล้วหน้าที่ของดีไซเนอร์หรือสถาปนิกหลังจากนี้ก็คือ การจัดการความต้องการทั้งหมด ให้กลายมาเป็นองค์รวมที่สมบูรณ์ ล้ง 1919 จึงเกิดขึ้นมาได้

และหลังจากล้ง 1919 เกิดขึ้นจริงแล้ว มันทำให้การสร้างงานเกิดขึ้นจริง ๆ คนที่ดูแลศาลเจ้าเดิมเขาก็มีความสุข เพราะศาลเจ้าก็จ้างเขาทำงานให้คอยดูแลเหมือนเดิม คนในชุมชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ ก็เข้ามาเป็นพนักงานขายของ พนักงานทำความสะอาด แม้กระทั่งเด็ก ๆ ที่เคยเข้ามาวิ่งเล่น เตะบอล หรือออกกำลังกาย ก็เข้ามาเป็นไกด์ตัวน้อย คอยนำเที่ยว แนะนำว่าที่นี่มีความเป็นมาอย่างไร เพราะเขามีความรู้และประสบการณ์อยู่แล้ว แล้ววิธีการคิดที่ก่อให้เกิด ล้ง 1919 มันยัง Amplify ออกไปยังนอกกรอบพื้นที่ที่เรารับผิดชอบด้วย เพราะ ณ วันนี้ ถนนทั้งเส้นของซอยเชียงใหม่ มีความสะอาดมากขึ้น เพราะมันได้กลายเป็นพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว คนในชุมชนเริ่มเห็นคุณค่าของตัวสถาปัตยกรรมจึงคอยปัดกวาดเช็ดถู รวมถึงร้านค้าในบริเวณนั้นก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย เขามีการปรับตัวมาเป็นร้านขายของหรือร้านกาแฟ โปรเจกท์ ล้ง 1919 จึงทำให้เราได้เห็นเลยว่าพอเราเริ่มต้นจากการคิดถึงคนอื่นก่อนแล้ว เมื่อสร้างผลงานให้เกิดขึ้นได้จริง มันจะส่งผลสะท้อนที่ดีไปยังชุมชนรอบข้างด้วยเช่นกัน

สวนชุมชนโชฎึก อีกหนึ่งโปรเจกท์ที่สะท้อนแนวคิดนี้ได้อย่างดี
อีกหนึ่งโปรเจกท์ที่ผมอยากจะนำเสนอ คือโปรเจกท์ที่ไปพัฒนาสวนสาธารณะแบบ Pocket Park ให้กับชุมชนโชฎึกครับ เราได้รับเชิญจากทาง Art4d ให้เข้าร่วมกับเวิร์กช็อปกับทาง พี่แนท - วสุ วิรัชศิลป์ มีการรับสมัครนักเรียน นักศึกษา และผู้ที่ทำงานแล้ว มาร่วมเวิร์ปช็อปไปด้วยกัน และยังเป็นการร่วมงานกับอีกหลายหลายทีมด้วยครับ เช่น We Park ที่ทางพี่ยศ - ยศพล บุญสม มาให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องสวน อีกหนึ่งทีมก็คือทีมปันเมือง ซึ่งพวกเขาเป็นทีมตั้งต้นที่คอยพัฒนาพื้นที่ตรงนั้นอยู่แล้ว ตอนทำงานพวกเราก็แบ่งทีมทำงานออกแบบกันสวยงามเลย แล้วจึงไปนำเสนอให้คนในชุมชน แต่ผล ณ ครั้งแรก คือคนในชุมชนไม่ได้อยากได้สิ่งที่เราออกแบบเลย มันไม่ได้ตรงกับความคิดของเขา เพราะเขาอยากได้อย่างอื่นมากกว่า เช่น มีเด็ก ๆ มาพูดว่า “พี่ครับ ผมอยากได้สไลเดอร์ ผมอยากได้อะไรที่มันปีนได้ อยากได้ที่นั่ง ห้องน้ำ ผมไม่ได้อยากได้รั้ว”

หลังจากนำเสนอครั้งแรกไป พวกเราก็กลับมานั่งทบทวนกระบวนการคิดใหม่ เพราะเรากำลังคิดแบบดีไซเนอร์มากเกินไป เราไม่รู้เลยว่าคนในชุมชนต้องการอะไร จนกระทั่งวันที่เข้าไปนำเสนอ พอเราได้เข้าไปถามเขาว่าอยากได้อะไร ต้องการอะไร และมีประสบการณ์ร่วมกับพวกเขาในระดับหนึ่งแล้ว พวกเราจึงปรับปรุงและออกแบบสร้างสไลเดอร์ ทำที่นั่ง ทำกระบะต้นไม้ ออกแบบรั้วใหม่เพื่อกันเด็ก ๆ ตกลงไปในคลอง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ แล้วไปนำเสนอใหม่ แม้มันอาจจะไม่ได้สวยเหมือนครั้งแรกที่พวกเราออกแบบ แต่มันเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์เขาได้จริง ๆ พอสร้างของจริงขึ้นมาแล้ว พวกเขาได้เล่นจริงและใช้งานจริง มีการเอากระถางต้นไม้มาร่วมกับเก้าอี้ หรือใกล้ชิดกับต้นไม้และคลองได้อย่างปลอดภัยจากรั้วที่เราออกแบบ มันเลยเป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เราได้เห็นเลยว่า พวกเราที่เป็นสถาปนิก นักเรียน หรือนักออกแบบ มักจะเอาตัวเองเป็นตัวตั้งต้น คิดออกแบบให้มันสวยงามเพื่อตัวเรา แต่ไม่เคยถามผู้ใช้งานเลยว่าอยากได้จริง ๆ หรือเปล่า ซึ่งพอเรานำเอาความเห็นอกเห็นใจมาใช้งานแล้ว มันกลับมีสาระความสำคัญมากกว่าความงามเสียอีก

เริ่มต้นด้วยการมองจากจุดเล็กไปสู่ภาพใหญ่
ในฐานะที่ผมเป็นกรรมการมาประมาณสามปี เห็นผลงานที่ถูกส่งไปในระดับสากล รวมถึงได้เห็นกรรมการในระดับนั้นคอมเมนต์ผลงานแล้ว ผมคิดว่าผู้เข้าประกวด AYDA ปีนี้ ควรจะเริ่มต้นจากการมองสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว มองสิ่งที่เราหรือผู้ใช้ประสบพบเจอ แล้วค้นหาว่าเรามีความรู้สึกร่วม หรือมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจกับพวกเขาอย่างไร และหากเราเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว เราจะมีส่วนในการแก้ไขปัญหาหรือช่วยเหลือเขาอย่างไรได้บ้าง และต้องคิดต่อไปอีก ว่าการช่วยเหลือหรือการออกแบบเพื่อแก้ปัญหาในครั้งนี้ มันยังสามารถนำไปช่วยแก้ไขในระดับสากลอย่างไรได้บ้าง เป็นการมองจากจุดเล็ก ๆ ไปสู่ภาพใหญ่ มองจากสิ่งที่เราเจอ ไปยังสิ่งที่ทุกคนในระดับเอเชียหรือระดับโลกประสบปัญหาเหมือนกัน และถ้าเราสามารถแก้ปัญหาได้สำเร็จ จนกลายเป็นทฤษฎีที่นำไปสู่การช่วยเหลือในระดับเอเชียหรือระดับโลกได้ ผมคิดว่าผู้เข้าประกวดคงจะเรียกความสนใจจากคณะกรรมการให้หันมามองได้ครับ
ประสบการณ์จาก AYDA ที่ไม่สามารถประเมินค่าได้
สำหรับ ASIA YOUNG DESIGNER AWARDS ถ้ามีโครงการประกวดนี้เกิดขึ้นในตอนที่ผมกำลังเรียนอยู่ ผมคงไม่รีรอที่จะส่งประกวดครับ เพราะนอกจากรางวัลแล้ว สิ่งที่น่าสนใจก็คือ การได้ทำเวิร์กช็อปร่วมกันกับคณะกรรมการ เพราะพวกเขาไม่ได้มาตัดสินแค่วันนั้น ณ วันเดียวเท่านั้น แต่กรรมการยังมีการจัดเวิร์กช็อปให้กับผู้ที่ผ่านการคัดเลือกแล้ว เขาจะถูกเคี่ยวกรำจากคณะกรรมการที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ และยังได้รับคอมเมนต์ที่เป็นประโยชน์อีกด้วย ว่าถ้าหากได้ไปนำเสนอในระดับเอเชีย คณะกรรมการในระดับนั้นจะมองด้วยมุมมองไหน ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้ง่าย ๆ เลย เพราะถ้าเป็นนักเรียนนักศึกษา คุณอาจจะได้ความรู้จากอาจารย์เพียงอย่างเดียว แต่ถ้าคุณมาเข้าร่วมการประกวด คุณจะได้รับความรู้จากผู้เชี่ยวชาญด้วย นับเป็นความพิเศษของโครงการนี้เลยครับ

และนอกจากที่คุณจะได้มีแฟ้มผลงานในระดับประเทศแล้ว ถ้าหากคุณชนะ ก็ยังได้รับโอกาสเป็นตัวแทนของประเทศไทย ไปนำเสนอผลงานต่อที่ Asia Young Designer Summit 2022 ที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งรางวัลจากเวที AYDA สำหรับผู้ชนะในระดับนี้ก็ค่อนข้างยิ่งใหญ่เลยครับ เพราะจะเข้าไปอบรมและเรียนรู้ในหลักสูตรพิเศษ Design Discovery Program ที่สถาบันชั้นนำของโลกของ Harvard’s Graduate School of Design แบบไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งผมคิดว่าสำหรับผู้ชนะแล้ว มันจะเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ เลยครับ
www.asiayoungdesignerawards-th.com
ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2564 และสามารถติดตามข่าวสาร รวมไปถึงสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง
Facebook : @AsiaYoungDesignerAwardsThailand