ในสายตาของฟองน้ำผู้ดูดซับสิ่งต่างๆ : คุยกับชุม อธิษฐ์ พีระวงศ์เมธา ช่างภาพไทยคนแรกผู้คว้ารางวัลพูลิตเซอร์ | IAMEVERYTHING.CO

LOOKING ON EVERYTHING ?

EXPLORE ON EVERYTHING

ในสายตาของฟองน้ำผู้ดูดซับสิ่งต่าง ๆ
คุยกับชุม อธิษฐ์ พีระวงศ์เมธา
ช่างภาพไทยคนแรกผู้คว้ารางวัลพูลิตเซอร์



ต้นเดือนที่แล้วมีเหตุการณ์ที่น่าชื่นชมยินดีในวงการช่างภาพและสื่อไทย เมื่อ อธิษฐ์ พีระวงศ์เมธา หรือ “ชุม” ช่างภาพประจำสำนักข่าวระดับโลกอย่างรอยเตอร์ คว้ารางวัลพูลิตเซอร์ หรือ “Pulitzer Prize” อันถือเป็นรางวัลเก่าแก่ระดับโลกสำหรับนักสื่อสารมวลชนและวรรณกรรม จากประเภท Breaking News ที่เขาและเพื่อนช่างภาพจากรอยเตอร์ไปถ่ายภาพเหตุการณ์ประท้วงเรียกร้องการปกครองตนเองของฮ่องกงซึ่งเป็นข่าวใหญ่เมื่อปีที่แล้ว (ดูภาพชุดที่ได้รางวัลที่ https://www.pulitzer.org/winners/photography-staff-reuters-2?fbclid=IwAR11Fhd13s-l_j2Ibi6uhqqOmZG7d86U-Gl6C8R_NRBHLRs5bNJj5WmB6Vo) นั่นทำให้ อธิษฐ์ กลายเป็นช่างภาพคนไทยคนแรกที่คว้ารางวัลอันทรงเกียรติระดับโลกนี้

ในสายตาของฟองน้ำผู้ดูดซับสิ่งต่าง ๆ
คุยกับชุม อธิษฐ์ พีระวงศ์เมธา
ช่างภาพไทยคนแรกผู้คว้ารางวัลพูลิตเซอร์



ต้นเดือนที่แล้วมีเหตุการณ์ที่น่าชื่นชมยินดีในวงการช่างภาพและสื่อไทย เมื่อ อธิษฐ์ พีระวงศ์เมธา หรือ “ชุม” ช่างภาพประจำสำนักข่าวระดับโลกอย่างรอยเตอร์ คว้ารางวัลพูลิตเซอร์ หรือ “Pultzer Prize” อันถือเป็นรางวัลเก่าแก่ระดับโลกสำหรับนักสื่อสารมวลชนและวรรณกรรม จากประเภท Breaking News ที่เขาและเพื่อนช่างภาพจากรอยเตอร์ไปถ่ายภาพเหตุการณ์ประท้วงเรียกร้องการปกครองตนเองของฮ่องกงซึ่งเป็นข่าวใหญ่เมื่อปีที่แล้ว (ดูภาพชุดที่ได้รางวัลที่ https://www.pulitzer.org/winners/photography-staff-reuters-2?fbclid=IwAR11Fhd13s-l_j2Ibi6uhqqOmZG7d86U-Gl6C8R_NRBHLRs5bNJj5WmB6Vo) นั่นทำให้ อธิษฐ์ กลายเป็นช่างภาพคนไทยคนแรกที่คว้ารางวัลอันทรงเกียรติระดับโลกนี้

IAMEVERYTHING นัดหมายกับ อธิษฐ์ สนทนาเพื่อค้นหาว่า งานของเขาเดียวดายเพียงไร ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งใดบ้าง เพื่อแลกกับรูปถ่ายบันทึกเรื่องราวหนึ่งใบ ทั้งหมดนั้นก็เพื่อหาคำตอบว่าอะไรคือสายตาหรือการมองเห็นของ Photojournalist ระดับโลก ซึ่งเขาปฏิเสธแข็งขันว่ายังไม่ได้เป็น ทั้งเป็น Photojournalist หรือเป็นช่างภาพระดับโลก อธิษฐ์ บอกว่าตนยังไม่ได้เฉียดเข้าไปใกล้ ที่เขาเป็นนั้นเพียงแค่พยานในเหตุการณ์ต่าง ๆ และดูดซับความรู้สึกนานาไว้ราวกับเป็นฟองน้ำ...

คุณเป็นช่างภาพไทยคนแรกที่ได้รางวัลพูลิตเซอร์ใช่ไหม
ในสายถ่ายภาพเป็นคนแรกครับ แต่สำหรับสายอื่นผมไม่แน่ใจ แต่ผมคุ้น ๆ ว่ามีคนไทยที่ได้รางวัลพูลิตเซอร์ก่อนหน้าผม แต่เขาน่าจะเป็นสายข่าว เป็นผู้สื่อข่าวที่ไปเขียนข่าวแล้วอยู่ในทีม เพราะต้องเข้าใจก่อนว่างานข่าวหนึ่งชิ้นอาจจะไม่ได้เขียนลำพังคนเดียวครับ อาจจะเขียนหลายคน เหมือนกับที่ผมได้รางวัล เขาก็ให้ รอยเตอร์ทั้งทีม ไม่ได้ให้ผมคนเดียว ผมแค่เป็นคนไทยที่อยู่ในทีมช่างภาพชุดนี้เท่านั้น ก็เลยได้เป็นช่างภาพไทยคนแรก

พอจะบอกได้ไหมว่ารางวัลพูลิตเซอร์มีเกณฑ์ในการตัดสินยังไง
เอาเท่าที่ผมเข้าใจเองนะ เขาก็ค่อนข้างที่จะเลือกข่าวที่เป็น Big issue ของปีนั้น เป็น News of the year เหมือนกับว่าเป็นข่าวที่ใหญ่ที่สุดในปีนั้น อย่างข่าวใหญ่ปีที่แล้วก็เป็นเรื่องการประท้วงที่ฮ่องกง ที่เราได้รางวัลก็เป็นภาพที่ถ่ายจากเหตุการณ์นั้น ในชุดนั้นก็จะภาพของมีช่างภาพฮ่องกงที่เขาอยู่ที่นั่นอยู่แล้วได้เจ็ดรูป มีคนหนึ่งอีกสามรูป ของผมสองรูป แล้วที่เหลือก็กระจายกันไป รวมทั้งหมดยี่สิบรูป ทั้งหมดเป็นทีมช่างภาพของรอยเตอร์ พูลิตเซอร์เขาให้เป็นทีมอย่างที่บอก และน่าจะเลือกในหัวข้อที่เป็น Biggest news of the year มากกว่า คือเป็นข่าวที่ใหญ่ที่สุด

อย่างเมื่อสามปีก่อนก็เป็นเรื่องชาวโรฮีนจาสองถึงสามแสนคนอพยพจากยะไข่ไปบังกลาเทศ นั่นก็คือเป็นข่าวใหญ่ในปีนั้น ก็ได้รางวัลเช่นกัน ต่อมาเราน่าจะได้รางวัลเกี่ยวกับเรื่องผู้อพยพในยุโรปที่มาจากแอฟริกาครับ ที่เข้ามาทางอิตาลีบ้าง เข้ามาทางเยอรมันบ้าง เราก็ได้เรื่องนี้อีกหัวข้อหนึ่ง เรื่องผู้อพยพแล้วไปชนกำแพงที่เม็กซิโกน่ะครับ นั่นเราก็ได้อีกเรื่องหนึ่ง แล้วมาปีนี้ก็เปลี่ยนเป็นเรื่องการประท้วงที่ฮ่องกง พูดง่ายๆ ก็คือมักจะได้จากเรื่องที่เป็นข่าวใหญ่ระดับโลกในปีนั้น ๆ

เมื่อได้รางวัลแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง
ก็ดีใจ แต่ก็ไม่มีอะไรพิเศษนะครับ เพราะตอนนั้นผมไม่รู้ว่ารูปใบไหนที่ได้รางวัล เพราะผมไม่ได้ส่งรูปไปประกวดเอง เป็นการส่งประกวดในนามองค์กร แล้วตอนที่เขาส่งไปประกวดปีที่แล้ว มันก็ยังมีการประท้วงหนักๆ อยู่สองที่คือที่ฮ่องกง กับที่ชิลี สองข่าวนี้ก็ถือเป็นแคนดิเดตว่าเรื่องไหนจะได้หรือไม่ได้ จะเข้ารอบหรือไม่เข้ารอบ เพราะเราไม่รู้เลยว่า เขามองอะไรอยู่ นี่คืออย่างแรก อย่างที่สองคือเราก็ไม่แน่ใจว่าข่าวฮ่องกงจะได้เข้ารอบหรือเปล่า อันที่สามผมก็ยังไม่แน่ใจว่าส่งแล้วจะชนะไหม เพราะว่ารอยเตอร์ได้มาหลายปีแล้ว กรรมการอาจจะบอกว่า “อุ๊ย รอยเตอร์อีกแล้วเหรอ?”

ซึ่งมันก็อาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้
ผมว่าหลังจากปีนี้ทุกคนก็จะขยันยิ่งกว่าเดิมอีก (หัวเราะ) เพราะรอยเตอร์ได้ติดต่อกันมาสามปีซ้อนแล้วเนี่ย มันต้องให้คนอื่นบ้างแล้วแหละ แต่ว่าจริง ๆ แล้วงานนี้ฝรั่งเขาไม่ได้แคร์หรอกว่า “รอยเตอร์อีกแล้ว” ถ้ามันสมควรได้มันก็ได้ แต่ที่เรารู้แน่ ๆ คือจำนวนภาพที่ส่งเนี่ย ยังไงก็ยี่สิบภาพแน่นอน มันก็พอคำนวณได้ว่าช่างภาพรอยเตอร์ที่ถูกส่งไปทำข่าวการประท้วงในฮ่องกงมียี่สิบแปดคน ผมประเมินว่าอย่างน้อย ๆ ผมมีภาพในฮ่องกงถึงพันภาพแน่ ๆ แต่เขาจะเลือกจะเลือกแค่ยี่สิบภาพ ในยี่สิบภาพจะมีภาพของใครบ้าง เราไม่รู้

เปอร์เซ็นต์ที่จะมีภาพของเราก็น้อยมากเหมือนกันนะ
น้อยมากครับ เปอร์เซ็นต์ที่เป็นหนึ่งในยี่สิบก็น้อยแล้วนะ เปอร์เซ็นต์ที่จะชนะก็น้อยกว่าอีก ได้มาสองรูปผมก็ถือว่าโอเค ผ่านแล้ว พอใจแล้ว เราอาจจะเป็นคนที่ไปบ่อย แต่ว่าไม่ได้บ่อยที่สุด แค่นี้ก็ดีใจแล้ว พอไปดูรูป ดูการ edit ทุกอย่างถือว่าโอเคแหละ เราไปถึงจุดหมายแล้ว แต่ว่าจริง ๆ ผมไม่ได้หวังว่าจะต้องชนะพูลิตเซอร์อะไรนะครับ เพราะว่ามันไม่ได้ส่งประกวดด้วยตัวเอง ถ้าเป็นพวกรางวัล World Press Photo Contest ที่เราสามารถส่งในนามของเราเองได้ อันนั้นก็อาจจะอีกเรื่องหนึ่ง

Athit Perawongmetha/ December 31, 2019 / Courtesy of Rueters.

ทั้งสองภาพที่คุณได้รับรางวัล เป็นภาพที่คุณโอเคกับมันไหม
ภาพที่สองที่มีคนเยอะ ๆ ที่เป็นซอกตึก ภาพนั้นคือเซอร์ไพร์ส ผมไม่คิดว่าเขาจะเลือกภาพนั้นไป มันมีอีกภาพหนึ่งที่เป็นภาพคนตีกัน ภาพการปะทะกัน ถือว่าอิมแพ็คเลยล่ะ ผมคิดว่าภาพแบบนั้นจะติดมากกว่า ส่วนภาพ “Free Hongkong” ภาพนั้นน่ะ ผมคิดว่าถ้าจะมีภาพสักภาพที่แทนความหมายทั้งหมดของเหตุการณ์ ก็น่าจะเป็นภาพนี้ แล้วมันก็ใช่จริง ๆ ภาพนี้มันไปอยู่ในภาพที่สิบเก้า

อยากให้ลองเดาใจบรรณาธิการว่าทำไมเขาถึงเลือกภาพตึก
ผมว่ามันต่อกับภาพแรก ภาพที่เป็นผู้หญิงออกมาจากหน้าต่าง คือภาพแรกเป็นการ edit อีกสไตล์หนึ่ง ซึ่งรูปนี้มันต่อเนี่องกับภาพของผม เพราะว่าภาพนี้มันเป็นภาพเปิด สำหรับผมเอง ถ้าผมคิดจะส่งประกวดนะ ผมจะต้องส่งรูปที่มันเป็นภาพที่เกือบจะเล่าเรื่องทั้งหมดเลย เป็นภาพที่อิมแพ็คที่สุด แรงที่สุด แล้วก็อาจจะฮาร์ดคอร์ที่สุด อาจจะเป็นภาพที่ตีกันหรืออาจจะปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมกับผู้บังคับใช้กฎหมาย แล้วเราค่อยเอาภาพนั้นน่ะมาเป็นตัวเชื่อมเข้าไปว่ามันจะเกิดขึ้นเพราะคนสองกลุ่มนี้ปะทะกัน มันเกิดมาจากอะไร เราค่อยไปบอกว่ามันมีการชุมนุมเรียกร้องนู่นนี่นั่น ค่อย ๆ ไหลเข้าไป แต่นี่ไม่ใช่เลย อันนี้เปิดมาภาพแรกด้วยสไตล์ความเป็นฮ่องกง

เป็นชีวิตของคนฮ่องกงจริง ๆ
ใช่ ๆ ผมว่ามันคงเกิดขึ้นตอนที่ช่างภาพเขาถ่ายภาพคนตีกันมาเยอะแล้ว แต่เขาก็พยายามเล่าเรื่องอีกแบบหนึ่ง ซึ่งอันนี้มันโดน พอมันเปิดแบบนี้ก็เป็นแอคชั่นเล็ก ๆ ที่มีผู้หญิงคนหนึ่งเปิดหน้าต่างออกมา เหมือนกับเป็นคำถามว่า “มันเกิดอะไรขึ้นในบ้านในเมืองนี้?” แล้วพอเป็นช็อตที่สองซึ่งเป็นภาพของผม ภาพอพาร์ตเมนต์สไตล์ฮ่องกงเหมือนกันนะครับ แล้วก็มีคนเป็นล้านที่ออกมาพร้อมกัน มันก็เลยดูต่อเนื่องกัน

Athit Perawongmetha/ December 31, 2019 / Courtesy of Rueters.

ไปถ่ายภาพนี้ที่ไหน
ผมไปขออพาร์ตเมนต์แถวหวั่นไจ๋ขึ้นไปครับ ผมไปคุยกับ รปภ. ขอขึ้นไป ก็มีให้ขึ้นสองที่ ไม่ให้ขึ้นหลายที่

หมายความว่าตอนที่รอยเตอร์ส่งช่างภาพทั้งยี่สิบแปดคนไปที่ฮ่องกง ทั้งยี่สิบแปดคนนี้ต้องหาวิธีการทำงานของแต่ละคนเอง ใครอยากจะไปถ่ายตรงไหน อย่างไรก็แล้วแต่เลยหรือเปล่า
ใช่ครับ แต่ไม่ได้ส่งไปพร้อมกันทั้งยี่สิบแปดคนนะ เขาจะค่อย ๆ เลือก ค่อย ๆ ส่ง เพราะฮ่องกงเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างปลอดภัยในแง่ของการเดินทางนะ ใช้ชีวิต โรงแรม ถึงไม่สะดวกมาก แต่ก็ไม่ได้ลำบากอะไรนัก ตอนแรกเขาจะเลือกคนที่อยู่ใกล้ ๆ ไปก่อน อยู่ใกล้ ๆ หมายความว่าอยู่ในประเทศใกล้เคียง อย่างประเทศไทยหรือเอเชียที่สามารถไปได้ ไม่ต้องมีวีซ่า แล้วพอเหตุการณ์มันบานปลายขึ้น ทุกคนต้องไปสักอาทิตย์ สองอาทิตย์ สามอาทิตย์ แล้วแต่เหตุการณ์ เขาก็เลยคิดว่าจะส่งเด็ก ๆ ไปด้วย ส่งเด็ก ๆ ไปหมายความว่าคนที่เพิ่งเข้ารอยเตอร์ใหม่ ๆ ให้ไปเจอประสบการณ์ อย่างรูปที่สามนี้ คนนี้เป็นเด็กฝึกงานของรอยเตอร์เมื่อสองปีที่แล้วและเป็นคนแรกของอินโดนีเซียที่ได้พูลิตเซอร์ แล้วเขาไปน้อยมาก เขาไปสิบวันเอง

ขั้นตอนในการส่งคนไป เขาแจ้งอะไรก่อนไหมเช่นเมื่อไปถึงแล้วทำอะไรต่อ
อย่างผมไม่ต้องแล้ว ก็มีแค่อีเมลมาว่าพรุ่งนี้คุณไปฮ่องกง หรือถ้ามีเหตุการณ์ด่วนคืนนี้ไปได้เลย พอไปถึงก็จะมี WhatsApp group ในการทำงาน ก็เหมือนไลน์กลุ่มนี่แหละ มีบรรณาธิการหนึ่งคนแล้วก็มีทีมลีดเดอร์ที่ประจำอยู่ฮ่องกงคนหนึ่ง แล้วเขาก็จะจัดการคนเข้าคนออกอยู่ในกรุ๊ปนี้ สมมติว่าผมไปถึงปุ๊บ เขาก็จะแอดชื่อผมเข้าไปในกรุ๊ป พอผมลงเครื่องมีข้อความแรกบอกว่า พรุ่งนี้ต้องไปที่นี่ ที่นั่น แค่นี้เอง บรรทัดเดียว

แล้วเราก็ไปจัดการเอารูปมาให้ได้
ใช่ เขาจะบอกแค่ประเด็นว่าวันนี้จะมีคนออกมาเดินขบวนสองล้านคน สามล้านคนว่ากันไป เราก็ไปหา ไปถ่ายของเราเอง

ในฐานะช่างภาพข่าว คุณจำเป็นต้องเข้าใจสถานการณ์และความเคลื่อนไหวที่เราไปเจอ เข้าใจธรรมชาติของการรายงานข่าวมากน้อยแค่ไหน ยิ่งถ้าเป็นสำนักข่าวอย่างรอยเตอร์ต้องเข้าใจถึงขั้นไหน
ต้องเข้าใจให้มากเลยครับ ก็ทำการบ้านไปก่อน แต่ถ้าไม่ได้ทำการบ้านไปก่อน ก็ไปนั่งอ่านบนเครื่อง ผมก็ต้องอ่านข่าวก่อนว่าในสามถึงสี่วันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง อย่างในฮ่องกงมันง่ายเลย เพราะเฟซบุกคนไทยก็เขียนเรื่องฮ่องกง ผมก็เข้าใจประมาณหนึ่งว่าเขาออกมาเรียกร้องประเด็นอะไร เรื่องอะไร วันที่เราจะไปถ่ายเขาจะทำอะไรกัน สมมติว่าเขาจะชุมนุม เหมือนว่าบางวันที่เขาไม่ได้ปะทะกัน สักทุ่มสองทุ่มเขาก็จะมาอยู่กันในฮอลล์ ในห้างห้างหนึ่ง แล้วเขาก็จะร้องเพลง เราก็จะไปแคปเจอร์ฟีลการร้องเพลงนั้น เขาเปิดไฟมือถือ แล้วสักสามทุ่มกว่าสี่ทุ่มเดี๋ยวก็จะมีปะทะกันอีกประปราย เราก็จะดูไปเรื่อย ๆ วันต่อวัน อย่างในภาพสุดท้ายภาพที่เป็นภาพ “Free Hong Kong” วันนั้นมีนัดหมายออกมาแค่ว่าผู้ชุมนุมจะเดินไปที่ Lion Rock ไปเฉลิมฉลองนู่นนี่นั่นแค่นั้นเอง

พอทราบหมายแล้วเราทำอย่างไร
เขาก็เรียกให้ผมไป Lion Rock ผมก็โอเค ไปก็ไป เขาบอกว่าผู้ชุมนุมจะรวมบนยอดประมาณสองทุ่ม ผมก็บอกว่า ผมไปหกโมงแล้วกัน แต่จริง ๆ ผู้ชุมนุมเขามากันตั้งแต่บ่ายแล้วครับ ผมก็เดินไปหกโมง สี่ทุ่มยังไม่ถึงยอดเลย (หัวเราะ) เหนื่อยมาก มันเหมือนเดินขึ้นภูกระดึงน่ะ สี่ชั่วโมงได้ แทบคลานเลยนะ ตอนสุดท้ายคือไต่ไปตามหิน คลานสี่ขาไต่ขึ้นไป แล้วผมไม่เคยไป Lion Rock มาก่อน ผมก็ไม่รู้ว่าตรงไหนยอด ผมก็ไปถาม “นี่ยอดรึยัง?” เขาบอก “ยัง” แถวมันยังคดเป็นงูอยู่เลย แล้วเดินได้ทีละคน แล้วคนก็ต่อแถวกันตั้งแต่ตีนเขาไปถึงยอดเพื่อที่จะไปสัมผัสบรรยากาศ พอผมขึ้นไปถึงยอดเสร็จปุ๊บ ก็พอดีกับเวลาที่เขายกไฟพอดี ก็เลยได้ภาพ “Free Hongkong” นั้นมา แต่ว่าเราก็ไม่รู้ว่าคนอื่นอยู่ตรงไหนนะ แต่ผมก็รู้ว่าสำนักข่าวอื่นก็จะได้ภาพอีกจุดหนึ่งมา

การเป็นช่างภาพลงพื้นที่ ทำงานข่าว สุ่มเสี่ยงกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ขณะเดียวกันก็ต้องมีสมาธิกับการทำงาน คุณโฟกัสกับการทำงานตรงนี้อย่างไร
ผมถ่ายงานข่าวมานานแล้ว ตั้งแต่ม็อบเสื้อเหลืองนะ ยัน กปปส. บ้านเราก็มีเหตุการณ์ต่าง ๆ เหมือนเป็นที่ฝึกได้อย่างดีนะ (หัวเราะ) แล้วปี 2553 การประท้วงของคนคนเสื้อแดง มีการใช้กระสุนจริงซึ่งมันแย่มากนะ ผมก็ผ่านจุดนั้นมาแล้ว สิ่งที่ผมยังไม่ผ่านคือสงครามจริง ๆ ที่สองฝั่งมีอาวุธปืนทั้งคู่แค่นั้นเอง แต่พูดโดยรวมคือผมผ่านงานข่าวในบ้านเราในรอบสิบกว่าปีหลัง ก็เหมือนผมได้ฝึกการถ่ายภาพในสถานการณ์เสี่ยงแบบนี้ได้ประมาณหนึ่งแล้ว มีประสบการณ์แล้ว

ต้องจิตใจเข้มแข็งแค่ไหน มีเครียดหรือประสาทเสียไหม
ผมว่าทำงานในบ้านเราประสาทเสียมากกว่า

ทำไม
เพราะผมฟังออก ฝ่ายไหนพูดก็เป็น Hate speech ที่ไปโจมตีอีกฝั่ง ซึ่งบางข้อเท็จจริงเราก็ไม่ได้เห็นด้วยไปกับเขา บางข้อเท็จจริงเราก็ไม่ได้เห็นดีเห็นงามไปกับเขา เราก็จะรู้สึกว่าเรามีอารมณ์ร่วมหรือว่าไม่เชื่อ แต่เวลาไปถ่ายประท้วงที่ต่างประเทศ ผมสบายใจมาก ผมฟังไม่รู้เรื่อง ฟังภาษาจีนไม่รู้เรื่องเลย การฟังภาษาท้องถิ่นไม่รู้เรื่องก็เป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือมีโฟกัสเยอะมากในการทำงาน

รู้ว่าเขาโกรธ แต่ไม่รู้ว่าเขากำลังด่าใครอยู่
ใช่ ไม่รู้ว่าใช้ Hate speech แบบไหน ไม่รู้ว่าด่าเรื่องถูกเรื่องผิด ไม่รู้ว่าด่าหยาบคายแค่ไหน เราไม่รู้เรื่องเลย เราจับแค่แอคชั่นของตัวละครที่อยู่ตรงหน้า มีสมาธิในแอคชั่นนั้นมากขึ้น จดจ่อกับงานมาก ๆ แทบจะเต็มร้อยเลย ไม่ได้ฟังเสียงอะไรเลย อะไรเกิดขึ้นตรงหน้าผมก็ถ่าย หรือเห็นอะไรไกล ๆ ที่ผมพอวิ่งไปได้ ผมก็วิ่งไปถ่าย หรือใครคนไหนไม่รู้ ผมไม่รู้จักแต่ก็ถ่ายไว้ก่อน เพราะอาจจะเป็นคนสำคัญ อาจจะเป็นแกนนำม็อบที่เราไม่รู้จักก็ได้ เราก็ถ่ายไว้ก่อนแล้วค่อยไปถามเพื่อน ๆ ร่วมงานของเราว่าคนนี้ใครวะ (หัวเราะ) ถ่ายไปก่อน ถ่ายทุกอย่างเลย

แต่พอเมืองไทยมันก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง ถ้าเรารู้สึกไม่ซัพพอร์ตเราก็จะรู้สึกไม่ดี เราก็จะรู้สึกถึงสิ่งที่เขาพูดว่ามันไม่ดี เราก็จะรู้สึกว่าเราเอนเอียงนิดหน่อย แต่จริง ๆ พอสวมหมวกสื่อมวลชน เข้าไปทำงานแล้ว ภาพที่ออกมาต้องเป็นกลางครับ อะไรเกิดขึ้นตรงหน้า ก็ต้องถ่ายทอดมาแบบนั้นครับ

ถ้าถ่ายในเมืองไทยแล้วเราฟังออก มันพอมีข้อดีไหม
ก็เป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือเราก็รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น ข้อดีของการถ่ายภาพม็อบประท้วงในเมืองไทยคือเราเห็นแหล่งข่าว เรารู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร รู้ก่อนล่วงหน้า เราเดาได้ เรารู้ได้ว่ามันจะเป็นแบบไหน เดี๋ยวทหารจะทำนี่ เดี๋ยวเขาจะทำนั่น ผมรู้จักคนนู้นคนนี้ ผมเช็คข่าวได้ เดี๋ยวจะไปที่นู่นที่นี่นะ แล้วเราก็จะไปดักถูก แต่ฮ่องกงเราจะช้าไปสองสเต็ป เพราะเราไม่รู้ เราต้องรอคนท้องถิ่นที่เป็นช่างภาพบอกเราว่ามันจะเกิดขึ้นที่นี่แล้วให้เราไป แต่พอเราไปเสร็จก็เหมือนโดนถีบ ไปที่นี่แล้วก็จบ ที่เหลือคือคุณไปขวนขวายหารูปออกมาเอง

ต่อให้เราระบุตัวตนว่าเราเป็นสื่อแต่กระสุนมันไม่รู้หรอกครับว่าเราเป็นใคร

การเอาชีวิตรอดที่ฮ่องกงเป็นอย่างไรบ้าง
การเอาชีวิตรอดที่ฮ่องกงผมชิลมากเลย สบาย ผมไม่โดนอะไรเลยครับ โดนเฉียด ๆ นิดหน่อยแต่ว่าไม่เจ็บ แล้วก็ระวังตัวค่อนข้างดีเพราะว่ามีประสบการณ์มาจากเมืองไทยค่อนข้างเยอะ

แล้วที่เมืองไทยเจอประสบการณ์อะไรที่น่าจดจำบ้าง
ที่เมืองไทยปี 2553 ตรงหลังสวนลุมพินีที่เขาเคลียร์เสื้อแดงแล้วใช้กระสุนจริง วันที่ 19 พฤษภาคมเนี่ย ช่วงบ่าย ๆ ระเบิด M79 ลงข้างหลังผม ทหารทั้งแถบบาดเจ็บลงไปกองหมดเลย แต่ผมไม่เป็นอะไร ผมหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ ตอนนั้นเจ็บหนัก แต่ไม่มีใครเสียชีวิตนะ อันนี้เฉียดสุดแล้วในชีวิต แต่ที่ฮ่องกงผมก็พอเดาได้ว่าเขาจะยิงมาทางไหน มองเห็นได้ แล้วอย่างน้อยก็เป็นแค่กระสุนยาง กระสุนจริงจะเป็นอีกมาตรการหนึ่ง และการทำงานที่รอยเตอร์เนี่ย ก่อนที่คุณจะไปถ่ายม็อบ ถ่ายภัยพิบัติ ถ่ายอะไรอย่างนี้ มันจะมี Internal Training คือทุกคนจะต้องไปเทรนก่อนห้าวัน

เทรนอะไรบ้าง
ไปเทรนว่าในสภาวะแวดล้อมแบบไหน เราควรจะทำตัวยังไง คือเขาไม่ได้สอนเราถ่ายรูปในสภาวะแวดล้อมนั้น แต่เขาสอนให้เราสังเกตอะไร ทำตัวยังไง อุณหภูมิทั้งสองฝั่งเป็นยังไง วันสุดท้ายของการเทรน เราจะต้องถูกจับเป็นตัวประกัน กำลังขับรถอยู่แล้วมีคนมาปล้นรถ ให้เราใส่ถุงคลุมหน้า ไขว้ขาไว้ ประมาณนั้นครับ ทุก ๆ ห้าปีจะมีการเทรนหนึ่งครั้ง

เล่าได้ไหมว่ารอยเตอร์แนะนำว่าอย่างไร ถ้าเราถูกจับเป็นตัวประกัน
ก็คงต้องทำตามที่ผู้ที่จับตัวเราเรียกร้องน่ะครับ ไม่ขัดขืน เพราะเราไม่มีอาวุธ เรามีแค่กล้องถ่ายภาพ หรือถ้าจะปล้น จะเอาทรัพย์สินมีค่า ก็คงต้องให้ทั้งหมด ซึ่งมันแตกต่างจากการถ่ายม็อบ ถ้าเป็นเหตุการณ์ระหว่างผู้บังคับใช้กฎหมายหนึ่งฝั่ง ผู้ประท้วงหนึ่งฝั่ง ผมรู้สึกว่าโอเค ปลอดภัย แต่ก็ต้องดูประเทศด้วย ถ้าเป็นประเทศอย่างฮ่องกงเนี่ย เราการันตีได้เลยว่าเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ไม่มีอาวุธ ไม่มีปืนจริง ส่วนอีกฝั่งหนึ่งเขามีกระสุนยางอยู่แล้วเพราะเขาเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย เขามีกระสุนยางในการปราบปรามอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นม็อบที่ทั้งสองฝั่งมีของทั้งคู่ อันนี้อันตราย

พร้อมจะบ้าคลั่งได้ทั้งคู่
ใช่ครับ เพราะเราไม่รู้เลยว่าใครเป็นใคร บางทีเราอยู่หลังฝั่งตำรวจ แล้วเราเกาะกลุ่มตำรวจเข้าไปเนี่ย ถ้าผู้ชุมนุมอีกฝั่งหนึ่งมีของแล้วยิงสวนมา เราก็โดน ต่อให้เราระบุตัวตนว่าเราเป็นสื่อแต่กระสุนมันไม่รู้หรอกครับว่าเราเป็นใคร (หัวเราะ)

แล้วมาได้ทุกเมื่อ
ครับ แต่สมมติว่าเราอยู่ฝั่งผู้ชุมนุม แล้วอีกฝั่งหนึ่งเป็นตำรวจจากฮ่องกง ตำรวจจะใช้กระสุนยาง แก๊สน้ำตา ปืนฉีดน้ำ สเปรย์พริกไทย แล้วเราก็รู้ว่าจังหวะไหนควรเข้า จังหวะไหนไม่ควรเข้าเพราะเราฝึกมา เราก็มองออกว่าจังหวะนี้เข้าได้ ถ้าคุณดันตำรวจมาก ๆ ตำรวจหลุดสติปุ๊บ เขาดึงสเปรย์พริกไทยมาฉีดเลย สื่อโดนเยอะมาก ถ้าดันกันเยอะ ๆ ผมจะถอยแล้ว ผมจะเก็บภาพกว้าง ๆ เอา

ดูเหมือนเป็นงานที่น่าสนุก แต่ก็เสี่ยงพอสมควร ในฐานะผู้บันทึกเหตุการณ์ อะไรคือสิ่งที่ทำให้เราชอบทำงานนี้
ผมไม่ได้มีความคิดที่จะเป็นช่างภาพข่าวมาตั้งแต่เริ่มแรก เมื่อก่อนผมทำงานเป็นช่างภาพอยู่นิตยสาร เซเว่นทีน ก็ถ่ายอาหาร ถ่ายสัมภาษณ์ ถ่ายทั่วไปเลย งานอีเวนท์ด้วย อีเวนท์กลางคืนคืองานอิ่มของเราถูกไหม (หัวเราะ)

เริ่มจากเป็นช่างภาพจากนิตยสาร
ครับ ถ่ายทุกอย่าง เปิดอีเวนท์เราก็ไปถ่าย เปิดอีเวนท์ ฟิล์มหนึ่งม้วนพอ จบ ก็ประมาณนี้แหละครับ แล้วก็เบื่อ วันหนึ่งก็เบื่อ แล้วก็รู้สึกว่าอยากเปลี่ยนฟีล แต่ว่าตอนนั้นก่อนจะเบื่อ ผมไปได้งานหนึ่งซึ่งทำเป็นมีฟีเจอร์ เป็นงานภาพสารคดีหนังสือในเครือ ทำเรื่องไชน่าทาวน์ ก็ไปเยาวราช ไปถ่ายอยู่สามสี่วัน มีช็อตเปิด ถ่ายช็อตนู้นช็อตนี้ ผมก็รู้สึกว่าฝั่งสารคดีนี้สนุกดี ไม่มีอะไรที่เดาได้เลย ทุกวันที่ออกไปคือวันใหม่ ทุกวันที่ออกไปคือไปเสี่ยงดวงเอา แค่เราหาข้อมูลเยอะๆ ว่าโจทย์คืออะไร ถ้าเราออกไปเวลานี้จะได้อะไร แล้วเราบังคับใครไม่ได้เลย เราไม่มีสิทธิ์อะไรเลย มันเลยเป็นเรื่องสนุกและท้าทาย แล้วตอนนั้นก็เบื่ออีเวนท์ อยากลาออก ก็เลยเปลี่ยนฟีลมาเป็นช่างภาพข่าว ก็เลยไปทำหนังสือพิมพ์

ทำหนังสือพิมพ์อะไร
หนังสือพิมพ์ที่ผมทำอยู่ในเครือผู้จัดการครับ ชื่อที่ International Herald Tribune ปัจจุบันนี้มันยุบหัวแล้วก็รวมเป็นหนังสือพิมพ์ New York Times เมื่อก่อนมันเป็นสองหัวคู่กัน New York Times กับ IHT ส่วนของผมจะเป็นฝั่งภาษาอังกฤษที่ว่าด้วยข่าวในเมืองไทย มีแปดหน้า เขาเรียกว่าเป็น International Herald Tribune Thai day สอดไปกับหนังสือพิมพ์เล่มใหญ่ แต่พอช่วงที่คุณสนธิเข้าประท้วง ก็ขาดเงิน เขาก็ยุบฝั่งผมที่เป็นภาษาอังกฤษลง ถูกเชิญออกหมดเลย แล้วหลังจากนั้นผมก็เป็นฟรีแลนซ์ให้ Getty Images ประมาณช่วงปี 2550

ขายภาพให้ Getty Images
ครับ อย่างผมเรียกว่าช่างภาพแบบ ‘Stringer’ ไม่ได้จ้างประจำ มีงานแล้วค่อยเรียกมา ถ้าในสายข่าว คนที่ไม่ประจำเขาเรียก Stringer ตอนนั้นคือต้องส่ง Portfolio คุยงาน เขียนอีเมลภาษาอังกฤษ ทำแคปชันเอง ซึ่งมันคนละแบบกับ Shutterstock ในสมัยนี้ สมัยนั้นก่อนที่เขาจะให้งานผมเนี่ย ผมจะต้องส่งอีเมลว่า “พรุ่งนี้จะมีประท้วงนะ พรุ่งนี้จะมีข่าวนี้นะ สนใจไหม?” สนใจก็ตกลงกันที่ให้เราทำงานหนึ่งวัน สองวัน ห้าวัน แล้วเราก็ได้เงินมา ก็เป็นงานหนึ่งวัน ได้หนึ่งราคา แล้วก็ไม่รวมค่ากิน ค่าใช้ ค่าเดินทาง ค่าแท็กซี่เราก็เบิกต่างหาก ประมาณนั้น แล้วผมก็มีแค่ by line แต่ผมไม่มีสิทธิ์ในรูป เพราะขายขาดให้ Getty Images สมมติรูปหนึ่งมีคนซื้อสิบครั้ง ผมก็จะได้แค่ครั้งเดียว ได้ราคาในเรทวันนั้นวันเดียวจบ ผมทำให้ Getty Images มาประมาณหก-เจ็ดปีมั้งครับ จนปี 2556 รอยเตอร์เขามาเสนองานให้ ก็ได้เข้ามาทำที่รอยเตอร์

พอเป็นพนักงานของรอยเตอร์แล้วต้องปรับตัวอะไรไหม
ก็ไม่ต้อง เพราะเราอยู่สายนี้อยู่แล้วมาตั้งแต่เริ่มถ่ายข่าว เรามองเห็นมันเป็นเฟรมอยู่แล้ว เลยไม่ต้องปรับอะไร แค่ปรับสไตล์ภาพนิดหน่อย แล้วก็ปรับเรื่องการทำงานอีกนิดเพราะว่าเราไม่ได้เป็นศูนย์กลางของการทำงานแล้ว ตอนที่ทำงาน Getty Images ผมทำงานคนเดียวแล้วก็เสนอเรื่องทุกอย่าง ทำคนเดียวหมดเลย สมมติว่าวันนี้มีประท้วงสามแห่งในกรุงเทพ ผมก็มีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งแล้ววิ่งสามที่เลย ทำคนเดียว ไม่ได้ขี่เองนะ มีคนขี่ให้ เช่ามอเตอร์ไซค์สแตนด์บายไว้ แต่พอมาทำรอยเตอร์ มันจะมีช่างภาพในออฟฟิศอยู่สองสามคน แล้วแต่จังหวะเวลา สมมติถ้ามีเหตุการณ์สามที่ เขาส่งสามคนเลย แล้วเราก็ไม่มีสิทธิ์เลือกด้วยว่าจะไปที่ไหนเพราะว่าเราเป็นสตาฟ เราไม่ได้เป็นหัวหน้า หัวหน้าเขาอาจจะเลือกที่ที่ดีที่สุดหรือเขาอาจจะเอาที่ที่ไม่ดี

แต่ละคนก็มีแพสชั่นแหละ
ใช่ ๆ แล้วแต่เลย คราวนี้สิ่งที่ผมมาเรียนรู้จากรอยเตอร์คือการทำงานเป็นทีม ตอนที่เป็นฟรีแลนซ์อยู่เจ็ดถึงแปดปีมันไม่มี เราโซโล่เดี่ยว พอได้มาทำแบบนี้ บางครั้งก็น้อยใจนิดหน่อยว่า “เราก็ฝีมือดี ทำไมไม่ให้เราไปจุดดี ๆ แล้วทำไมจุดดี ๆ ต้องเป็นคนนั้นไปคนนี้ไป หรือว่าเรายังไม่ได้รับความไว้วางใจ” อะไรแบบนี้

ก็เป็นเรื่องของมนุษย์หรือเปล่า มนุษย์ก็อย่างนี้แหละ
ใช่ มนุษย์ก็อย่างนี้แหละครับ แต่ว่างานในไทยไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่ถ้าไปงานต่างประเทศจะรู้สึกเลยครับ

เกณฑ์ของการเลือกช่างภาพ ก็ขึ้นอยู่กับภูมิลำเนาที่ช่างภาพคนนั้นอาศัยอยู่ด้วยใช่ไหม
ใช่ครับ

เพราะเขาก็จะประหยัดค่าเครื่องบิน ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ อย่างฟิลิปปินส์ก็อาจจะไปได้
ที่ฟิลิปปินส์ผมไปนะ ในเอเชียผมไปหมด ยกเว้นพม่าที่เดียวที่ยังไม่ได้ไป จริง ๆ ผมไปพม่าหลายรอบแล้ว แต่สำหรับงานรอยเตอร์ ผมไม่มีดวงกับพม่า

ถ้าอย่างนี้การประท้วงที่อเมริกา เขาก็ไม่มีทางเลือกเราไปน่ะสิ
ใช่ เพราะมันข้ามโซนไปเยอะมาก แต่เคยมีกรณีนี้นะ อย่างรอยเตอร์ก็เป็นองค์กรที่ดีให้โอกาสคน ยกตัวอย่างฮ่องกงนะครับ ช่างภาพยี่สิบแปดคนที่มา ส่วนใหญ่เป็นคนเอเชีย เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ฮ่องกง ที่อยู่แถว ๆ นี้ไปถ่าย แล้วก็จะมีคนที่อยู่ตะวันออกกลาง ยุโรป แล้วก็มาไกลที่สุดคือมาจากสหรัฐอเมริกาก็มีครับ เขาก็ให้มา เพราะถือว่านี่เป็นเรื่องหลักของปีแล้ว เขาก็ทุ่มทุน ส่งงบประมาณมา อย่างตอนผู้อพยพที่เป็นอเมริกาใต้จะเข้ามาในอเมริกา ก็จะมีคนเอเชียได้ไปถ่ายภาพที่เม็กซิโกหนึ่งคน คนนั้นเป็นคนที่ทำให้ได้พูลิตเซอร์ด้วย คือได้ภาพที่ดีที่สุดของเซตนั้นมา เขาเป็นคนเกาหลี

สมมติว่าถ้าเราเห็นการเคลื่อนไหวบางอย่างที่มันมีสัญญาณว่าจะเกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้นในท้องที่ของเรา ราจะชงเรื่องนี้ให้กับบรรณาธิการอย่างไร
ก็ชงได้ ก็ชงตามขั้นตอนเลยครับ เห็นประเด็นดี ก็ชงให้ บ.ก.ว่าเราน่าจะไปถ่ายคนนั้นคนนี้ ที่นั่นที่นี่ อย่างเดือนที่แล้ว ผมทำเรื่อง Covid ICU ผมว่าผมมีความสามารถพอที่ผมจะทำได้ เพราะผมมีคอนเนคชันกับโรงพยาบาล คุยกับคุณหมอได้ คุณหมอเชื่อใจ ไม่ทำให้ภาพลักษณ์เสียหาย

แสดงว่ารอยเตอร์ก็เปิดกว้างพอสมควร
เปิดกว้างมากครับ แต่เขาจะดูแค่ความคุ้มค่ากับความไม่คุ้มค่า ตัวอย่างเช่นในบางประเด็น ... ผมคิดแบบแฟนซีมาก ๆ เลยนะ อย่างผมอยากไปตาม อสม.ที่ลงพื้นที่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในตอนที่มีคนเดินทางเข้าประเทศ เยอะ ๆ น่ะครับ อันนี้อาจจะไปไม่ได้ เพราะว่าหนึ่งต้องเดินทาง สองพอไปลงพื้นที่แล้วต้องกลับมากักตัว 14 วัน มันไม่คุ้มกัน แต่ถ้าเสนอเรื่องนี้ในช่วงที่ไม่มีโควิด อยากจะทำสตอรี่เกี่ยวกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เขาก็จะดูเลยว่าตอนนี้สามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีใครสนใจในระดับโลกหรือเปล่า ยังขายได้ไหม มันมีเหตุการณ์ขนาดที่ว่าต้องไปเลยเหรอ แต่ถ้าเราได้แหล่งข่าวที่ดีจริง สมมติว่าผมได้แหล่งข่าวที่จะพาผมเข้าไปถ่ายการฝึกอาวุธของกองกำลังสักอย่าง แล้วไปกินอยู่กับเขาเลยหนึ่งอาทิตย์ อะไรแบบนี้ ก็อาจจะได้ไป

แต่ถ้าสมมติจะไปทำเรื่องเหตุการณ์ระเบิด ผู้เคราะห์ร้าย สัมภาษณ์คน ไม่ได้ไปหรอก มันจะต้องดูความคุ้มกับความไม่คุ้ม แต่ว่าเขาเปิดกว้างกับทุกประเด็นนั่นแหละ อยู่ที่ว่าเราจะพูดยังไงให้ได้งบมาทำ

อาจจะถามเจาะลึกหน่อย คือพอได้รางวัลแล้ว แม้จะในฐานะทีมก็ตาม รางวัลที่ได้เปลี่ยนเรายังไงบ้าง
ไม่มีอะไรเลย (หัวเราะ) รางวัลอาจจะเป็นการได้รับการยอมรับมากขึ้น เครดิตของเราอาจจะดีขึ้น คือพอได้ พูลิตเซอร์ขึ้นมา จริง ๆ มันดีกับองค์กรแหละครับ ตอนนี้อย่างที่เรารู้กันว่าเทรนด์ภาพนิ่งจะไปแหล่ไม่ไปแหล่แล้ว ผมพูดรวม ๆ ในโลกนี้เลยนะ ทุก ๆ อย่างเป็นวิดีโอหมดแล้วนะ วิดีโอขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่การได้รางวัลจากการถ่ายภาพนิ่งเป็นทั้งผลดีขององค์กรด้วย และเป็นการตอกย้ำว่าภาพนิ่งยังไม่ตาย ภาพนิ่งยังสร้างอิมแพ็คให้กับสังคมได้ ยังสร้างความตระหนักรู้ให้กับโลกใบนี้ได้
รวม ๆ มันก็ดีขึ้น ผมได้รางวัลผมก็รู้สึกว่าในออฟฟิศผมมีที่ยืน อย่างน้อย ๆ ก็เป็นคนเอเชียที่ได้พูลิตเซอร์ ซึ่งมีไม่มาก เพราะส่วนใหญ่เป็นตะวันออกกลาง เป็นอเมริกา เราก็ได้ความเป็นพูลิตเซอร์ ได้การยอมรับจากเพื่อนร่วมงาน

มองในแง่ของวงการถ่ายภาพไทย ในฐานะช่างภาพไทย สิ่งที่คุณได้รับมาก็ไม่มีใครเคยได้มาก่อน คิดว่าเราเป็นคนสร้างแรงบันดาลใจให้กับน้อง ๆ ในวงการไหม
จริง ๆ มันก็เหมือนหมุดหมายหนึ่งของวงการถ่ายภาพไทยนะ ว่ามีคนไทยไปได้รางวัลแบบนี้แล้ว เหมือนอย่างเพื่อนผม ทวีพงษ์ ประทุมวงษ์ ก็ไปได้รางวัลสตรีทโฟโต้ระดับโลกมา แล้วทำให้วงการสตรีทไทยบูม มาก ๆ เลย เด็กรุ่นใหม่มาถ่ายสตรีทกันหมด อยากเป็นเหมือนทวีพงษ์ ผมก็คิดว่าถ่ายข่าวแบบผมมันก็คงสร้างแรงบันดาลใจได้ แล้วก็เป็นหมุดหมายว่าคนไทยสามารถไปถึงได้
แต่ก็ไม่จำเป็นที่คุณจะต้องออกไปถ่ายม็อบ ไม่จำเป็นต้องออกไปเสี่ยงนะครับ ในโลกนี้มีประเด็นอีกเยอะที่คุณสามารถทำได้ ที่คุณสามารถสร้างอิมแพ็คได้ อย่างสิ่งแวดล้อม โลกร้อน การอพยพ เรื่องผู้สูงอายุ ประเด็นต่าง ๆ เหล่านี้ คุณไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองมาเสี่ยงเลย หรือว่าเรื่องความหลากหลายเรื่องเกี่ยวกับเพศที่หลากหลาย เกย์ เลสเบี้ยน ความรักของเขา ทำได้หมดเลย แล้วเรื่องแบบนี้มันจะไม่ได้ไปได้แค่พูลิตเซอร์ มันจะไปได้ทั้ง World Press Photo Contest มันไปได้ทั้งประกวดหลาย ๆ อย่าง มันไปได้หมดแหละ ซึ่งคุณไม่จำเป็นต้องออกไปถ่ายแค่ประท้วงอย่างเดียว หรือว่าจะเอาหัวข้อที่เป็น cliché หรือเอาหัวข้อที่ต้องรอเหตุการณ์เกิดขึ้น คุณสร้างประเด็นได้ ถ้าคุณหาข้อมูลมามากพอ ถ้าคุณมีแหล่งข่าวมากพอ คุณก็สร้างงานได้แล้วงานของคุณเป็นตัวของตัวเอง ไม่ใช่ว่าคุณถ่ายภาพพร้อมกับช่างภาพอีกร้อยคนที่อยู่มุมเดียวกับคุณ แต่คุณสามารถลงพื้นที่แล้วกำหนดมุมถ่ายของคุณเอง สร้างงานของคุณเอง อันนั้นมีประโยชน์กว่า

ฟังดูเหมือนเป็นคำแนะนำในการสร้างความเข้าใจของการสร้างสตอรี่มากกว่า มากกว่าการแนะนำในฐานะช่างภาพ ต้องใช้เลนส์กล้องแบบนั้น ต้องใช้มุมกล้องแบบนี้
ผมเนี่ยยังไม่สามารถพูดได้ว่าผมเป็น photojournalist เพราะผมเองก็ยังต้องออกไปถ่ายภาพตามหมายงานของออฟฟิศอยู่ หมายความว่า แต่ละวันมันก็จะมีงานตามหมายงาน เช่น นายกฯ ประชุม เรื่องสำคัญ มีประท้วง หรือ มีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมา ซึ่งผมก็เป็นแค่ News Photographer เพราะถือว่าทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย หรือว่าเราคิด เราก็มอบหมายตัวเองไป หรือสมมติว่าตอนนี้มีร้านชาบูดังๆ เราก็ไปถ่าย เราเห็นรูปจากโซเชียล “เฮ้ย อันนี้ดี เป็นประเด็นได้” เราก็ไปถ่าย

แต่ถ้า Photojournalist ล่ะ
Photojournalist คือที่ผมแนะนำไปเมื่อกี้นี้แหละครับ คือสร้างประเด็นได้เอง

ไม่จำเป็นที่คุณจะต้องออกไปถ่ายม็อบ ไม่จำเป็นต้องออกไปเสี่ยงนะครับ ในโลกนี้มีประเด็นอีกเยอะที่คุณสามารถทำได้

มีบ้างไหมประเด็นที่อยากทำ
ผมมีประเด็นที่ผมอยากทำ แต่ว่ามันยังไม่เกิดขึ้น มันยังไม่มีตัวกระตุ้น ยังไม่มีความเคลื่อนไหว ยังไม่มีงานวิจัย ผมอยากทำเรื่องเกี่ยวกับสังคมไทยที่ทรีตผู้หญิงเป็นวัตถุ ผู้หญิงทำไมต้องหน้าอกใหญ่ ผู้หญิงทำไมต้องทำ V-shape ผู้หญิงทำไมต้องขาว ผู้หญิงทำไมต้องเป็นพริตตี้ขายรถ ผู้หญิงทำไมต้องไปนั่งดริ้งค์ อันนี้เป็นสิ่งที่ผมอยากทำ ถ้าตอนนี้ไม่มีเรื่องโควิด แล้วมีใครสักคนที่สามารถบอกได้ว่า “เออ มีคนหนึ่งนะ กำลังทำศัลยกรรมทั้งตัวเลย แล้วก็ออกมาเป็นพริตตี้ สวยเลย พี่สนใจไปถ่ายรูปไหม?” ผมก็จะขยายความจากชีวิตของเขา ผมอาจจะมีภาพที่สองที่ผู้หญิงสวยๆ เต็มไปหมดเลย แล้วก็ไปยืนอยู่ที่รถ ทำไมคนขายเป็นวัตถุเลย หรือว่าผมอาจจะไปตามงานปาร์ตี้ แล้วเรียกผู้หญิงพวกนี้ไปนั่งกินนั่งดื่ม หรือว่าเด็กเชียร์เบียร์ที่โดนลวนลาม นี่คือเป็นประเด็นที่เราสร้างเอง อันนี้คือ Photojournalist ไม่ใช่ช่างภาพข่าว

คือการสร้างสตอรี่ขึ้นมา
ใช่ ๆ แต่ทุนคนไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้นะครับ ผมยืนยันเลยว่าไม่จำเป็นต้องถ่ายอะไรที่แรง ๆ ไม่จำเป็นต้องถ่ายแรงงานเถื่อน ไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตไปเสี่ยง เรื่องแบบนี้ถ้าคุณทำออกมาแล้วทำได้ดีนะ ไปได้ไกลเลย สมมติมีคนอยากทำเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงที่เป็นวัตถุทางเพศเนี่ย แล้วไปคุยกับคนที่เป็นพริตตี้มา สานสัมพันธ์ แลกไลน์คุยกันเฉย ๆ นะ “เฮ้ย ชีวิตเขาดีว่ะ” ปากกัดตีนถีบนะ เขาสู้ “เฮ้ย พี่ขอตามได้ไหม?” ตามคนนี้แล้วขยายออกไป พอมันใหญ่ปุ๊บ คัดรูปออกมาสิบห้าถึงยี่สิบใบ งานมันอิมแพ็คนะครับ แล้วนี่เป็นงานของเขาคนเดียว เป็นงานของเขาที่คนอื่นลอกเลียนแบบไม่ได้ ถ้าคนอื่นลอกแสดงว่าเขาลอกไอเดียของเราครับ คุณมีทั้งไอเดีย คุณมีทั้งแหล่งข่าว คุณมีทั้งสไตล์ภาพ ซึ่งทุกอย่างมันเป็นเรื่องของคุณเอง ดีกว่าที่คุณจะไปถ่ายรูปที่มีคนร้อยคนถ่ายรูปมุมเดียวกับคุณ อันนี้สำคัญกว่า เพราะอย่างตอนที่สตรีทดัง ๆ ทุกคนไปถ่ายรูปสตรีทหมดเลย ทุกคนไปต่อหัวต่อหาง ต่ออะไรกันหมดเลย สุดท้ายคุณต้องย้อนกลับมาที่ว่าโอเค เราอยากจะเป็นแบบนี้ แต่เราจะไม่ทำแบบเขา เราจะต้องมีหมุดหมายของตัวเองครับ เราต้องมีสไตล์ของตัวเอง เราต้องมีคอนเซ็ปท์ของตัวเอง

ไปถ่ายในบ้านที่มีคนร้องไห้หมดเลย แล้วผมก็สงสัยว่าตัวเองต้องเป็นคนเลวร้ายขนาดไหนที่ถ่ายรูปทุกคนร้องไห้ได้

ไม่แน่ใจว่าคุณจำเรื่อง Kevin Carter* ได้ไหม
ได้ครับ

* เควิน คาร์เตอร์ (Kevin Carter) คือช่างภาพหนังสือพิมพ์ชาวแอฟริกาใต้ที่ถ่ายภาพชื่อ “The vulture and the little girl” (หรืออีกชื่อหนึ่งคือ “The Struggling Girl”) ตีพิมพ์ใน New York Times ในปี 1993 บันทึกภาพเหตุการณ์ใน ซาหาราน ประเทศซูดาน เมื่อแร้งตัวหนึ่งนั่งเฝ้าเด็กหญิงผอมโซคนหนึ่งกำลังคืบคลานไปอย่างช้าๆ ภาพนี้ได้รางวัลพูลิตเซอร์ในปี 1994 ก่อนที่ คาร์เตอร์ จะฆ่าตัวตายหลังจากได้รางวัลสี่เดือน เนื่องจากแบกรับความเศร้าจากเหตุการณ์ในภาพไม่ไหว

คิดว่ามันยากลำบากแค่ไหน ในการอยู่ในจุดนั้น
เราเป็นช่างภาพข่าว งานเรามันไต่อยู่บนเส้นลวดของศีลธรรม เอาหลักความเป็นมืออาชีพนะครับ ถ้าเรามองความเป็นมืออาชีพของเราคือช่างภาพข่าวในที่แห่งนั้นนะ ผมไม่สามารถไปช่วยใครได้ เรื่องนี้เกิดขึ้นกับผม ยกตัวอย่างตอนชุมนุมของเสื้อแดง วันที่ 19 พฤษภาคม ปี 2553 เมื่อสิบปีก่อน ระเบิด M79 ลงข้างหลังผม ผมหลบอยู่หลังต้นไม้นะ ผมไม่เป็นไร แต่ทหารบาดเจ็บหนักเลย ถามว่าผมควรจะช่วยทหารไหม ตรงนั้นเงียบสนิทเลยนะครับ สามแยกหลังสวนนี่เงียบเลย ไม่มีเสียงเล็ดลอด ทหารแต่ละคนเงียบกริบ เพราะว่าระเบิดมันลงห้าถึงหกลูก ไม่มีใครช่วยเลย แล้วผมอยู่ตรงนั้น ใกล้ที่สุด ถามว่าผมควรจะไปช่วยเขาไหม ผมก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ามันมีเรื่องให้คิดอยู่สองข้อ หนึ่งความเป็นมืออาชีพของผมคือช่างภาพข่าว สองผมไม่มีความรู้เลยเกี่ยวกับด้านปฐมพยาบาล ผมไม่สามารถทำได้ ผมเป็นแค่ผู้บันทึกเหตุการณ์ ถ้าสมมติว่าตรงนั้นทหารล้มแล้วผมไปยืนถ่ายรูปอยู่คนเดียว ถามว่าผมเป็นคนฉกฉวยผลประโยชน์ไหม ไม่ ไม่ใช่ เพราะว่าหน้าที่ของผมคือเป็นพยานในข่าวนั้น ผมแค่บันทึกเหตุการณ์ ผมไปช่วยอะไรไม่ได้เลย กับเควิน คาร์เตอร์ ในตอนนั้น ผมก็คิดว่าเขามีความเป็นมืออาชีพจริง ๆ นะ

แต่หลังจากนั้นเขาอยู่กับมันไม่ได้
ใช่ครับ มันมี Trauma เยอะ มันคือแผลในใจ มันคือความบอบช้ำในจิตใจ เมื่อก่อนผมก็คิดว่าตัวเองจะไม่เป็น แต่ก็เป็น คือตอนไปถ่ายระเบิดที่ศรีลังกา แล้วผมไปถ่ายในบ้านที่มีคนร้องไห้หมดเลย แล้วผมก็สงสัยว่าตัวเองต้องเป็นคนเลวร้ายขนาดไหนที่ถ่ายรูปทุกคนร้องไห้ได้ ลูกแปดเดือนเสียชีวิต ทุกคนกอดศพตรงหน้า ผมก็ไปยืนถ่ายแล้วก็คิดว่า “ผมต้องเป็นคนเลวขนาดไหน” แล้วมันก็ส่งผลกับผมในเรื่องของจิตใจอะไรประมาณนี้ แต่ว่าสุดท้ายแล้วความเป็นมืออาชีพของคุณคืออะไร คือคุณหมอจิตวิทยาที่ให้ความรู้ ต้องบรรเทาคนตรงนั้นว่าไม่ควรจะร้องไห้ ต้องให้กำลังใจ แต่ความเป็นมืออาชีพของผมไม่ใช่แบบนั้น ความเป็นมืออาชีพของผมคือการถ่ายทอดเหตุการณ์ เป็นพยานในเหตุการณ์ บันทึก ต้องยึดมั่น ถ้าคุณยึดมั่นในหลักตรงนั้นแล้วคุณก็จะไม่ไขว้เขว

และจะทำให้เราก้าวข้ามแผลในใจนั้นด้วยใช่ไหม
มันไม่ก้าวข้ามหรอกครับ แผลนั้นมันจะกลับมาเล่นงานคุณในบางวัน

สำหรับคุณ เคยโดนเล่นงานไหม
เคยครับ มันจะมากับความกดดัน จะมากับความกดดันต่าง ๆ แล้วมันก็จะสะท้อนออกมาในอีกรูปแบบหนึ่ง ผมเคยเป็นเมื่อประมาณเกือบสิบปีก่อนที่ผมจะไปถ่ายงานที่ญี่ปุ่น ถ่ายงานที่เป็นแผ่นดินไหวกับสึนามิที่ญี่ปุ่น ผมอยู่ประมาณเดือนหนึ่ง ช่วงท้าย ๆ ผมไปถ่ายงานครบรอบหนึ่งเดือนที่คนมาเคารพศพ ภาพตรงหน้ามันไม่มีอะไรเลย มันมีแค่ตากับยายคู่หนึ่งมาวางดอกไม้แค่นั้นแหละ แต่แล้วผมก็คิดถึงทุกอย่างที่เราฝ่าฟัน ความลำบากที่เราเดินทาง เงินก็ไม่มี มันกลับมาหมดเลย ผมวิ่งไปร้องไห้ ทำอะไรต่อไม่ได้เลย ร้องไห้อยู่ชั่วโมงหนึ่ง คือแบบร้องสะอึกสะอื้นนะ จะยกกล้องขึ้นอีกทีก็ยกไม่ได้นะ ไม่มีแรงจะทำงาน นั่นเป็นความกดดันที่มันสะท้อนออกมา เป็นความบอบช้ำที่มันสะท้อนออกมาเมื่อเรารับความกดดันเยอะ ๆ

เหมือนเป็นฟองน้ำที่ดูดซับสิ่งต่าง ๆ
ดูดซับทั้งหมดเลยครับ เมื่อถึงจุดหนึ่งมันอาจจะไม่ได้มีภาพคนร้องไห้โฮ ๆ แต่ว่ามันเป็นจุดหนึ่งที่ซึ้งกินใจ พอซึ้งปุ๊บ เราก็ทำงานไม่ได้ อย่างที่ศรีลังกา ตอนที่ผมถ่ายในบ้านนั้น ผมก็รู้สึก ก็ถ่ายไปร้องไห้ไปแหละ เพราะเราเศร้าไปกับเขาด้วย แต่ว่าความกดดันมันกลับมาอีกวันหนึ่ง ซึ่งผมอ่านเมลตอนเช้า แล้วผมก็วิ่งไปอ้วก

อ้วกเลยเหรอ
ใช่ คือมันหนักไปหมด เพราะเราไปทำ Breaking News ด้วย ทุกอย่างเลย ทั้งระวังตัว ทั้งการแข่งขัน ต้องได้รูปที่ดี ต้องสู้ ต้องเข้าหาแหล่งข่าว ต้องไปเอง คุยเอง สัมภาษณ์เอง ทำเอง บางทีไม่มีทีวีอยู่กับเรา เราต้องถ่ายวิดีโอเอง ทำเองทุกอย่าง ถามชื่อ ถามทุกอย่าง ถามแหล่งข่าว มันก็เครียดแล้ว เราต้องส่งรูปให้ได้ ต้องหลาย ๆ อย่างไปด้วย มันก็สะท้อนออกมาในรูปแบบที่เรากดดัน แต่พอกลับมาเราก็ได้เยียวยาจิตใจ เขาก็ให้เราพักสัปดาห์หนึ่งหรืออาจจะสองสัปดาห์ ประมาณนี้ ก็พอช่วยได้นะ ในรอยเตอร์จะมีฮอตไลน์อยู่ด้วย ถ้าเป็นพวกแบบนี้ เขาก็จะคุย หรือจะแนะนำเราว่าให้ปรึกษาเพื่อนสนิท เล่าให้เพื่อนฟัง “วันนี้เราดาวน์มากเลยนะ เราไม่ไหวว่ะ” ก็คุยๆ มันเหมือนลูกโป่งกำลังจะแตกนะ แต่เมื่อเราผ่อนลมออกไปมันก็แฟบลง ก็สามารถดูดซับอะไรแย่ ๆ ได้ใหม่ ก็ประคับประคองใจได้ในระดับหนึ่ง

มันเหมือนลูกโป่งกำลังจะแตกนะ แต่เมื่อเราผ่อนลมออกไปมันก็แฟบลง ก็สามารถดูดซับอะไรแย่ ๆ ได้ใหม่ ก็ประคับประคองใจได้ในระดับหนึ่ง

คิดว่าจะทำงานนี้ไปถึงเมื่อไหร่
ตอนนี้ทำยังไงก็ได้ ขอแค่อย่าตกงานช่วงนี้แล้วกัน (หัวเราะ) ผมว่าช่วงนี้ก็แย่กันทุกคน แย่กันทุกที่ แย่กันทุกสื่อ อยากให้ผ่านช่วงนี้ไปให้ได้ ก็ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม แล้วก็ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหลังจากจบอาชีพนี้ผมจะไปทำอะไรได้อีก เพราะว่าผมก็ไม่ได้มีคอนเนคชัน ไม่ได้มีอะไรเลย ทั้งชีวิตก็มาแต่ตรงนี้แล้วน่ะครับ มันก็ไม่สามารถที่จะไปไหนได้อีก อาจจะไปเป็นพ่อครัว (หัวเราะ) อาจจะเปลี่ยนฟีลไปเลยก็ได้

    TAG
  • ชุม อธิษฐ์ พีระวงศ์เมธา
  • Photojournalist
  • photography
  • people
  • interview

ในสายตาของฟองน้ำผู้ดูดซับสิ่งต่างๆ : คุยกับชุม อธิษฐ์ พีระวงศ์เมธา ช่างภาพไทยคนแรกผู้คว้ารางวัลพูลิตเซอร์

PEOPLE/INTERVIEW
July 2020
CONTRIBUTORS
EVERYTHING TEAM
RECOMMEND
  • PEOPLE/INTERVIEW

    คุยกับ Cupnoodle ผู้ที่ซื่อสัตย์และมั่นคงในดนตรีของตัวเอง ท่ามกลางความคิดแสนนานาจิตตัง บนเส้นทางสู่เป้าหมายชีวิตที่เรียกว่า “ศิลปิน”

    แค่ได้อ่านชื่อ ก็เชื่อว่าคิ้วของทุกคนคงต้องผูกกันเป็นปมด้วยความสงสัยแล้วว่า ‘บะหมี่ถ้วย ใช้ชื่อนี่เป็นชื่อศิลปินจริงดิ’, ‘มาทำเพลงเอาตลกหรือเปล่าเนี่ย’ บอกไว้ก่อนเลยว่า ไม่ ไม่ตลกเลย เพราะชีวิตที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังผลงานเพลงของ Cupnoodle หรือ “ซาช่า โจสท์” นั้น เต็มไปด้วยความพยายาม ความตั้งใจ จนบางครั้งก็ต้องยอมเสียสละบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้ได้ไขว่คว้าความฝันวัยเด็กในการเป็นศิลปิน ที่ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านนั้น เธอแทบจะผ่านประสบการณ์การลงมือทำมาหมดทุกอย่างแล้วเพื่อเข้าใกล้วงการดนตรีให้ได้มากที่สุด (ซึ่งเยอะจนเราเชื่อว่าคงเขียนเล่าได้ไม่ครบ) แต่แม้จะมุ่งมั่นออกตัววิ่งบนเส้นทางนี้ไปด้วยความรวดเร็วมากเท่าไหร่ ซาช่า ที่ ณ ตอนนั้นใช้ชีวิตอยู่ที่ลอนดอน ก็ยังคงไม่เห็นเส้นชัยของตัวเองสักที

    EVERYTHING TEAMJune 2025
  • PEOPLE/INTERVIEW

    มองสถาปัตยกรรมไทยร่วมสมัยในฐานะวัฒนธรรมที่มีชีวิตผ่าน ART TOYS เจาะลึกแนวคิดความสนุกจาก DUCTSTORE the design guru Co.,Ltd.

    ทันทีที่ Key Visual สถาปนิก’ 68 เผยแพร่ออกมา บทสนทนาปลุกสัญชาตญาณนักสืบในตัวทุกคนพร้อมใจกันทำงานแบบ Autopilot และระหว่างที่ตามหาเฉลยกันจริงจัง ทุกคนเริ่มหันมาตั้งคำถามต่อว่า Art Toys เกี่ยวข้องกับธีมงานอย่างไร รู้ตัวอีกทีวงสนทนาก็กระเพื่อมขยายกว้างขึ้น ส่งสัญญาณชัดว่า Key Visual ปีนี้เปิดฉากมาแบบสนุกเอาเรื่อง โดนเส้นกันสุดๆ

    EVERYTHING TEAMJanuary 2025
  • PEOPLE/INTERVIEW

    อุ้ม-วัลลภ รุ่งกำจัด นักแสดงภาพยนตร์อิสระ สู่เส้นทางของ Cannes Film

    วัลลภ รุ่งกำจัด หรือ อุ้ม นักแสดงที่เชื่อมโยงความเป็นมนุษย์กับโลกของภาพยนตร์ ผ่านการสร้างชีวิตให้ตัวละครต่าง ๆ ได้ออกมาโลดแล่นแสดงความรู้สึกทางอารมณ์ให้กับผู้ชม แม้เขาจะไม่ได้เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงในวงกว้างเทียบเท่ากับนักแสดงกระแสหลัก แต่ในเวทีระดับโลก “อุ้ม” ได้พิสูจน์ตัวเองกับการเป็นนักแสดงที่มีความสามารถที่ยอมทุ่มเทหลาย ๆ สิ่ง ให้กับงานศิลปะด้านการแสดงในภาพยนตร์เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้อย่างสุดตัว

    EVERYTHING TEAM9 months ago
  • PEOPLE/INTERVIEW

    พูดคุยกับ “MAMIO” บนหน้ากระจกสะท้อนตัวตนที่ถูกซ่อนมาทั้งชีวิต “อาจใช้เวลานานถึง 30 ปี แต่ก็ดีกว่าไม่มีโอกาสได้รู้เลย”

    คงปฏิเสธไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้เราได้รู้จักกับเธอคนนี้ในชื่อของ พัด หรือที่ชอบเรียกติดปากกันว่า พัด ZWEED N’ ROLL เจ้าของเสียงทุ้มมีเสน่ห์ นักร้องและนักแต่งเพลงที่ฝากผลงานเพลงเศร้าเอาไว้ในวงการมากมาย อาทิ ช่วงเวลา, Diary, อาจเป็นฉัน และอีกมากมาย ไม่มีอะไรแน่นอนแม้กระทั่งตัวเราเอง ช่วงเวลาจึงได้พัดพาให้เรามาทำความรู้จักกับ “MAMIO” ในฐานะศิลปินใหม่จากค่าย Warner Music Thailand ซึ่งเป็นอีกตัวตนหนึ่งของคุณพัดที่ไม่เคยถูกปลดปล่อยออกมาเลยตลอดชีวิตการทำงานในวงการสิบกว่าปีที่ผ่านมา หรือถ้าจะให้ซื่อสัตย์กับตัวเองจริง ๆ ก็อาจจะเป็นทั้งชีวิตที่เกิดมาเลยเสียด้วยซ้ำ

    EVERYTHING TEAM9 months ago
  • PEOPLE/INTERVIEW

    THE ROARING SOUND OF BANGKOK EVILCORE

    Whispers เป็นหนึ่งในวงดนตรีที่สะท้อนการเติบโตของวงการ Hardcore ในประเทศไทยอย่างแท้จริง ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงกลุ่มเพื่อนที่หลงใหลในดนตรี เพราะนอกจากจะเป็นผู้เล่น พวกเขายังเป็นกำลังสำคัญที่คอยผลักดันซีนฮาร์ดคอร์ในบ้านเรามาโดยตลอด ประสบการณ์ที่สั่งสมทำให้เกิดเป็นสไตล์เฉพาะของ Whispers สร้างความแตกต่างและเป็นเอกลักษณ์ จนทำให้พวกเขาก้าวไปสู่เวทีระดับสากล ถึงแม้พวกเขาจะอยู่ใต้ดินของไทย แต่เสียงคำรามของพวกเขาก็ดังไปไกลถึงทวีปยุโรป มาพบกับเส้นทางดนตรีที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจและการเปลี่ยนแปลง กับวงฮาร์ดคอร์ระดับบท็อปของ Southeast Asia

    EVERYTHING TEAM10 months ago
  • PEOPLE/INTERVIEW

    Nat Inksmith (ชณัฏฐ์ หวังบุญเกิด) มากกว่าความสวยงามคือการนำเสนอผลงานที่เป็นตัวตนผ่านศิลปะลายสัก

    ด้วยลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์และรูปแบบงานสักของเขา ที่เรารู้สึกแปลกประหลาดกว่างานสักอื่น ๆ (แปลกประหลาดในที่นี้คือความหมายในแง่ดีนะ) ก็เลยตัดสินใจส่งข้อความทักไปหา “พี่นัทครับ ผมขอสัมภาษณ์พี่ได้ไหม” “ได้ครับ” สั้น ๆ แต่จบ เรื่องราวทั้งหมดก็เลยเริ่มต้นขึ้นที่ร้าน CAVETOWN.TATTOO แถว ๆ ปิ่นเกล้า ซึ่งพี่นัทเป็นเจ้าของร้านแห่งนี้ บทสนทนาของเราเริ่มกันในช่วงเวลาบ่าย ๆ ของวันพฤหัส พอไปถึงร้านพี่นัทกำลังติดงานสักให้กับลูกค้าอยู่หนึ่งคน พอได้เห็นลายที่เขาสักต้องบอกว่าเท่มาก ๆ มันมีความเป็น Psychedelic บวกกับ Ornamental ผสมผสานกับเทคนิค Dotwork จนกลายเป็นงานศิลปะบนผิวหนังหลังฝ่ามือ เราถึงกับต้องถามคำถามโง่ ๆ กับลูกค้าที่ถูกสักว่า “เจ็บไหม” แน่นอนคำตอบที่ได้คือ “โคตรเจ็บ” เพราะจุดที่สักคือหลังฝ่ามือ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่หลายคนร่ำลือกันว่าโคตรเจ็บ ระหว่างที่รอพี่นัทไปพลาง ๆ น้องแมคช่างภาพที่มีรอยสัก Full Sleeve เต็มแขนขวา ก็เริ่มกดชัตเตอร์กล้องถ่ายรูปเก็บภาพระหว่างที่เขาสักไปด้วย พอสักเสร็จเรียบร้อยก็ปล่อยให้พี่เขาพักผ่อนกินน้ำ ปัสสาวะ (อ่านแยกคำนะอย่าอ่านติดกัน) ก่อนจะพูดคุย แต่เดี๋ยว ! ก่อนจะเริ่มบทสนทนา เราขอเกริ่นให้ฟังซักนิดนึงเกี่ยวกับชายคนนี้ก่อน

    EVERYTHING TEAM10 months ago
SIGN UP TO OUR NEWSLETTER
A Monthly update of the new issue from us
THANK YOU FOR YOUR SUBSCRIPTION

We use cookies, localStorage and other technologies (collectively, "cookies") to recognise your browser or device, learn more about your interests, and provide you with essential features and services and for additional purposes. ( see details )