LOOKING ON EVERYTHING ?
EXPLORE ON EVERYTHING


เมื่อแรกเห็นฉากอันเปี่ยมสีสันฉูดฉาดจัดจ้านในหนัง Barbie (2023) ของผู้กํากับ เกรตา เกอร์วิก (Greta Gerwig) สิ่งแรกที่เราอดนึกถึงไม่ได้เลยคือผลงานของ เดวิด ฮอกนีย์ (David Hockney) หนึ่งในศิลปินคนสําคัญในกระแสศิลปะป๊อปอาร์ตในยุค 60s และเป็นหนึ่งในศิลปินอังกฤษที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20 จากผลงานภาพวาดสีสันสดใสฉูดฉาด จัดจ้าน เต็มไปด้วยความเก๋ไก๋ เปี่ยมสไตล์ และความฉลาดหลักแหลม จนเป็นที่จดจําของคนรักศิลปะทั่วโลกอย่างยากจะลืมเลือน


ภาพวาดในยุคแรกๆ ของฮอกนีย์ เป็นการทดลองกับงานแนวนามธรรมเปี่ยมสีสัน และเต็มไปด้วยสัญลักษณ์แฝงที่แอบบอกใบ้ถึงตัวตนและความเป็นรักร่วมเพศของเขา ในช่วงปลายยุค 1960 เขาย้ายไปพํานักที่รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา และหันมาวาดภาพพอร์ตเทรตของเพื่อนๆ คนรัก ครอบครัว และญาติๆ ที่อยู่ในอิริยาบถที่ผ่อนคลาย ไลฟ์สไตล์แบบชิลๆ เก๋ๆ โดยใช้สีสันสดใสใน สไตล์ป็อปอาร์ต และรูปแบบที่ผสมผสานระหว่างความเหมือนจริงและลักษณะที่คลี่คลายแบบภาพการ์ตูน ซ่ึงได้รับแรงบันดาลใจมาจากงานโฆษณาและวัฒนธรรมบริโภคนิยม ด้วยมนต์สเน่ห์ของแสงตะวัน ท้องฟ้า ทะเล หาดทราย และบรรดาหนุ่มๆ น้อยใหญ่ในแคลิฟอร์เนีย ที่มักจะขลุกกันอยู่ในสระว่ายน้ํา ทําให้สระว่ายน้ํากลายเป็นหัวข้อโปรดในการวาดภาพในช่วงนี้ของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาพวาดที่โด่งดังที่สุดในชุดนี้ของเขาอย่าง A Bigger Splash (1967) ที่เป็นภาพน้ําในสระแตกกระจายราวกับใครบางคนกระโดดลงสระตูมใหญ่ ผลงานของเขาในช่วงนี้ส่วนใหญ่มีเนื้อหาที่ชัดเจนเกี่ยวกับเซ็กส์ รักร่วมเพศ อันแสนเย้ายวน (โฮโม-อิโรติก) ด้วยความมีอิสระเสรี และความเปิดกว้างทางเพศในดินแดนแห่งเสรีภาพอย่างสหรัฐอเมริกา ซึ่งตรงกันข้ามกับประเทศอังกฤษประเทศบ้านเกิดของเขา ที่มีความเป็นอนุรักษ์นิยมและคับแคบทางเพศกว่าเป็นไหนๆ ผลงานในช่วงนี้นี่เองที่ผลักเขาให้ไปยืนโดดเด่นอยู่บนแถวหน้าของศิลปะกระแสป็อป (Pop art) ของอเมริกันในที่สุด
นอกจากเป็นจิตรกรชั้นเยี่ยมแล้ว เขายังเป็นนักวาดภาพประกอบชั้นยอด และเป็นนักทําภาพพิมพ์ชั้นครู เขาวาดภาพประกอบให้กับเรื่องสั้น บทกวี และนิทานหลายต่อหลายเรื่อง นอกจากนั้นเขายังเป็นนักออกแบบฉากและนักออกแบบเสื้อผ้าให้กับละครเวที และยังเป็นช่างภาพที่มีฝีมือโดดเด่นและมีความคิดที่ล้ำหน้าที่สุดคนหนึ่งในวงการอีกด้วย
ด้วยความที่ฮอกนีย์เกิดมาพร้อมกับอาการซินเนสเตเซีย (Synesthesia) อาการทางสมองที่ประสาทสัมผัสทั้งสี่ อย่างการมองเห็นสีสัน, การได้ยิน, การสัมผัส และการดมกลิ่น ผสมผสานปนเปเข้าด้วยกันอย่างแยกไม่ออก ทําให้เขามองเห็นสีสันเวลาได้ยินเสียงเพลง สิ่งนี้ไม่ได้แสดงออกมาในผลงานภาพวาดหรือภาพถ่ายของเขาเท่านั้น แต่ถูกแสดงออกมาในผลงานออกแบบฉากให้กับละครเวที, บัลเลต์ และโอเปร่า ซึ่งสีสันและแสงสีในผลงานเหล่านั้นก็ได้มาจากสิ่งที่เขามองเห็นเวลาฟังดนตรีประกอบของการแสดงเหล่านั้นนั่นเอง
ในช่วงยุค 80 เขาได้ปฏิวัติรูปแบบของศิลปะการถ่ายภาพอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวขึ้นมาใหม่ โดยเขาให้ชื่อว่า “Joiners” ซึ่งเป็นการใช้กล้องถ่ายภาพธรรมดา หรือกล้องโพลารอยด์ ถ่ายภาพวัตถุ, บุคคล หรือสถานที่แห่งหนึ่งหลายๆ ครั้ง และนํามาปะติดปะต่อจนกลายเป็นภาพภาพเดียว และเนื่องจากภาพเหล่านั้นถูกถ่ายมาจากหลายมุมมอง หลายองศา หลายเวลา บางครั้งสิ่งที่ถูกถ่ายเคลื่อนไหวจากมุมมองเดิม บางครั้งแสงเปลี่ยน บางครั้งเขาก็เคลื่อนกล้องไปรอบๆ สิ่งที่ถ่ายจึงแสดงให้เห็นมิติ มุมมอง และความรู้สึกที่แตกต่างหลากหลายกันในภาพภาพเดียว ซึ่งมีความเชื่อมโยงและคล้ายคลึงกับแนวคิดของศิลปะคิวบิสม์ (Cubism) อันโด่งดังนั่นเอง แนวคิดในการถ่ายภาพแบบนี้ เขาบังเอิญได้มาจากการที่ในช่วงปลายปี 60 เขาพบว่าช่างภาพหลายคนในยุคนั้นนิยมใช้เลนส์มุมกว้าง (Wide angle lens) ถ่ายภาพ และเขาไม่ชอบผลที่ออกมา เพราะมักจะให้ภาพที่บิดเบือนและหลอกตา จนกระทั่งเขาลองต่อภาพถ่ายโพลารอยด์เพื่อใช้เป็นแบบในการวาดรูปแล้ว เกิดได้เป็นมุมมองและมิติที่น่าสนใจ กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขาคิดค้นเทคนิคใหม่นี้ขึ้นมา เขาหลงใหลการถ่ายภาพสไตล์ใหม่นี้เป็นอย่างมาก และหมกมุ่นจนถึงกับเลิกวาดภาพไปช่วงหนึ่ง จนในเวลาต่อมาเขารู้ก็สึกเบื่อหน่ายในข้อจํากัดของการถ่ายภาพและหันกลับมาวาดภาพในที่สุด

ในช่วงหลัง เขาผสมผสานเทคนิคต่างๆ ทั้งเก่าใหม่ สร้างสรรค์งานศิลปะหลากหลายรูปแบบที่มีทั้ง ภาพทั้งทิวทัศน์ บุคคล สิ่งของ และหลากหลายแนวทาง ทั้งนามธรรม คิวบิสม์ และภาพเหมือนจริง อีกทั้งยังไม่ปิดกั้นตัวเองในการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ทํางานศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นกล้องโพลารอยด์, แฟ็กซ์, เครื่องถ่ายเอกสาร หรือแม้แต่อุปกรณ์สื่อสารยอดนิยมในยุคสมัยปัจจุบันอย่าง iPhone และ iPad ฮอกนีย์ในวัย 70 กว่า หันมาใช้อุปกรณ์เหล่านี้ในการสร้างสรรค์งานศิลปะ โดยช่วงปี 2009 เขาใช้แอพวาดภาพ (Brushes app) ใน iPhone วาดรูปและอีเมลส่งให้เพื่อนๆ ของเขาทุกวันต่อมาเขาเปลี่ยนมาใช้ iPad เพราะมีขนาดใหญ่และวาดถนัดมือกว่า เขามักวาดรูปด้วย iPad ในห้องนอนของเขา หลังจากทดลองทํางานศิลปะด้วยเครื่องมือชนิดใหม่ ศิลปินสุดเปรี้ยวผู้นี้กล่าวว่า
“iPad เป็นเครื่องมือที่ทําให้การวาดภาพด้วยมือกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งมากกว่าจะเป็นแค่เทคโนโลยีสมัยใหม่ธรรมดาๆ ไม่ต่างอะไรกับสมุดวาดภาพอุปกรณ์ชิ้นนี้จะเปลี่ยนมุมมองของเราต่อทุกสิ่งตั้งแต่การอ่านหนังสือพิมพ์ไปจนถึงการวาดภาพ มันสามารถเป็นอะไรก็ได้ที่คุณอยากให้เป็น เป็นอะไรที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่ผมจะเรียกว่าเป็น ‘เครื่องมือสารพัดนึก’ (Universal Machine) ได้เลยทีเดียว ที่เจ๋งก็คือเวลาใช้ iPad คุณสามารถดูย้อนหลังเวลาคุณวาดภาพได้ ผมไม่เคยดูตัวเองกําลังวาดภาพมาก่อน นี่ถือเป็นครั้งแรกเลย”

ภาพวาดของฮอกนีย์ที่ใช้ปากกาสไตลัสวาดใน iPad และพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ตออกมาเป็น ภาพขนาดใหญ่ในเวลาเพียงแค่ 20 นาทีเหล่านี้ จุดประกายคําถามขึ้นในหมู่นักวิจารณ์ศิลปะทั้งหลายว่า การวาดภาพบน iPad เหล่านี้มีคุณค่าคู่ควรจะเป็นงานศิลปะหรือไม่?
นักวิจารณ์บางคนกล่าวว่า “ผลงานชุดนี้ของเขาไม่สามารถซ่อนความจริงที่ว่า มันถือกําเนิดจากอุ ปกรณ์อิเล็คโทรนิกส์ ไม่ว่าจะมีรูปลักษณ์เหมือนภาพวาดบนกระดาษแค่ไหนก็ตาม” บางคนกล่าวว่า “เป็นภาพวาดที่จืดชืด ตายสนิท ไร้ชีวิตชีวา และไม่มีกึ๋นโดยสิ้นเชิง” บ้างก็ว่า “การเปิดใจรับ เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนศิลปะก็เป็นอีกเรื่อง” แต่นักวิจารณ์บางคนก็ชื่นชมงานศิลปะจาก iPad ของฮอกนีย์ว่าฉลาดและมีชั้นเชิง และกล่าวว่าเป็นผลงานของศิลปินหัวก้าวหน้าที่ไม่เคยหยุดนิ่งทางความคิด และสรรหาหนทางใหม่ๆ ในการทํางานศิลปะเสมอ
ถึงแม้ผลงานหลายชิ้นของ เดวิด ฮอกนีย์ จะได้รับอิทธิพลอย่างมากจากภาพยนตร์ โดยเฉพาะหนัง ฮอลลีวูด ในทางกลับกันผลงานของเขาเองก็ส่งอิทธิพลต่อวงการภาพยนตร์อย่างมากเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์สารคดีกึ่งชีวประวัติของเขาอย่าง A Bigger Splash (1973) ที่ถือเป็นผลงานสารคดีชิ้นเยี่ยมในโลกภาพยนตร์ หรือแม้แต่ผู้กํากับระดับตํานานอย่าง มาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) ก็ยกย่องว่าเดวิด ฮอกนีย์ เป็นแรงบันดาลใจสําคัญให้แก่ผลงานของเขา ไม่เพียงแค่หนังสารคดี A Bigger Splash ที่เขายกให้เป็นผลงานชิ้นเอกและเป็นหนึ่งในหนังเกี่ยวกับกระบวนการทํางานสร้างสรรค์ที่สําคัญที่สุดเท่าที่มีคนสร้างขึ้นมาแล้ว สกอร์เซซียังกล่าวว่าสารคดีเรื่องนี้เป็นแรงบันดาลใจสําคัญให้ผลงานชิ้นสําคัญของเขาอย่าง Taxi Driver (1976) อีกด้วย หรือผู้กํากับชาวอิตาเลียนอย่าง ลูกา กัวดานีโน (Luca Guadagnino) (Call Me by Your Name (2017)) ยังกล่าวว่า ภาพวาด A Bigger Splash ของ เดวิด ฮอกนีย์ นั้นเป็นแรงบันดาลใจสําคัญให้หนังเรื่อง A Bigger Splash (2015) ของเขาอย่างมาก จนถึงกับเอาชื่อภาพมาตั้งเป็นชื่อหนังเลยทีเดียว

“ด้วยภาพวาด A Bigger Splash ของเขา ฮอกนีย์สร้างความพิศวงอันน่าทึ่ง ความลึกลับของความปรารถนา ความลึกลับทางเพศ อุปมาของผิวน้ําที่แตกกระจายโดยไม่มีใครรู้ว่ามีอะไรอยู่ใต้น้ํา จนกลายเป็นภาพลวงตาในภาพวาด อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อการดํารงอยู่ของมนุษย์หายไป? และหายไปนานแค่ไหน? ภาพวาดสระว่ายน้ําภาพอื่นๆ ของเขาก็มีความลึกลับเช่นนี้แฝงอยู่ในผืนน้ําอันอบอวลด้วยความปรารถนาทางเพศ ในสวนสวรรค์ในแคลิฟอร์เนียที่เขาอาศัยอยู่ในช่วงเวลานั้น สรวงสวรรค์ที่น้อยคนจะเข้าถึง เมื่อผมคิดถึงแนวคิดเบื้องต้นเบื้องหลังหนังเรื่องนี้ที่เกี่ยวกับความเสียใจ, ความรัก, ความพ่ายแพ้สิ้นหวัง และความริษยา นี่คือคุณสมบัติอันโดดเด่นในผลงานของฮอกนีย์ยุค 60s ที่ผมสัมผัสได้ ผิวน้ําที่สาดกระเซ็นทําให้เราเห็นห้วงขณะแห่งรอยแตกร้าวในความเป็นจริง ด้วยแรงขับเคลื่อนที่เกิดจากแรงขับทางเพศ คุณไม่อาจคาดเดาอะไรได้เลย นี่คือสิ่งที่ผมต้องการให้มีในหนังของผม ผมจึงรู้สึกว่าจําเป็นอย่างยิ่งที่จะตั้งชื่อหนังเรื่องนี้ตามชื่อของผลงานชิ้นเอกของศิลปินระดับปรมาจารย์ผู้นี้อย่าง เดวิด ฮอกนีย์ นั่นเอง”
กลับมาที่หนัง Barbie กันต่อ ทันทีที่เราได้ดูหนัง เราก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอาย สีสัน เส้นสายและองค์ประกอบของผลงาน เดวิด ฮอกนีย์ ในองค์ประกอบและสีสันของฉากและงานสร้างของหนังเรื่องนี้อย่างที่เรียกได้ว่าแทบจะถอดแบบมาเลยก็ว่าได้



แถมเรายังไปค้นข้อมูลเบื้องหลังจนพบว่านักออกแบบงานสร้าง ซาราห์ กรีนวูด (Sarah Greenwood) และนักออกแบบฉาก เคธี สเปนเซอร์ (Katie Spencer) กล่าวว่า พวกเธอได้แรงบันดาลใจในการออกแบบฉากในหนัง Barbie จากผลงานของ เดวิด ฮอกนีย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาพวาดในชุดสระว่ายน้ําของเขา ที่เห็นเด่นชัดที่สุดก็คือฉากสระว่ายน้ําสวนหลังบ้านของบาร์บี้ ตัวละครเอกในหนังที่นอกจากจะได้แรงบันดาลใจจากภาพวาด Portrait of an Artist (Pool with Two Figures) (1972) ของฮอกนีย์แล้ว ยังได้แรงบันดาลใจจากสระว่ายน้ําของโรงแรม เดอะ ฮอลลี วูด รูสเวลต์ (The Hollywood Roosevelt Hotel) ในลอสแอนเจลีส แคลิฟอร์เนีย ที่เดวิด ฮอกนีย์ ไปวาดภาพเอาไว้ที่ก้นสระอีกด้วย เรียกได้ว่านอกจากศิลปะจะส่องทางให้แก่กันแล้ว ยังเผื่อแผ่มาส่องทางให้หนังด้วยเหมือนกัน
หนังสือ
David Hockney A Chronology 40th Anniversary Edition สำนักพิมพ์ TASCHEN
ART IS ART, ART IS NOT ART อะไร (แม่ง) ก็เป็นศิลปะ ผู้เขียน ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ สำนักพิมพ์แซลมอน
เว็บไซต์
faroutmagazine.co.uk/cinema-shaped-david-hockney-art/
www.anothermag.com/design-living/8361/luca-guadagnino-on-the-inspiration-behind-a-bigger-splash www.vogue.com/article/barbie-production-designer-interview
แรงบันดาลใจจากภาพวาด สู่ภาพยนตร์ Barbie & Hockney
/
ณ นาทีนี้คงไม่มีซีรีส์เรื่องไหนร้อนแรงไปกว่า “BEEF” ออริจินัลซีรีส์ของ Netflix ที่ผลิตโดยค่าย A24 จากฝีมือการสร้างสรรค์ของ อี ซองจิน (Lee Sung Jin) ผู้กำกับและเขียนบทซีรีส์ชาวเกาหลี ที่เล่าเรื่องราวของสอง “คนหัวร้อน” อย่าง แดนนี่ (สตีเว่น ยอน) ชายหนุ่มผู้รับเหมาชาวเกาหลี-อเมริกันอับโชค ผู้กำลังมีปัญหาทางการเงิน กับ เอมี่ (อาลี หว่อง) สาวนักธุรกิจชาวจีน-อเมริกัน เจ้าของกิจการร้านขายต้นไม้สุดหรู ผู้กำลังไต่เต้าจากการเป็นชนชั้นกลางระดับสูงไปเป็นเศรษฐีเงินล้าน โดยเริ่มต้นจากการสาดอารมณ์ใส่กันในเหตุการณ์กระทบกระทั่งกันบนท้องถนน (Road rage) ลุกลามจนกลายเป็นเรื่องราวบานปลายฉิบหายวายป่วงกันถ้วนหน้าอย่างคาดไม่ถึง
/
ในซีรีส์สุดสยองยอดฮิตของ Netflix อย่าง Guillermo del Toro's Cabinet of Curiosities (2022) ผลงานปลุกปั้นของ กิเยร์โม เดล โตโร (Guillermo del Toro) ผู้กำกับชาวเม็กซิกันเจ้าของรางวัลออสการ์จาก The Shape of Water (2017) กับซีรีส์กระตุกขวัญสั่นประสาท จบในตอน จำนวน 8 ตอน จากฝีมือการกำกับของผู้กำกับ 8 คน ที่เดล โตโรเป็นผู้คัดสรรทั้งผู้กำกับ, นักเขียนบท และเรื่องราว (บ้างก็เป็นเรื่องราวที่เขียนขึ้นมาใหม่ บ้างก็ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องสั้นสยองขวัญสุดคลาสสิค) ด้วยตัวเอง ราวกับเป็นภัณฑารักษ์ที่เฟ้นหาผลงานศิลปะสุดสยองมาประดับในตู้แห่งความพิศวงของเขา
/
อาจไม่อยู่ในความสนใจของคุณ แต่ถ้าคุณเป็นคนที่สนใจเรื่องภาพยนตร์ คุณควรรู้ไว้สักหน่อยว่า เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มีนักทำหนังชาวไทยคนหนึ่งนำหนังไทยไปคว้ารางวัลใหญ่ “หนังยอดเยี่ยม” จากเทศกาลภาพยนตร์ “Doclisboa 2019” ที่เมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส นักทำหนังคนนั้นชื่อ ปุ่น - ธัญสก พันสิทธิวรกุล และหนังเรื่องนั้นชื่อ “Santikhiri Sonata” เป็นหนังสารคดีผสมฟิกชันที่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ชื่อ “สันติคีรี”
/
หลังจากที่ฉายรอบปฐมทัศน์ในสายประกวด Asian Future ของเทศการ Tokyo International Film Festival 2017 เมื่อปลายปีที่ผ่านมา กับผลตอบรับจากคนดูและสื่อมวลชนที่ให้ความสนใจ Someone From Nowhere - มา ณ ที่นี้ ภาพยนต์ลำดับที่ 2 ในบทบาทผู้กำกับของปราบดา หยุ่น
/
ถ้าเอ่ยชื่อของ เปโดร อัลโมโดวาร์ (Pedro Almodóvar) หลายคนอาจรู้จักเขาในฐานะผู้กํากับเจ้าของ ฉายา “เจ้าป้าแห่งวงการหนังสเปน” ที่นอกจากหนังของเขาจะเต็มไปด้วยลีลาอันจัดจ้าน เปี่ยมสีสัน เต็มไปด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวอันแปลกประหลาดพิลึกพิลั่นพิสดารเหนือความคาดหมาย และถึง พร้อมไปด้วยศิลปะภาพยนตร์อย่างเต็มเปี่ยมแล้ว ด้วยความที่อัลโมโดวาร์หลงใหลในศิลปะอย่างลึก ซึ้ง ทําให้มักจะมีงานศิลปะปรากฏให้เห็นในหนังของเขาอยู่บ่อยครั้ง และนอกจากเขาจะหยิบงาน ศิลปะเหล่านั้นมาใช้ในหนังเพราะความหลงใหลและรสนิยมส่วนตัวอันวิไลของตัวเองแล้ว ในหลายๆ ครั้ง ผลงานศิลปะเหล่านั้นยังทําหน้าที่ในการช่วยขับเคลื่อนเรื่องราว ขับเน้นบุคลิกภาพของตัวละคร และเป็นสัญลักษณ์ที่สัมพันธ์กับเนื้อหาในหนังอย่างแนบเนียน
/
ท่ามกลางลิสต์ภาพยนตร์ต่อสู้ระทึกขวัญ หรือภาพยนตร์ดราม่าเรียกอารมณ์ผู้ชม ใน Hong Kong Film Gala Presentation & Dynamic Cityscapes of Hong Kong Films “งานภาพยนตร์ฮ่องกงพลังหนังขับเคลื่อนเมือง กับนิทรรศการหนังฮ่องกง” ที่เดินทางกลับมาฉายในไทยอีกครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ยังมีภาพยนตร์กลิ่นอายโรแมนติกอีกหนึ่งเรื่อง ที่น่าจับตามองไม่แพ้กันอย่าง Love Lies ที่นำเสนอความสัมพันธ์ของแพทย์หญิงหม่าย ที่รับบทโดย Sandra Ng Kwan-Yue (อู๋จินหยู) ผู้ร่ำรวย และมีหน้าที่การงานที่ดี ซึ่งบังเอิญตกหลุมรักกับวิศวกรชาวฝรั่งเศสวัยกลางคน ที่คอยหยอดคำหวานและคำห่วงใยผ่านแชทมาให้ตลอด จนกระทั่งเธอค้นพบความจริงว่าเบื้องหลังแชทเหล่านี้เกิดขึ้นด้วยคำลวงจากฝีมือเด็กหนุ่มมิชฉาชีพ ที่รับบทโดย MC Cheung (เอ็มซีเจิ้ง) ดังนั้นเรื่องราวต่อจากนี้ในภาพยนตร์จึงเป็นการค้นหาคำตอบของเธอในสมการความสัมพันธ์ครั้งนี้ว่าจะจบลงอย่างไร
We use cookies, localStorage and other technologies (collectively, "cookies") to recognise your browser or device, learn more about your interests, and provide you with essential features and services and for additional purposes. ( see details )