"อัลเทอร์เยอรมันยุค 80" (Brilliant Dilletantes) ทศวรรษสุดขบถ กับวงดนตรีใต้ดินหลังกำแพงเบอร์ลิน | IAMEVERYTHING.CO

LOOKING ON EVERYTHING ?

EXPLORE ON EVERYTHING

"อัลเทอร์เยอรมันยุค 80"
(Brilliant Dilletantes)

ทศวรรษสุดขบถ กับวงดนตรีใต้ดินหลังกำแพงเบอร์ลิน

เร้าจังหวะไปกับทศวรรษแห่งความขบถ การทดลอง การสร้างสรรค์ดนตรีแนวใหม่ที่ไร้กฏเกณฑ์ ในยุคที่ศิลปินรุ่นใหม่แสวงหารูปแบบทางศิลปะที่ผสมผสานหลากหลาย ก่อนสู่การล่มสลายกำแพงเบอร์ลินในปี 1989 นิทรรศการ "อัลเทอร์เยอรมันยุค 80" (Brilliant Dilletantes) ที่ช่างชุ่ย ทำให้เราสนุกไปกับความสุดโต่งในการแสดงออกทางดนตรีของวัยรุ่นยุคนั้น ที่เติบโตคู่ขนานไปกับแฟชั่น งานศิลปะ ภาพถ่าย ภาพยนตร์ และการออกแบบ จนก่อเกิดเป็นวัฒนธรรมย่อยที่เปลี่ยนทิศทางศิลปะของเยอรมนียุค 80 อย่างสุดขั้ว และแยกตัวจากกระแสหลัก

เย็นวันนั้นฝนตกกระหน่ำ ไม่ต่างกับเสียงกลองจาก 7 วงดนตรีเยอรมนียุค 80 ที่เร้าจังหวะรัวชวนให้โยกหัวตาม นิทรรศการนี้นำเสนอมุมมองหลากมิติของซับคัลเจอร์ไม่ใช่แค่ดนตรี แต่ยังมีผลงานสร้างสรรค์ของศิลปินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ตัวอย่างเสียง ภาพถ่าย วิดีโอ นิตยสาร และโปสเตอร์ ที่ว่าไม่คุณจะเคยเป็นคนยุคอัลเทอร์เนทีฟมาก่อนหรือไม่ แต่ความเท่ของคัลเจอร์กลุ่มย่อยที่เฟื่องฟูอยู่หลังกำแพงเบอร์ลิน อาจปลุกความขบถในตัวคุณให้ตื่นขึ้นตามจังหวะสุดมันแห่งยุคอัลเทอร์เยอรมันได้ไม่ยาก

“Brilliant Dilletantes” (Geniale Dilletanten) ได้รับกล่าวขานว่าเป็นนิทรรศการแห่่งยุค 80 ของเยอรมนีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด จัดขึ้นโดยสถาบันเกอเธ่ ที่ไปเผยแพร่มาแล้วหลายเมืองทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น วอชิงตัน ดีซี, ซาน ฟรานซิสโก, เมืองซาเกร็บ, มอสโก, มินสก์, เมลเบิร์น มาจนถึงประเทศไทย โดยชื่อนิทรรศการตั้งตามชื่อคอนเสิร์ตที่เคยเปิดแสดงในเมืองเบอร์ลินปี 1981 และตั้งใจสะกดชื่อผิด แต่กลายเป็นคำเรียกยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงทางในศิลปะของเยอรมนีช่วงระยะเวลาสั้นๆ เวลาหนึ่งได้อย่างดี

“มันเป็นบรรยากาศแห่งศิลปะ
ที่เต็มไปด้วยการทดลอง”
- Mathilde Weh

“มันเป็นบรรยากาศแห่งศิลปะที่เต็มไปด้วยการทดลอง” มาทิลเดอ เวห์ (Mathilde Weh) ภัณฑารักษ์ของงานนี้กล่าวถึงยุคนั้น เป็นช่วงที่ศิลปินรุ่นใหม่ต่างค้นหาแนวทาง และทดลองใช้สื่อรูปแบบต่างๆ ที่มีอยู่ในการแสดงออกทางศิลปะแบบผสมผสานข้ามแนว (Cross-Genre) ได้เห็นศิลปินมาเล่นดนตรี นักดนตรีทำหนัง จนถึงคนทำหนังเข้าสู่วงการแฟชั่น เป็นต้น

Ornament und Verbrechen

เราจึงได้เห็นการทดลองทางดนตรีแนวใหม่ที่หลุดกรอบบรรทัดฐานของเหล่าวงดนตรียุคนั้น อย่างการสร้างสรรค์เสียงดนตรีโดยใช้วิธีการประยุกต์เครื่องดนตรีจากสิ่งที่ไม่ใช่เครื่องดนตรี เช่น วง Ornament und Verbrechen (ออร์นาเมนท์ อุนด์ แฟร์เบรคเค่น : Ornament and Crime) จากฝั่งเยอรมนีตะวันออก ที่ก่อตั้งโดย สองพี่น้อง โรนัลด์ และโรเบิร์ตในปี 1983 ที่นำสายยางรถน้ำ ท่อไอเสียจักรยานยนต์มาประดิษฐ์เป็นเครื่องดนตรีเป่า นำกระป๋องพลาสติกที่มีเลโก้อยู่ข้างใน ไม่ก็ลิ้นชักตู้ที่บุด้วยขนสัตว์ จนถึงถังน้ำมัน 20 ลิตรจากสหภาพโซเวียต มาประยุกต์เป็นเครื่องเคาะ แม้ในช่วงยุคเกือบถังแตกของวง Einstürzende Neubauten (ไอน์ซตืร์สเซนเดอ นอยเบาเท่น : Collapsing New Building) ที่ต้องขายเครื่องดนตรีบางชิ้นไป ก็เคยประยุกต์เครื่องดนตรีขึ้นเองจากเศษโลหะ และข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น ถังน้ำมัน ค้อน สว่านไฟฟ้า และเลื่อย เป็นต้น

Einstürzende Neubauten

ในยุค 80 เรายังได้เห็นการเติบโตของแนวคิดการจัดการตนเอง (Self Organization) และการทำด้วยตนเอง (Self - Organization) ของเหล่าศิลปินรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการผุดขึ้นของคลับทั่วเยอรมนีตะวันตกที่เป็นแหล่งกำเนิดวงดนตรีแนวอัลเทอร์เนทีฟมากมาย การกำเนิดใหม่ของค่ายเพลง และเหล่าศิลปินอิสระลงมือทำเพลงเอง ผลิตแผ่นเสียง เทป หรือจัดแสดงคอนเสิร์ตขึ้นเอง และแม้แต่จัดแสดงคอนเสิร์ตที่ไม่มีใบอนุญาตด้วย โดยเฉพาะทางฝั่งเยอรมนีตะวันออก ที่ถ้าวงไหนขบถสักหน่อย ก็จะถูกหมายหัวว่าสร้างความขัดแย้งบ่อนทำลาย ทำให้การแสดงคอนเสิร์ตของวงนั้นเป็นสิ่งผิดกฏหมายทันที เหมือนอย่างวง Ornament und Verbrechen ที่ต้องหันมาเล่นดนตรีในแกลเลอรี่ ไม่ก็สถานที่ส่วนบุคคลแทน แต่ยิ่งถูกปิดกั้น ก็ยิ่งทำให้วงมีแนวคิดเปิดกว้างรับสหายนักดนตรี นักกวี และศิลปินให้เข้ามาสับเปลี่ยนร่วมจอยวงอย่างมากหน้าหลายตา Ornament und Verbrechen เป็นวงที่ตัวตั้งตัวตีสร้างเครือข่ายกลุ่มใต้ดินในการทำงานเพลงของตัวเอง ที่ศิลปินอิสระจะบันทึกเพลงไว้ในเทปคาสเซ็ทที่ผลิตซ้ำเพียงเล็กน้อย จากนั้นเทปเพลงจะถูกซ่อนในงานของศิลปิน หรือไม่ก็ในนิตยสารที่ตีพิมพ์ขึ้นเองเพื่อนำไปสู่ผู้ฟัง ในช่วงกลางทศวรรษ 1980 วง Ornament und Verbrechen ยังไปร่วมทำแผ่นเสียงกับค่ายเพลงที่อยู่ฝั่งตะวันออกด้วย

เมื่อกล่าวถึงวงดนตรีที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนหนุ่มสาวชาวเยอรมนีนอกกระแสในยุคนั้น ก็ต้องมีวงในตำนานอย่าง Einstürzende Neubauten ที่กำเนิดขึ้นในปี 1980 ในเบอร์ลินตะวันตก วงที่มาพร้อมความหลุดสุดเหวี่ยงกับแนวเพลงทดลองเสียงที่อุบัติขึ้นโดยบังเอิญ เป็นการทลายเส้นแบ่งระหว่าง “ดนตรีกับเสียงรบกวน” ด้วยเสียงกรีดร้องของนักร้อง บวกกับกีต้าร์ไฟฟ้าที่ไม่ได้ตั้งสาย และการเล่นด้นสด ถือเป็นหัวหอกบุกเบิกวงการศิลปะและดนตรีอิสดัสเทรียลในเยอรมนียุคนั้น ซึ่งเป็นความขบถที่โด่งดังถึงระดับนานาชาติเลยทีเดียว

Deutsch Amerikanische Freundschaft (D.A.F.)

ทางด้านฝั่งคลับดนตรีแนวพังก์ในตำนานของเมือง Düsseldorf (ดึสเซิลดอร์ฟ) อย่าง Ratinger Hof ก็ยังเป็นสถานที่กำเนิดวงดนตรียุคบุกเบิกแนวเพลงอิเล็กทรอนิกส์บอดี้, อิเล็กโทรพังก์ และเทคโนมิวสิคของเยอรมนี ขึ้นในปี 1978 ในนาม Deutsch Amerikanische Freundschaft (D.A.F.) (ด๊อยซ์ อเมริกานิชเชเอร์ ฟรอยด์ซัฟท์) กับเอกลักษณ์แนวดนตรีที่ใช้จังหวะกลองหนักหน่วงแบบดนตรีพังก์ผสานกับเสียงสังเคราะห์อิเล็กทรอนิกส์ พร้อมเนื้อเพลงขบถ กับเทคนิคการร้องแผ่วๆ แบบกึ่งร้องกึ่งพูด ที่พวกเขาเรียกแนวดนตรีของตนเองว่าเป็น “บอดี้ มิวสิก”

Der Plan

เราได้เห็นหลายวงดนตรีในยุคนั้นที่เกิดการ Cross-Genre หรือนำแนวคิดทางศิลปะหลากแขนงมาผนวกเข้าด้วยกัน โดยเริ่มตั้งแต่สมาชิกของวงที่เป็นศิลปินแต่มาเล่นดนตรี เหมือนอย่างวง Der Plan (แดร์ พลาน : Plan) แห่งเมือง Düsseldorf ที่ฟอร์มวงขึ้นในปี 1978 เป็นนักดนตรีที่ผันตัวจากการทำแกลเลอรี่ศิลปะ สมาชิกวงเลยเป็นคนออกแบบปกอัลบั้ม ใบปลิว และโปสเตอร์ขึ้นด้วยตัวเอง ไปจนถึงการสร้างห้องเสียงขึ้นเอง เป็นการขับเคลื่อนอย่างหนึ่งที่ทำให้วงดนตรีนอกกระแสสามารถทำเพลงและเผยแพร่ผลงานได้อย่างอิสระ ซึ่งศิลปินวงอื่น อาทิ D.A.F และ Die Tödliche Doris ก็เคยไปใช้สตูดิโอนั้นอัดเพลงด้วย ความคิดสร้างสรรค์ที่จัดจ้านของวงนี้ยังรวมถึงการดีไซน์ฉาก และเครื่องแต่งกายสุดเซอร์เรียล พร้อมหน้ากากที่แปลกประหลาดชวนพิศวงขึ้นเอง ซึ่งเนื้อเพลงของ Der Plan จะออกแนวเสียดสีประชดประชัน แต่ดนตรีก็ค่อนข้างฟังง่ายอย่างที่พวกเขานิยามแนวดนตรีของตัวเองว่าเป็น “อิเล็กทรอนิกส์ป๊อบ”

Die Tödliche Doris

อีกวงที่มีความเป็นศิลปินเข้มข้นไม่แพ้กันคือวง Die Tödliche Doris (ดี เทิดลิกเคอ ดอริส : The Deadly Doris) ที่ตั้งขึ้นในปี 1980 โดยสองนักศึกษาคณะศิลปกรรม (หลังจากนั้นก็มีศิลปินและนักดนตรีคนอื่นเข้ามาร่วมวงเป็นระยะๆ) พวกเขาไม่ใช่แค่ทดลองสร้างสรรค์ด้านเสียงดนตรี แต่ยังผนวกศิลปะหลากแขนงไว้ด้วย ทั้งชิ้นงานศิลปะ ศิลปะจัดวาง งานเขียน ภาพยนตร์ จนถึงภาพถ่ายที่พวกเขาทำขึ้นเอง โดยการแสดง เครื่องแต่งกาย และสไตล์ดนตรียังแตกต่างกันไปในแต่ละคอนเสิร์ต ถ้าได้เห็นตัวอย่างวิดีโอ ที่นักดนตรีกำลังสีไวโอลินจ่ออยู่หน้าไมโครโฟนซึ่งถูกจุดไฟจนลุก เกิดเป็นเสียงดนตรีที่แปลกสุดๆ นั่นแหละคือวงนี้เอง

Freiwillige Selbstkontrolle (F.S.K.)

ในนิทรรศการนี้ยังนำเสนอเรื่องราวของวงที่ถูกเรียกว่าเป็น “วงดนตรีกลุ่มปัญญาชนของเยอรมนี” อย่าง Freiwillige Selbstkontrolle (F.S.K : Voluntary Self-Sensorship) ที่สมาชิกมาจากอดีตกลุ่มกองบรรณาธิการนิตยสารใต้ดินแห่งมิวนิคที่ชื่อ Mode & Verzweiflung ทำให้สมาชิกมีทั้งภัณฑรักษ์ นักเขียน ช่างภาพ และนักดนตรี มาร่วมวงทำเพลงทำนองรื่นหู กับเนื้อเพลงที่มีอารมณ์ขัน พร้อมสำเนียงเสียดสีอย่างสร้างสรรค์ตั้งแต่ปี 1980 หลังจากนั้นในปี 1989 วง F.S.K ยังได้รับเชิญจากสถานีวิทยุเยาวชนเยอรมันตะวันออกให้ไปเปิดคอนเสิร์ตฝั่งเบอร์ลินตะวันออกด้วย

Palais Schaumburg

ตบท้ายด้วย Palais Schaumburg (ปาเลส์ ซัมแบร์ก) ปี 1980 โดดเด่นด้วยดนตรีผสมผสานเครื่องสังเคราะห์เสียง เครื่องแซมเพลอร์ เสียงทรัมเป็ต ประสานไปกับเสียงร้องแปลกล้ำเหมือนคนพร่ำบ่นกับทำนองไร้จังหวะ ที่บอกถึงความเป็นอิสระจากทุกบรรทัดฐานทางดนตรีในยุคนั้นของเยอรมนี

นอกจากทางฝั่งของเสียงดนตรีแล้ว ในนิทรรศการยังสร้างบรรยากาศให้เราอินไปกับสถานที่ต่างๆ และผู้คนกลุ่มซับคัลเจอร์ในภาพถ่ายสุดเท่จากหลากหลายช่างภาพ อีกทั้งยังฉายภาพยนตร์แนวทดลอง 6 เรื่องด้วยกล้องวิดีโอ 8 มม. รุ่น Super สะท้อนวัฒนธรรมกลุ่ม ที่มาพร้อมมุมมองอิสระเปิดกว้างในการผสมผสานศิลปะหลายแขนงเข้าด้วยกัน

Sascha von Oertzen

ซาชา ฟอน เอิร์ทเซ็น (Sascha von Oertzen) ผู้ก่อตั้ง Notorische Reflexe วงดนตรีแนวทดลองในยุค 80 ที่ใช้นิทรรศการนี้เขามา Live Performace ผ่านเสียงร้องเป็นภาษาเยอรมันที่ผสานกับเครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ และอะคูสติก ร่วมกับการวิชวลวิดีโอ และการโชว์ Live Painting เพื่อสะท้อนถึงแนวคิดในการแสดงออกทางศิลปะแบบ Cross-Genre

ก่อนปี 1989 แม้กำแพงเบอร์ลินจะเป็นอุปสรรคขวางกั้นระหว่างเยอรมนีตะวันตกและตะวันออก แต่ไม่เป็นปัญหาสำหรับการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมของกลุ่มซับคัลเจอร์สองฝั่งนั้น คนหนุ่มสาวเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของอีกฝั่งที่อยู่หลังกำแพงเบอร์ลินผ่านรายการวิทยุตะวันตก และต่างแสวงหาแนวทางใหม่ในการแสดงออกอย่างสุดขั้วผ่านสื่อศิลปะต่างๆ ที่แทรกไว้ด้วยการวิพากษ์สังคมที่บ้างเกรี้ยวกราด บ้างประชดประชัน และบ้างมีชั้นเชิง ทำให้เกิดทศวรรษแห่งความขบถที่มีสีสัน ก่อนการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน

นิทรรศการจัดแสดงตั้งแต่วันนี้ - วันที่ 6 ตุลาคม 2562 ที่ช่างชุ่ย ครีเอทีฟพาร์ค (กรีนโซน)
ตั้งแต่เวลา 11.00 น. ถึง 21.00 น. (ปิดทุกวันพุธ)

Special Thank : Goethe Institut 
    TAG
  • art
  • exhibition
  • punk
  • Brilliant Dilletantes
  • ช่างชุ่ย
  • อัลเทอร์เยอรมันยุค 80
  • culture

"อัลเทอร์เยอรมันยุค 80" (Brilliant Dilletantes) ทศวรรษสุดขบถ กับวงดนตรีใต้ดินหลังกำแพงเบอร์ลิน

ART AND EXHIBITION/MUSIC
6 years ago
CONTRIBUTORS
EVERYTHING TEAM
RECOMMEND
  • CULTURE&LIFESTYLE/MUSIC

    “INDIE UNDERRADAR” เพลงดีที่ถูกลืม EP_5 By MMdestro

    Check this out

    EVERYTHING TEAM8 months ago
  • CULTURE&LIFESTYLE/MUSIC

    “INDIE UNDERRADAR” เพลงดีที่ถูกลืม EP_4 (Japanese Indie special) By MMdestro

    Check this out

    EVERYTHING TEAMa year ago
  • CULTURE&LIFESTYLE/MUSIC

    “คงมี (Maybe I Hope)” เพลงใหม่ดี ๆ จากวง THE JUKKS ที่ปลดล็อคความรู้สึกให้ผู้ฟังได้เกิดใหม่

    เมื่อเสียงดนตรีคืออวัยะวะชิ้นที่ 33 ของวง “The Jukks” จึงไม่แปลกใจที่แม้ผ่านเวลาไปเกือบ ๆ 13 ปี (จากอัลบั้มแรกจนถึงซิงเกิลปัจจุบัน) พวกเขาเหล่าศิลปินจากค่ายเพลงห้องเล็ก ก็ยังสื่อสารกับทุกคนในทุกช่วงเวลา ผ่านเสียงดนตรีที่สะท้อนถึงความเป็นเอกลักษณ์ของวง ด้วยเนื้อหา แนวคิด และมุมมองทางดนตรีใหม่ ๆ ได้อย่างมีสไตล์ และยังโดดเด่นด้วยการใช้ภาษาในการเขียนเพลง

    EVERYTHING TEAMApril 2024
  • CULTURE&LIFESTYLE/MUSIC

    “INDIE UNDERRADAR” เพลงดีที่ถูกลืม EP_3 By MMdestro

    Check this out

    EVERYTHING TEAMApril 2024
  • CULTURE&LIFESTYLE/MUSIC

    “INDIE UNDERRADAR” เพลงดีที่ถูกลืม EP_2 By MMdestro

    Check this out

    EVERYTHING TEAMMarch 2024
  • CULTURE&LIFESTYLE/MUSIC

    “INDIE UNDERRADAR” เพลงดีที่ถูกลืม EP_1 By MMdestro

    Check this out

    EVERYTHING TEAMFebruary 2024
SIGN UP TO OUR NEWSLETTER
A Monthly update of the new issue from us
THANK YOU FOR YOUR SUBSCRIPTION

We use cookies, localStorage and other technologies (collectively, "cookies") to recognise your browser or device, learn more about your interests, and provide you with essential features and services and for additional purposes. ( see details )