BURMICA ภาพวาดต่อต้านเผด็จการด้วยแรงบันดาลใจแห่งศิลปะที่ส่งผ่านกาลเวลาของ “อุบัติสัตย์” | IAMEVERYTHING.CO

LOOKING ON EVERYTHING ?

EXPLORE ON EVERYTHING

BURMICA ภาพวาดต่อต้านเผด็จการด้วยแรงบันดาลใจแห่งศิลปะที่ส่งผ่านกาลเวลา ของ อุบัติสัตย์
Guernica (1937) by Pablo Picasso

Writer:
Panu Boonpipattanapong

Photograph:
SUVANNABHUMI ART GALLERY, Mango Art Festival

  ในปี 1937 รัฐบาลสเปนได้ว่าจ้างศิลปินชาวสเปนผู้ยิ่งใหญ่อย่าง ปาโบล ปิกัสโซ (Pablo Picasso) ซึ่งลี้ภัยการเมืองอยู่ที่ฝรั่งเศสให้วาดภาพขนาดใหญ่สำหรับแสดงในศาลาสเปน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการศิลปะนานาชาติในงานเวิลด์แฟร์ที่กรุงปารีส แต่ในช่วงที่เริ่มทำงาน เขาบังเอิญได้อ่านข่าวเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมที่เกอร์นิกา หมู่บ้านชนบทเล็ก ๆ ในแคว้นบาสก์ ของสเปน ประเทศบ้านเกิดของเขา ที่ถูกรัฐบาลเผด็จการของนายพลฟรังโก อาศัยกองกำลังทหารนาซีและฟาสซิสต์บุกโจมตีและทิ้งระเบิดปราบปรามผู้ต่อต้านจนย่อยยับในสงครามกลางเมือง ทำให้มีประชาชนผู้บริสุทธิ์ล้มตายเป็นจำนวนมากไม่เว้นแม้แต่เด็กและสตรี ทำให้เขาเกิดความโกรธแค้นเป็นอย่างมาก และตัดสินใจวาดภาพเกี่ยวกับเหตุการณ์ในเกอร์นิกาขึ้นมาแทน เขาลงมือเขียนภาพขนาดใหญ่ถึง 3.89 x 7.76 เมตร ด้วยสีน้ำมันทาบ้านที่เขาสั่งทำเป็นพิเศษ มันเป็นภาพเขียนแบบคิวบิสม์ (Cubism) ที่ใหญ่สุดที่เขาเคยทำมา เขาตั้งชื่อภาพนี้ว่า GUERNICA (1937) ด้วยภาพวาดภาพนี้ ปิกัสโซใช้เทคนิคของงานศิลปะสมัยใหม่ ถ่ายทอดความเลวร้ายน่าสยดสยองของสงครามและระบอบเผด็จการได้อย่างทรงพลังยิ่ง

อุบัติสัตย์

   ในอีก 85 ปี ต่อมา ศิลปินชาวไทยผู้หนึ่ง หยิบเอาแรงบันดาลใจจากภาพวาดที่ยิ่งใหญ่ของปิกัสโซภาพนี้ มาถ่ายทอดความเลวร้ายน่าสยดสยองของเผด็จการทหารในประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงเรา ที่กดขี่ ย่ำยี และเข่นฆ่าประชาชนของตนเองอย่างเลือดเย็น ผ่านภาพวาดของเขาได้อย่างทรงพลังเช่นเดียวกัน ภาพวาดที่ว่านี้มีชื่อว่า BURMICA (2022) ของศิลปินร่วมสมัยชาวไทย ผู้อาศัยและทำงานอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ผู้มีฉายาว่า “อุบัติสัตย์” ผู้ทำงานเกี่ยวกับประเด็นทางสังคมการเมืองอย่างเข้มข้นจริงจัง

ภาพวาด BURMICA ใน Mango Art Festival ที่โกดัง De Siam Antiques

   ภาพวาดขนาด 2.40 x 8.40 เมตร ภาพนี้ของเขานำเสนอการทับซ้อนเรื่องราว 3 แบบ บนระนาบของเทคนิคทางศิลปะแบบคิวบิสม์ อันเป็นเทคนิคเฉพาะตัวของปิกัสโซที่ใช้ในภาพวาด GUERNICA ซึ่งประกอบด้วย เรื่องราวของหมู่บ้านเกอร์นิกาจากประวัติศาสตร์โลกตะวันตกในสงครามโลกครั้งที่ 2 และประวัติศาสตร์ของประเทศพม่า ที่แบ่งเป็น 7 ช่วงเวลา จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่ช่วงเวลาของอาณาจักรพุกาม, อาณาจักรตองอู, ราชวงศ์โก้นบอง, ยุคสมัยที่พม่าตกอยู่ภายใต้อาณานิคมของอังกฤษ, ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่พม่าตกอยู่ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่น, ยุคสมัยแห่งการประกาศเอกราชและการเป็นประชาธิปไตยในเวลาอันสั้น, ยุคสมัยใหม่ (นับแต่ปี 1988), และเหตุการณ์การต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยของประชาชนพม่าในปี 2021 โดยเขานำเนื้อหาเหล่านี้มาประกอบสร้างเป็นรูปทรงใหม่เพื่อบอกเล่าถึงประสบการณ์อันโหดร้ายของประชาชนภายใต้การกดขี่ของเผด็จการทหาร

   อุบัติสัตย์ เล่าให้เราฟังถึงแรงบันดาลใจเบื้องหลังภาพวาดภาพนี้ของเขาว่า
   “ภาพวาด GUERNICA ต้นฉบับนั้นจุดประกายมาจากความหดหู่จากชะตากรรมอันเลวร้ายของเพื่อนมนุษย์ ภาพวาดของผมก็เป็นเช่นเดียวกัน แต่ภาพวาดของผมจะมีสัดส่วนเตี้ยกว่าภาพวาด GUERNICA และยาวกว่าเล็กน้อย เพราะผมย่อสัดส่วนของภาพวาดของผมให้มีขนาดพอดีกับพื้นที่ที่จัดแสดงงาน เรียกว่าเป็นการย่อส่วนจากภาพวาด GUERNICA ก็ว่าได้”

ภาพวาด BURMICA ก่อนติดตั้งงาน

   “ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา พม่าถือเป็นประเทศที่เป็นหนึ่งในท็อปของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บุคลากรชั้นนำของพม่าอย่าง อู ถั่น (U Thant) เลขาธิการสหประชาชาติชาวเอเชียคนแรก ก็จบการศึกษาที่มหาวิทยาลัยย่างกุ้ง หรือในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นต้องการยึดพม่าให้ได้ เพราะถ้ายึดพม่าได้ ก็จะเข้าอินเดียและจีนได้ พม่าถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการที่ญี่ปุ่นจะครองอำนาจฝั่งเอเชีย ในขณะที่นาซีเยอรมนีจะครองฝั่งยุโรป แล้วพม่าเองก็มีทรัพยากรธรรมชาติเยอะมาก ประชากรพม่าก็พูดภาษาอังกฤษเก่ง เพราะเคยอยู่ใต้อาณานิคมของอังกฤษ ถ้าพม่าพัฒนาประเทศได้ จะนำหน้าหลายประเทศในภูมิภาคนี้ แต่พม่าดันถูกรัฐประหารและปกครองโดยเผด็จการทหารเสียก่อน คนพม่าเองเขารู้สึกว่าพวกเขาก็ถูกกดขี่ตลอดเวลา ผู้ลี้ภัยการเมืองหลายคนมีการศึกษาสูง แต่ต้องไปทำงานใช้แรงงาน ไปเข็นผัก ไปเป็นคนทำความสะอาดแทน ผมวาดภาพคนเหล่านี้ซ้อนทับกันในภาพ อย่างภาพของศิลปินเพลงร็อกชื่อดังที่สุดของพม่าคนหนึ่งที่ออกมาต่อต้านรัฐบาลเผด็จการ ซึ่งเขาติด Top 10 ของรายชื่อคนที่รัฐหมายหัว โดนสั่งจับตาย ก็เลยต้องลี้ภัย เก็บตัว ห้ามออกสื่อเป็นอันขาด หรือภาพของนักธุรกิจบันเทิงคนหนึ่งที่รวยมาก แต่ต้องลี้ภัยไปเป็นพลเมืองชั้นสอง ทำงานเสิร์ฟอาหารที่ประเทศสหรัฐอเมริกา”

   “หรือภาพเหตุการณ์หลังจากเกิดรัฐประหารในประเทศพม่า แล้วประชาชนออกมาต่อต้าน ก็จะเกิดกองกำลังที่เรียกว่า กองกำลังพิทักษ์ประชาชน หรือ PDF (People’s Defense Force) เวลาทหารของกองกำลังนี้โจมตีกองทัพรัฐบาลทหารของ มิน อ่อง หล่าย แล้วยิงทหารของกองทัพได้คนหนึ่ง เขาจะเอาดาวมาติดที่รองเท้าคอมแบต ตอนนี้รองเท้านี้ถูกนำไปประมูลที่สหรัฐอเมริกาไปในราคาคู่ละ 2 ล้านบาท เลยทีเดียว”

ภาพวาด BURMICA ที่ SUVANNABHUMI ART GALLERY

   อุบัติสัตย์ ยังกล่าวถึงความเชื่อมโยงระหว่างภาพวาด GUERNICA ของ ปิกัสโซ กับภาพวาดของเขาว่า
   “ถึงแม้ภาพ GUERNICA ของ ปิกัสโซ จะพูดเรื่องสงคราม แต่เราจะเห็นว่าในภาพแทบไม่มีอาวุธอยู่เลย (นอกจากดาบหัก ๆ หนึ่งเล่ม) ภาพวาด BURMICA ของผมก็มีเงื่อนไขแบบเดียวกัน ผมต้องการแสดงออกถึงการประท้วงของประชาชนมือเปล่าที่ไม่มีอาวุธ อย่างเช่น การประท้วงชุดนักเรียน ซึ่งเป็นการต่อต้านแบบสันติวิธีของนักเรียน ด้วยการนัดกันหยุดเรียน และแขวนชุดนักเรียนเรียงกันบนรั้วหน้าโรงเรียน หรือการประท้วงตีกาละมัง ที่ประชาชนออกมาตีกาละมังอย่างสมัครสมานพร้อมเพรียงกันทั้งประเทศ ผมวาดภาพกาละมังให้ซ้อนอยู่กับภาพธงยูเนียนแจ็คของอังกฤษ เพราะอังกฤษก็เคยมายึดครองพม่าเป็นอาณานิคม ไม่ต่างอะไรกับเผด็จการทหารพม่า การตีหม้อกะละมังเป็นสัญลักษณ์ของการขับไล่สิ่งชั่วร้าย เช่นเดียวกันกับการตีหม้อกาละมังเวลาเกิดจันทรุปราคาหรือสุริยุปราคานั่นเอง”

   “หรือช่วงประกาศอิสระภาพของประเทศพม่าเป็นสาธารณรัฐ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังได้รับเอกราชจากอังกฤษ เกิดข้อตกลงในการร่างสนธิสัญญาปางหลวงในปี 1947 เพื่อการปกครองตนเองอย่างมีอิสระของกลุ่มชนเผ่าต่าง ๆ แต่สนธิสัญญานี้ก็เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว ก่อนที่จะถูกนายพลเนวินฉีกทิ้งและก่อการรัฐประหารเพื่อความต้องการอำนาจเป็นหนึ่งเดียวแบบผูกขาดของเผด็จการ ในภาพนี้ก็จะมีภาพของนายพลออง ซาน ที่เป็นผู้ริเริ่มสนธิสัญญาปางหลวง และภาพของพันธบัตรพม่าที่ถูกยกเลิกค่าเงินตามปกติ แล้วเปลี่ยนให้เป็นเลขเศษ เช่น 15, 25, 75 ตามความเชื่อในโหราศาสตร์ของนายพลเนวิน สิ่งนี้เอง ที่ทำให้พม่าได้รับฉายาว่าเป็น “ฤาษีแห่งเอเชีย” และกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลกในยุคทศวรรษที่ 1980”

ภาพวาด BURMICA (รายละเอียด)

   “หรือภาพของเหตุการณ์ 8888 การเรียกร้องประชาธิปไตยครั้งใหญ่ในพม่าเมื่อปี 1988 ที่มีภาพของป้ายประท้วงในภาษาพม่า ผสมกับภาพของผู้หญิงกรีดร้องในภาพ GUERNICA ของปิกัสโซ โดยซ้อนกับภาพของ โรส เบลลามี เจ้าหญิงแห่งราชวงศ์สุดท้ายของพม่า ผู้จำใจยอมแต่งงานกับนายพลเนวิน เพื่อหวังโน้มน้าวให้เผด็จการเปลี่ยนใจทำให้พม่ากลับมาเป็นประชาธิปไตย และมีเสรีภาพ แต่กลับถูกนายพลเนวินฟ้องหย่าหลังจากแต่งงานกันเพียงได้ 5 เดือน เพราะกลัวว่าเธอจะเป็นสายลับของซีไอเอ และภาพของเหตุการณ์รัฐประหารพม่ายุคปัจจุบันในปี 2021 ที่มีภาพคุณครูสอนเต้นแอโรบิค กำลังเต้นออกกำลังกายอยู่ด้านหน้ากองกำลังของคณะรัฐประหาร ที่กำลังยาตราทัพมา ภาพนี้ก็ถูกประกาศไปทั่วโลก ผมยังซ้อนภาพของเด็ก ๆ และภาพของเยาวชนที่ต้องจับปืนออกไปรบกับกองทัพรัฐบาลเผด็จการและเสียชีวิต และภาพของนักแสดงซูเปอร์สตาร์ของพม่าที่สวยมาก ๆ ที่ต้องจับปืนออกไปรบเข้าไปด้วย”

   “หรือภาพของก้อนหินและไม้ไผ่ที่สลักกลอนและถ้อยคำในภาษาพม่าที่เพราะมาก ที่มีเนื้อหาปลุกใจให้คนฮึกเหิม ลุกขึ้นมาต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการทหาร หรือภาพผ้าถุงของผู้หญิงที่ถูกขึงไว้ตามถนน เพื่อหยุดการเดินทัพและไล่ล่าของทหาร เพราะทหารพม่าเชื่อว่าถ้าเดินลอดผ้าถุงของผู้หญิงแล้วจะเกิดโชคร้ายและความอัปมงคล”

   “หรือภาพนกยูง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ในสมัยอาณาจักรโก้นบองของพม่า ซึ่งต่อมาก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของพรรค NLD ของ อองซาน ซูจี และภาพของ แองเจิ้ล นักเทควันโดสาว อายุ 19 ปี ที่ถูกยิงเสียชีวิตขณะออกไปร่วมการประท้วงต่อต้านรัฐประหารในปี 2021 และภาพของหมูที่ถูกลูกหลงจากระเบิดโจมตีหมู่บ้านจนผิวหนังไหม้เกรียม แต่กลับมาให้นมลูกในอีกวันถัดมาตามสัญชาติญาณของแม่ ที่คนพม่าถ่ายรูปส่งมาให้ผมดู”

   สิ่งที่ดูแปลกตา น่าสนใจอีกประการของภาพวาด BURMICA ภาพนี้ คือ เรื่องราวในภาพเกือบทั้งหมด ถูกนำเสนอแบบกลับหัวกลับหาง ราวกับจะให้ผู้ชมอย่างเราต้องใช้ความพยายามในการอ่าน หรือตีความสัญลักษณ์ต่าง ๆ ในภาพวาดนี้ก็ไม่ปาน 

   “ที่ผมวาดภาพทั้งหมดให้กลับหัว เพราะผมคิดว่าประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอยกลับไปกลับมา ตั้งแต่เหตุการณ์สังหารหมู่ที่หมู่บ้านเกอร์นิกา ที่เป็นเหตุการณ์จุดชนวนให้ปิกัสโซวาดภาพ GUERNICA มาสู่เหตุการณ์สังหารหมู่ประชาชนในพม่าที่ทำให้เกิดภาพ BURMICA ภาพนี้ ราวกับเป็นเหตุบังเอิญ แล้วเวลาวาดรูปนี้ ด้วยความที่ภาพมันใหญ่ เราก็ต้องกลับหัวภาพลงมาเพื่อให้เราไม่ต้องปีนเวลาวาดภาพ พอพลิกภาพกลับมาเส้นในภาพก็ต่อเนื่องกัน ทำให้ผมเกิดความเข้าใจเกี่ยวกับงานแบบคิวบิสม์มากขึ้นว่า ภาพมันบิดไปบิดมา และกลับไปกลับมา จนทำให้มองในหลาย ๆ แง่มุมได้” 

   “ในอีกแง่หนึ่งก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเองและพื้นที่แสดงงานด้วย เพราะเอาจริง ๆ ผมก็ยอมรับว่าผมกลัวเหมือนกันที่พูดเรื่องนี้ เพราะตอนที่จัดแสดงนิทรรศการนี้ที่หอศิลป์ ในเดือนนั้นมีคนเข้ามาดูงาน 50,000 กว่าคน เป็นจำนวนมากที่สุดของแกลเลอรี่ที่เคยจัดแสดงงานมา แล้วส่วนใหญ่ที่เข้ามาดูก็จะเป็นคนพม่า ในช่วงจัดงาน เหมือนมีไอโอของกองทัพพม่าเข้ามาถามว่า “คุณรู้ที่อยู่ของศิลปินไหม?” แต่ทางหอศิลป์ก็ไม่ได้ตอบอะไร แล้ววันนั้นผมก็กลับบ้านพอดี การกลับหัวภาพแบบนี้ก็อาจจะทำให้ดูได้ยากขึ้นหน่อย แต่ถ้าเอาภาพพลิกกลับมาก็จะเห็นชัดเจนเลยว่าเป็นประวัติศาสตร์พม่าที่ผ่าน ๆ มา คนพม่า (ที่เป็นฝ่ายต่อต้านเผด็จการ) เข้ามาดูเขาก็จะรู้เลยว่าเป็นภาพของใคร และภาพเหตุการณ์อะไรบ้าง”

   ทั้งผลงานของปิกัสโซ หรือผลงานของอุบัติสัตย์ ต่างย้ำเตือนให้เราตระหนักว่า ศิลปะนั้นไม่ใช่สิ่งที่ทำขึ้นเพื่อความสวยงามหรือสร้างความเพลิดเพลินเจริญตาเจริญใจให้แก่ผู้ชมแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่บางครั้ง ศิลปะก็สามารถใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารถึงทัศนคติทางสังคมการเมืองของศิลปิน หรือแม้แต่ตีแผ่ความเลวร้ายของเผด็จการได้เช่นเดียวกัน

   ภาพวาด BURMICA นอกจากจะถูกจัดแสดงในนิทรรศการในชื่อเดียวกัน ที่หอศิลป์ SUVANNABHUMI ART GALLERY จังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ 1 พฤษภาคม - 1 กรกฎาคม 2022 แล้ว ยังถูกจัดแสดงในเทศกาลศิลปะ Mango Art Festival ในโกดัง De Siam Antiques ที่ จังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ 2 - 5 ธันวาคม 2022 ที่ผ่านมาอีกด้วย
   ขอบคุณภาพจาก SUVANNABHUMI ART GALLERY, Mango Art Festival

    TAG
  • BURMICA
  • art
  • exhibition
  • interview
  • อุบัติสัตย์

BURMICA ภาพวาดต่อต้านเผด็จการด้วยแรงบันดาลใจแห่งศิลปะที่ส่งผ่านกาลเวลาของ “อุบัติสัตย์”

ART AND EXHIBITION/EXHIBITION
January 2023
CONTRIBUTORS
Panu Boonpipattanapong
RECOMMEND
  • DESIGN/EXHIBITION

    Re/Place การปิดทับอดีตเพื่อเปิดเผยความจริงทางการเมือง ของ วิทวัส ทองเขียว

    ในอดีตที่ผ่านมา ในแวดวงศิลปะ(กระแสหลัก)ในบ้านเรา มักมีคํากล่าวว่า ศิลปะไม่ควรข้องแวะกับ การเมือง หากแต่ควรเป็นเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึก ความงาม สุนทรียะ และจิตวิญญาณภายในอัน ลึกซึ้งมากกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะในยุคสมัยไหน ศิลปะไม่เคยแยกขาดออกจาก การเมืองได้เลย ไม่ว่าจะในยุคโบราณ ที่ศิลปะถูกใช้เป็นเครื่องมือรับใช้ชนชั้นสูงและผู้มีอํานาจ หรือใน ยุคสมัยใหม่ที่ศิลปะถูกใช้เป็นเครื่องมือแสดงออกถึงอุดมการณ์ทางสังคมการเมือง หันมามองในบ้าน เราเอง ก็มีศิลปินไทยหลายคนก็ทํางานศิลปะทางการเมืองอย่างต่อเนื่องยาวนาน ในการสะท้อนและ บันทึกประวัติศาสตร์การเมืองไทยได้อย่างเข้มข้น จริงจัง

    Panu BoonpipattanapongFebruary 2025
  • DESIGN/EXHIBITION

    The Grandmaster : After Tang Chang บทสนทนากับ จ่าง แซ่ตั้ง ศิลปินระดับปรมาจารย์แห่งศิลปะสมัยใหม่ไทย โดย วิชิต นงนวล

    เหตุการณ์นี้เป็นอุทาหรณ์ให้เรารู้ว่า การก๊อปปี้ก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป เพราะอย่างน้อยที่สุด ก็ทําให้ เราได้รู้ว่าผลงานต้นฉบับของจริงในช่วงเวลาที่เสร็จสมบูรณ์นั้นมีความดีงามขนาดไหน ไม่ต่างอะไรกับศิลปินร่วมสมัยสัญชาติไทยอย่าง วิชิต นงนวล ที่หลงใหลศรัทธาในผลงานของศิลปิน ระดับปรมาจารย์ในยุคสมัยใหม่ของไทยอย่าง จ่าง แซ่ตั้ง ตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ ในวัยของนักเรียน นักศึกษา เรื่อยมาจนเติบโตเป็นศิลปินอาชีพ ความหลงใหลศรัทธาที่ว่าก็ยังไม่จางหาย หากแต่เพิ่มพูน ขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็สุกงอมออกดอกผลเป็นผลงานศิลปะในนิทรรศการ The Grandmaster : After Tang Chang ที่เป็นเสมือนหนึ่งการสร้างบทสนทนากับศิลปินระดับปรมาจารย์ผู้นี้

    Panu BoonpipattanapongJanuary 2025
  • DESIGN/EXHIBITION

    Monte Cy-Press ศิลปะจากกองดินที่สะท้อนน้ําหนักของภัยพิบัติ โดย อุบัติสัตย์

    “ยูบาซาโตะ เดินผ่านตามแนวต้นสนขึ้นไปบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เพื่อไปก่อสร้างสถูปดิน และมักจะโดน ทีมงานช่างบ่นทุกวันเกี่ยวกับการก่อสร้าง ที่มีเวลาอยู่อย่างจํากัด เขาเพียงได้แต่ตอบไปว่า .. บุญกุศล นําพาและเวลามีเท่านี้ ขอให้ทําสิ่งดีๆ ให้เต็มที่ ต่อสถานที่บนภูเขานี้เถอะ อย่าบ่นไปเลย เราอาจจะ พบกันแค่ประเดี๋ยวเดียว แต่สิ่งเหล่านี้จะอยู่ต่อไปอีกหลายร้อยปี ... ทีมงานทุกคนเพียงส่งรอยยิ้มที่ เหนื่อยล้ากลับมา ก็เพราะต้องทนร้อนทนแดด และเปียกฝนสลับกันไป จากสภาวะโลกเดือด ที่ทุกคน ต่างพูดถึง แต่ก็จะมาจากใคร ก็จากเราเองกันทั้งนั้น ... แม้จะมาทํางานบนภูเขาก็จริง แต่เขาก็ยังคง คิดถึงเหตุการณ์ภัยน้ําท่วมดินโคลนถล่มที่ผ่านมา อีกทั้งความเสียหายต่อข้าวของที่ต้องย้ายออกจาก บ้านเช่าและค่าใช้จ่ายหลังน้ําท่วมที่ค่อนข้างเยอะพอควร และยิ่งในสภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจแบบนี้...

    Panu Boonpipattanapong6 months ago
  • DESIGN/EXHIBITION

    Kader Attia กับศิลปะแห่งการเยียวยาซ่อมแซมที่ทิ้งร่องรอยบาดแผลแห่งการมีชีวิต ในนิทรรศการ Urgency of Existence

    หากเราเปรียบสงคราม และอาชญากรรมที่กระทำต่อมนุษย์ อย่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การสังหารหมู่ และการล่าอาณานิคม เป็นเหมือนการสร้างบาดแผลและความแตกร้าวต่อมวลมนุษยชาติ ศิลปะก็เป็นหนทางหนึ่งในการเยียวยาซ่อมแซมบาดแผลและความแตกร้าวเหล่านั้น แต่การเยียวยาซ่อมแซมก็ไม่จำเป็นต้องลบเลือนบาดแผลและความแตกร้าวให้สูญหายไปเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น หากแต่การเหลือร่องรอยแผลเป็นและรอยแตกร้าวที่ถูกประสาน ก็เป็นเสมือนเครื่องรำลึกย้ำเตือนว่า สิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว และไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นอีกซ้ำเป็นครั้งที่สอง เช่นเดียวกับสิ่งที่ปรากฏในนิทรรศการ “Urgency of Existence” นิทรรศการแสดงเดี่ยวครั้งแรกในเอเชียของ คาแดร์ อัทเทีย (Kader Attia) ศิลปินชาวฝรั่งเศส - แอลจีเรีย ผู้มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เขาเป็นหัวหอกในการทำงานศิลปะผ่านสื่ออันแตกต่างหลากหลาย ที่นำเสนอแนวคิดหลังอาณานิคม และการปลดแอกอาณานิคม จากมุมมองของตัวเขาเอง ที่มีประสบการณ์ทางตรงและทางอ้อมของผู้ที่เคยถูกกดขี่และถูกกระทำจากลัทธิล่าอาณานิคมในศตวรรษที่ผ่านมา

    Panu Boonpipattanapong6 months ago
  • DESIGN/EXHIBITION

    Roma Talismano ชำแหละมายาคติแห่งชาติมหาอำนาจด้วยผลงานศิลปะสุดแซบตลาดแตก ของ Guerreiro do Divino Amor

    ในช่วงปลายปี 2024 นี้ มีข่าวดีสำหรับแฟนๆ ศิลปะชาวไทย ที่จะได้มีโอกาสชมผลงานศิลปะร่วมสมัยของเหล่าบรรดาศิลปินทั้งในประเทศและระดับสากล ยกขบวนมาจัดแสดงผลงานกันในเทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ 2024 ที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 แล้ว โดยในเทศกาลศิลปะครั้งนี้นำเสนอผลงานศิลปะจาก 76 ศิลปิน 39 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ภายใต้ธีมหลัก “รักษา กายา (Nurture Gaia)” ที่ได้แรงบันดาลใจจากเทพี ไกอา (Gaia) ในตำนานเทพปรณัมกรีก หรือพระแม่ธรณีผู้ให้กำเนิดและหล่อเลี้ยงสรรพชีวิต เพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์อันสอดประสานกลมกลืนกันระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ

    EVERYTHING TEAM7 months ago
  • DESIGN/EXHIBITION

    Apichatpong Weerasethakul : Lights and Shadows นิทรรศการครั้งยิ่งใหญ่ใน Centre Pompidou ของศิลปินผู้สร้างแสงสว่างในความมืด อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล

    เมื่อพูดถึงชื่อ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล หรือ เจ้ย มิตรรักแฟนหนังหลายคนน่าจะรู้จักเขาในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทยผู้เปี่ยมไปด้วยความเป็นศิลปะที่สุด ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย แต่หมายรวมถึงในสากลโลก ยืนยันด้วยรางวัลสำคัญจากเทศกาลภาพยนตร์ระดับโลกหลายต่อหลายรางวัล ไม่ว่าจะเป็นรางวัลยอดเยี่ยมในการฉายสายรอง (Un Certain Regard) จากภาพยนตร์เรื่อง สุดเสน่หา (Blissfully Yours) (2002) และรางวัลขวัญใจคณะกรรมการ (Jury Prize) จากภาพยนตร์เรื่อง สัตว์ประหลาด! (Tropical Malady) (2004) จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ ในปี 2002 และ 2004, หรือภาพยนตร์เรื่อง แสงศตวรรษ (Syndromes and a Century) (2006) ของเขาก็ได้รับเลือกให้เข้าชิงรางวัลสิงโตทองคำในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเวนิส ในปี 2006 และคว้ารางวัลกรังปรีซ์จากเทศกาลภาพยนตร์ Deauville Asian Film Festival ในปี 2007, และภาพยนตร์เรื่อง รักที่ขอนแก่น (Cemetery of Splendor) (2015) ของเขาก็คว้ารางวัลยอดเยี่ยมจากเวที Asia Pacific Screen Awards ในปี 2015, ที่สำคัญที่สุด อภิชาติพงศ์ยังเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รับรางวัล ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมปาล์มทองคำ (Palm d’or) จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ ครั้งที่ 63 ในปี 2010 จากภาพยนตร์เรื่อง ลุงบุญมีระลึกชาติ (Uncle Boonmee Who Can Recall His Past Lives) (2010), และล่าสุด ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องล่าสุดของเขาอย่าง Memoria (2021) ยังคว้ารางวัล Jury Prize ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ครั้งที่ 74 ในปี 2021 มาครองได้อีกครั้ง อีกทั้งยังได้รับเสียงวิจารณ์เชิงบวกอย่างท่วมท้นจากสื่อมวลชนนานาชาติ

    Panu Boonpipattanapong8 months ago
SIGN UP TO OUR NEWSLETTER
A Monthly update of the new issue from us
THANK YOU FOR YOUR SUBSCRIPTION

We use cookies, localStorage and other technologies (collectively, "cookies") to recognise your browser or device, learn more about your interests, and provide you with essential features and services and for additional purposes. ( see details )