อยู่กับความไว เร็วได้แต่ช้าให้เป็น คุยกับ “โอเล่” ณัฐวุฒิ สิทธิวรพันธ์ Co-Founder แห่ง Youngster Agency | IAMEVERYTHING.CO

LOOKING ON EVERYTHING ?

EXPLORE ON EVERYTHING

อยู่กับความไว เร็วได้แต่ช้าให้เป็น คุยกับ
“โอเล่” ณัฐวุฒิ สิทธิวรพันธ์ุ
Co-Founder แห่ง Youngster Agency
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของกระแสเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้ชีวิตในทศวรรษที่ผ่านมา แน่นอนว่า ‘ความช้า’ เริ่มกลายเป็นส่วนเกินของชีวิตประจำวันโดยหลายคนอาจไม่รู้ตัว ถึงกระนั้นในช่วงหลายปีมานี้กระแสของความช้ากลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งผ่านวัฒนธรรมร่วมสมัยต่างๆ โดยเฉพาะกับคนในวงการสร้างสรรค์ ‘โอเล่’-ณัฐวุฒิ สิทธิวรพันธ์ุ Creative Director และ Co-Founder แห่ง Youngster บริษัทโฆษณาไฟแรงที่มีผลงานน่าจับตามองมากมาย หนึ่งในครีเอทีฟผู้หลงใหลความช้า จะมาพูดคุยถึงการออกแบบชีวิตที่ ‘เร็วได้แต่ช้าให้เป็น’ ในวันที่งานโฆษณามี ‘ความเร็ว’ เป็นโชคชะตาที่มิอาจเลี่ยง
ก้าวแรกสู่วงการโฆษณา
ตอนเราวัยรุ่นนิเทศศาสตร์มันกำลังมา เราไม่ได้เรียนเก่ง เป้าหมายแรกคือเรียนให้จบก่อน ตอนแรกเรียนคณะ BBA ปีนึงแล้วรู้สึกว่ามันไม่ใช่ เรานึกภาพตัวเองเป็นพนักงานออฟฟิศไม่ออก คิดว่าตัวเองคงไม่จบแน่เลยออกมาเรียนนิเทศ ตอนนั้นก็ยังไม่ได้คิดจะทำโฆษณาแต่เห็นว่าโฆษณามันสนุก เราก็คุยกับเพื่อนว่าอยากทำงานด้านนี้ พอปี 3 เราเลยไปฝึกงาน เราก็อินมากขึ้นไปอีกจนตัดสินใจว่าจะทำโฆษณานี่แหละ ก็ตัดชอยส์อื่นๆ ไปหมดเลยตอนเรียนจบเราทำงานในวงการโฆษณาน่าจะประมาณ 14 ปีแล้ว เริ่มทำจากบริษัทเล็กๆ ก่อนแล้วค่อยๆ ย้ายมาเรื่อยๆ จนปี 2018 ก็มีพี่มาชวนเปิดบริษัททำด้วยกัน
เบื้องหลังนักสะสม MUJI
ส่วนตัวเราชอบมูจิเพราะรู้สึกว่าถูกจริตเรา เคยไปญี่ปุ่นเห็นว่ามูจิมีเฟอร์นิเจอร์ขายแล้วมันสวย คิดในใจมาตลอดว่าถ้าเรามีบ้านเราต้องอยากซื้อแน่ๆ แล้วจังหวะที่เราซื้อบ้านก็ตรงกับที่มูจิในไทยหลายสาขาเริ่มมีเฟอร์นิเจอร์วางขายพอดี แรกๆ ก็ไปดูตามแค็ตตาล็อกก่อนเพราะของโชว์ยังไม่ค่อยมี เราก็เริ่มจากราคาที่เราโอเค พอเจอชั้นวางทีวีเราก็เอาเลย ไม่ดูยี่ห้ออื่น เพราะความตั้งใจเราอยากได้มูจิอยู่แล้ว ตอนนั้นชั้นวางทีวีมูจิยังไม่มีของในไทยด้วยนะ เราต้องสั่งแล้วรอ 3-4 เดือน ช่วงนั้นเราก็วางทีวีกับพื้น ซึ่งเป็นเฟอร์นิเจอร์มูจิชิ้นแรกที่ซื้อ
พอได้ใช้ก็ชอบเลย ความเจ๋งของมันคือพวกของต่างๆในบ้านไม่ได้ซื้อมาพร้อมกัน ไม่ได้มาจากสาขาเดียวกัน ของแต่ละชิ้นที่สั่งมาไม้มันสีไม่ต่างกันเลย ถึงจะซื้อต่างที่ต่างเวลาการผลิตกัน รู้สึกว่าการคุมคุณภาพของเค้ามันสุดยอด พอมันมาอยู่ในบ้านเรามันคุมโทนโดยที่เราแทบไม่ต้องวางเลย เราก็ทำบ้านง่าย ตอนนี้ก็เลยมีของมูจิเต็มไปหมด ถ้ามองในความเป็นจริงแล้วก็ต้องยอมรับว่าราคามันสูง แต่สำหรับเราที่ชอบมันมีคุณค่าทางจิตใจ
เรารู้สึกว่ามูจิเวลาออกแบบอะไรเค้าสามารถถ่ายทอดมันมาได้ตามฟังก์ชันจริงๆ เช่นที่ญี่ปุ่นเนี่ย บ้านเค้าจะเล็ก การที่มีเฟอร์นิเจอร์เข้าไปอยู่ในบ้านมันก็ต้องเตี้ยหน่อย อย่างยี่ห้ออื่นเนี่ยถ้าเราสังเกตเฟอร์นิเจอร์เค้าจะทำสูง พอเวลาไปอยู่บ้านที่มันเล็กก็จะรู้สึกว่ามันใหญ่ มูจิเค้าก็เลยทำทุกอย่างให้มันเตี้ยกว่าปกติหน่อย ถ้าพื้นที่เราเล็กเราก็จะรู้สึกว่ามันพอดี บ้านจะดูโล่งขึ้น เรารู้สึกว่าเค้าคิดมาได้พอดี ไม่น้อยไม่มากเกินไป สมกับความเป็นมินิมอลของเค้า
แต่งบ้านให้ตอบชีวิต
สำหรับเรา เราเลือกของจากดีไซน์ก่อนแล้วเราค่อยได้ฟังก์ชันที่มากับมัน ส่วนในแง่ที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตจริงๆ คือ เรารู้สึกว่าโลกข้างนอกตอนนี้มันเร็วมาก คนเร็ว ทุกอย่างเร็ว แล้วชีวิตมันก็จะเกิดความซับซ้อนจนถึงขั้นวุ่นวาย พอข้างนอกมันเร็ว กลับมาบ้านเราก็อยากให้บ้านเราช้า แค่นี้เลย เราไม่อยากเอาความเร็วกลับมาที่บ้าน นี่เป็นโจทย์ที่เราตัดสินใจในการแต่งบ้านตั้งแต่แรกๆ ตอนแรกเพื่อนมาก็งงว่าทำไมบ้านเราไม่มีของเลยแล้วอยู่ได้ไง อย่างวันแรกๆ ที่ซื้อเรานอนพื้นเลยนะ ม่านก็ยังไม่มี มีแอร์ติดมากับโครงการ เรานอนพื้นเลย บางคนเวลาซื้อบ้านอาจจะชอบตกแต่งจัดเต็มเลยแล้วค่อยมาอยู่ แต่เราอยากให้ในบ้านเราช้า ช้าสำหรับเราคือเราก็ต้องรู้ว่าเราจะใช้อะไรก่อนถึงจะเดินไปซื้อ และความมินิมอลมันตอบโจทย์ความช้าของเราได้ พอเราออกไปข้างนอกไปทำงานเราก็กลับไปเร็ว เราทำเอเจนซี เป็นลูกจ้างเค้า พอเรากลับบ้านเราก็กลับสู่ความเป็นส่วนตัวของเรา ‘เร็วได้แต่ช้าให้เป็น’ เป็นสิ่งที่เราได้จากความชอบในการทำบ้านแบบนี้
ความหลงใหลในศาสตร์กาแฟ
เรื่องกาแฟไม่ถึงขนาดเชี่ยวชาญ แต่เราหมกมุ่นกับมันจนเราทำได้ประมาณนึง ในแง่นึงก็สะท้อนบุคลิกของความช้าของเรา จริงๆ กาแฟเป็นเรื่องปกติของคนวัยทำงาน พอเราทำงานเจ้านายหรือลูกค้าก็นัดเราประชุมที่ร้านกาแฟบ้าง เราก็ดื่มกาแฟปกติ จนมาอยู่วันนึงมีรุ่นพี่เค้าสนใจการทำกาแฟดริปที่ทำด้วยมือไม่ได้ทำด้วยเครื่อง แล้วเค้าก็ชวนเราไปกิน เค้าบอกเราประโยคนึงว่า ถ้าเรากินกาแฟดริปแล้วจะไปกินอย่างอื่นไม่เหมือนเดิมแล้วนะ เราคิดว่าคำพูดเค้ามันดูเชิญชวนดี วันนึงเราก็เลยลองไปกินกาแฟที่พี่เค้าทำในออฟฟิศ พอเรากินไปคำแรกก็รู้สึกถึงความต่างเลย
เรารู้สึกว่ามันแปลก มันมีคาแรคเตอร์ของกาแฟอะไรบางอย่างที่เราสัมผัสได้ ยิ่งได้เห็นกรรมวิธีของมันที่ต้องมีการบดมือ วัดอุณหภูมิน้ำ การค่อยๆ ดริป มันมีความปราณีตที่เราเห็นแล้วเราอิน มันตอบกับความรู้สึกของเรา แล้วเราไม่เคยรู้สึกเลยว่าการทำกาแฟมันช้ามาก่อน ตอนเราอยู่คอนโดเราก็ชอบไปเดินดูเครื่องทำกาแฟเราก็จะเห็นแบบที่เป็นเครื่องหมด
พอเรารู้จักกาแฟดริปเราก็หมกมุ่นเลย อยากทำเป็น อยากกินอีก เราเลยศึกษาหาร้านที่เค้าทำแล้วเราก็ตามกินไปทั่วเลย ตอนนั้นที่เชียงใหม่กำลังดังเราก็ขึ้นไปกินเลย ไปนั่งคุยกับเค้า จนในที่สุดเราก็ซื้อมาทำ ตอนนี้ก็เลยพอมีความรู้ แต่ก็ยังไม่เคยขนาดขึ้นเขาไปปลูก แต่ถ้าถามก็สามารถอธิบายความพิเศษ ความแตกต่างของกาแฟแต่ละชนิดได้
แผ่นเสียงที่ (ไม่ได้)สะสม
จริงๆ คือเราไม่ได้ซื้อแผ่นเสียงมาสะสม เราซื้อแผ่นเสียงมาฟังแล้วมันงอกมาเรื่อยๆ มันไม่ได้เป็นปัจจัยในการแต่งบ้านด้วยนะ เราแค่ซื้อฟังเฉยๆ ไม่ได้เป็นสายดนตรีมากอยากฟังอะไรเปิดเลย เราก็ฟังอะไรที่มันตามกระแสหรือตอนเด็กๆ เราเคยฟังอะไรผ่านเทปผ่านซีดี พอเราโตขึ้นพอจะเก็บเองได้เราก็ตามไปซื้อมา ส่วนตัวเราก็ไม่ได้ฟังเครื่องเสียงระดับ high-end เราฟังแค่กลางๆ ถึงเริ่มต้น ไม่ได้เอาจริงเอาจังด้านนี้มาก แต่สำหรับเราเสียงที่ได้มันก็ดีกว่าดิจิตอล เพราะมันมีความไม่สมบูรณ์ มันจะมีเสียงฝุ่นหรืออะไรแบบนี้ เราฟังแล้วรู้สึกมันย้อนเวลาดี คือตอนแรกๆ เราหงุดหงิดนะเพราะเวลาเราฟังเสียงเราต้องการความชัดไง
คือเราโตมาเราต้องติดอะไรที่เป็นไฟล์ดิจิตอลอยู่แล้ว ช่วงแรกๆ เราหงุดหงิดที่แผ่นเสียงหน้านึงมีสี่เพลง พอหมดสี่เพลงเราก็ต้องเดินไปเปลี่ยน บางทีเรากำลังทำอย่างอื่นอยู่ ทำความสะอาดบ้านอยู่แปบเดียวเพลงหยุดแล้ว เราวางมันทิ้งเลยแล้วไปฟังผ่านพวก bluetooth แทน เพราะเราชินให้เพลงมันเล่นไปเรื่อยๆ จนถึงจุดนึงรู้สึกว่าการเดินมาเปลี่ยนหน้านี่แหละทำให้เราตั้งใจฟังเพลงมากขึ้น รู้ว่าเพลงที่หนึ่งจบแล้ว เพลงที่สองจบแล้ว เริ่มรู้ว่าตอนไหนต้องเดินมาเปลี่ยน เหมือนกับว่าเราพยายามตั้งใจฟังเพลงจริงๆ กว่าเมื่อก่อน

เมื่อก่อนบางทีฟังเพลงเรารู้จักแค่ชื่อวงนะ ไม่รู้จักชื่อเพลงเลยปล่อยให้มันสุ่มเล่นไปเรื่อยๆ ฟังเอาเพราะอย่างเดียว แต่พอเป็นแผ่นเสียงเราเริ่มมีแบบ เออวงนี้มันเพราะนะ เราจะเดินไปหยิบดูว่าเพลงมันชื่ออะไร เหมือนกับว่าข้อจำกัดในการที่เราเปลี่ยนแผ่นเนี่ยทำให้ต้องมีเวลามานั่งฟังมัน ไม่เหมือนตอนที่เราเปิดเป็นแบ็คกราวน์แล้วเราก็ทำอย่างอื่นไปด้วย มันก็ช้าดีแต่อาจจะไม่ได้เหมาะทุกโอกาส อย่างถ้าเรานั่งทำงานเราก็ไม่ได้อยากจะเดินมาเปลี่ยนหน้ามันได้ตลอดเวลา เวลาที่เราจะฟังแผ่นเสียงเราก็ต้องใช้เวลากับมันจริงๆ

เสน่ห์อีกอย่างของแผ่นเสียงคืออาร์ทเวิร์คที่นอกจากมีความย้อนยุคแล้ว เรารู้สึกว่ามันจับต้องได้ ไม่เหมือนกับดิจิตอลที่เราทำได้แค่ดูอย่างเดียว เป็นไฟล์ภาพ เหมือนสมัยก่อนที่เราฟังซีดีหรือเทปเวลาเราเอาเข้าเครื่องแล้วเราจะกางหน้าปกของมันมาดู ไม่เหมือนสมัยนี้ที่อย่างมากเราแค่เลือกรูปมาแปะเป็นหน้าปกอัลบั้มแล้วก็จบ
เครื่องมือชื่อความคิดสร้างสรรค์
ไม่ใช่ว่าเราเป็นครีเอทีฟแล้วเราเลยต้องมีแค่ความคิดสร้างสรรค์ ความคิดสร้างสรรค์เป็นแค่ปัจจัยนึงที่เราใช้ในการทำงานเพื่อให้เกิดผลตามเป้าหมายตามที่เราต้องการ เช่นยกตัวอย่างการทำกาแฟ คนที่กินกาแฟก็มีหลายประเภท สมมติบางคนต้องการกินกาแฟเพื่อให้ตื่น เค้าอาจจะไม่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการกินกาแฟให้ตื่นก็ได้ ไปเลือกกาแฟที่มันแรงๆ กินแล้วรู้สึกตื่นก็ตามเป้าหมายแล้ว แต่สำหรับเราจุดประสงค์ในการกินกาแฟคือเพื่อชิมรสชาติ อยากมีความรู้ที่ลึกขึ้น อยากลองอะไรใหม่ๆ มากขึ้น เราก็อาจจะต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อให้ทำตามเป้าหมายของเราบรรลุผล

การทำงานก็เหมือนกัน เราก็มีปลายทางที่เราจะไป ถ้าปลายทางนั้นทุกคนสามารถไปได้ด้วยวิธีการเหมือนๆ กัน เราก็อาจจะไม่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ เราก็ใช้วิธีการทำงานปกติ แต่ด้วยอาชีพโฆษณาเนี่ย โจทย์มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เราก็เลยจำเป็นต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์เป็นตัวขับเคลื่อนให้ถึงจุดหมายที่เราอยากจะไป

งานโฆษณาที่ชื่นชอบ
งานที่ผมชื่นชอบที่สุดชื่อ Fearless Girl ของ McCann เป็นรูปปั้นเด็กผู้หญิงเผชิญหน้ากับวัวกระทิงที่ Wall Street เท่าที่ผมไปศึกษามาผมเชื่อว่าโจทย์เค้าคือ Women Empowerment เป็นการสร้างความรู้สึกเท่าเทียมกันระหว่างเพศ ที่ผมชอบผมว่าเค้าคิดมาเยอะมาก จนมันมีเพียงเด็กผู้หญิงคนเดียว ภาษาโฆษณาเรียกว่า "คิดเยอะแล้วทำน้อย" ผมเชื่อว่าเค้าให้เวลากับการคิดเยอะมากจนสามารถทำให้ผลลัพธ์เป็นรูปปั้นเด็กผู้หญิงไปเผชิญหน้ากับวัว งานชิ้นเดียวแล้วมันสื่อได้หมด มันกลายเป็นงานประเภทที่จะดูเอาท์ดอร์ก็ได้ จะเป็นไวรัลไปดังในออนไลน์ก็ได้ จนสุดท้ายมันกลายเป็นแลนด์มาร์ค ผมคิดว่ามันไกลไปกว่าการเป็นโฆษณาเยอะมาก แล้วสัญญะของมันคือเด็กผู้หญิงยืนอย่างไร้ความกลัวต่อหน้าวัวกระทิง ผมว่าไม่มีใครต้องไปอธิบาย เมื่อทุกคนได้เห็นจะรู้สึกตรงกันหมดว่าเป็นเรื่องของความเท่าเทียม มันเป็นสัญญะที่ทรงพลังมาก จนทุกวันนี้ทุกคนที่ผ่านไป Wall Street ต้องไปถ่ายรูปกับ Fearless Girl
วิธีการทำงานแบบ Youngster
วิธีการทำงานของผมมันไม่ได้พิเศษกว่าคนอื่น ส่วนตัวผมเป็นคนเกาะเป้าหมายของงานชิ้นนั้นตลอดเวลา สิ่งเดียวที่ผมจะถามอันดับแรกในการทำงานคือเป้าหมายของงานนี้คืออะไร แล้วพอเรารู้เราก็จะเกาะเป้าหมายนี้ไว้แล้วจึงใช้วิธีความคิดสร้างสรรค์หลายๆ รูปแบบที่ถูกคิดมาจาก Insight ถูกคิดมาจาก Fact ถูกคิดมาจากองค์ประกอบหลายๆ อย่าง เพื่อเป็นพาหนะไปสู่จุดหมายที่เราตั้งไว้ ความคิดสร้างสรรค์หรือวิธีคิดพาหนะที่ไม่ตายตัว การทำงานไม่สามารถทำได้ด้วยคนคนเดียว แต่เป็นทุกคนในทีมช่วยกันเพื่อเติมเต็มความคิดของกันและกันมากกว่า คาแรคเตอร์ของเอเจนซีเราไม่ได้สร้างให้พิเศษอะไร เราพยายามให้งานของเรา PR ให้เรามากกว่า แต่ว่าข้างในเราพยายามเซ็ตไว้ไม่ให้มันใหญ่มาก อยากให้ทุกคนรู้สึกบรรยากาศเหมือนเป็นพี่น้องทำงานกันมากกว่า Youngster ก็ฟังดูเป็นเด็กวัยรุ่นๆ มีความสดใหม่ ประมาณนี้
ผลงานล่าสุดกับความภูมิใจของ "ทีม"
ถ้าออนแอร์ในปีนี้มี Nivea Men โจทย์คือลูกค้าอยากได้คัลเจอร์ของดนตรีฮิปฮอปเข้ามาเป็นตัวช่วยเล่าสินค้าของเค้า เป็นโจทย์ Global ของครีมล้างหน้าตัวนี้ ด้วยดีไซน์หรือองค์ประกอบต่างๆ ที่มีความเป็นผู้ชายมากๆ แต่เข้าก็เปิดกว้างนะ ทีนี้น้องๆ ในทีมอินกับฮิปฮอปอยู่แล้ว เราก็เลยตื่นเต้นกัน เราเลือกพี่ขันมาแรปให้เรา แล้วให้น้องๆ ในทีมช่วยกันเขียนเนื้อ ที่เซอร์ไพรส์์คือพอวันที่เราส่งไปให้พี่ขันเราก็คิดว่าพี่ขันอาจจะแต่งใหม่หรือแก้บ้าง สรุปคือเค้าไม่เปลี่ยนเนื้อเลย เค้าแค่ทำดนตรีให้เราแล้วก็ปรับวิธีร้องให้เค้ากับเค้าเฉยๆ พาร์ทเนื้อร้องเป็นที่เราแต่งไว้หมด เราไม่รู้ว่าคนอื่นชอบรึเปล่าแต่เป็นงานที่เราภูมิใจมาก น้องในทีมก็ภูมิใจเพราะเหมือนได้แต่งเพลงให้พี่ขัน แล้วลูกค้าก็ชอบเพราะทำได้ตามโจทย์แถมได้ขยายฐานลูกค้าที่เป็นฮิปฮอปเพิ่มขึ้นอีก อย่างที่รู้ว่าคัลเจอร์ของฮิปฮอปก็กำลังมีกระแสที่ดีมาก จริงๆ ตอนเราเจอพี่ขันเรายังบอกเค้าเลยว่าพี่แก้บ้างก็ได้นะครับ พี่ขันตอบว่า “คุณไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าผมกล้าร้องแสดงว่ามันดีแล้ว”
เลือกเมืองมากกว่าภูเขาหรือทะเล
จริงๆ ผมไม่ฝักใฝ่ภูเขาหรือทะเล นิสัยเสียของผมเวลาไปเที่ยวคือเราไม่ได้อยากไปลำบาก เหมือนชีวิตเราทุกวันนี้ลำบากพอแล้ว เราก็อยากทำอะไรสบายๆ ซึ่งความสบายมันก็คือความเป็นเมือง อาจจะดูขัดกับที่บอกว่าชอบอะไรช้าๆ แต่มันก็มีปัจจัยของการไปเที่ยวว่าเราชอบไปดูความเจริญ อย่างถ้าเราขึ้นเชียงใหม่เราก็ไม่ได้ไปขึ้นดอย เราก็อยู่ในเมืองเราไปตามหาร้านกาแฟอะไรของเราไป เราชอบพักผ่อนกับเมืองมากกว่าภูเขาหรือทะเล เมืองจะเป็นที่ไหนก็ได้ เราชอบยุโรปเพราะมีความแปลกใหม่สำหรับเราเยอะกว่า เอเชียเราก็ชอบ แต่เราชอบสตอรีของยุโรปที่มีเยอะทุกที่ อย่างเราเคยเห็นมุมนี้ในหนังฉากนี้ แล้วพอเราไปอยู่ตรงนั้นจริงๆ เรารู้สึกว่าฟีลมันได้
ไม่เจอตัวเองไม่แปลก
เรารู้สึกว่าการไม่เจอตัวเองไม่ใช่เรื่องแปลก มันเป็นเรื่องปกติมากที่เราไม่เจอว่าเราชอบอะไร ไม่รู้ว่าเคยมีคนถามไหมว่าทำไมเราต้องเจอ การไม่เจอตัวเองไม่แปลก เพียงแต่ว่าสำคัญคือคุณต้องตั้งใจในสิ่งที่คุณทำ ณ ตอนนั้นมากกว่า สมัยก่อนถ้าเราเรียนนิเทศฯ ก็มีใครไม่รู้มาบอกว่าคุณต้องมาทำโฆษณา เป็นครีเอทีฟ เด็กที่จบมาสองสามพันคนก็จะมาทำแต่โฆษณา มันก็จะไม่คิดหรอกว่าจริงๆ มันก็มาทำเหมือนเรา แล้วก็คิดว่านี่แหละ กูเจอแล้ว ซึ่งจริงๆ เค้าอาจจะไม่ได้เจอ แต่ถูกอะไรบางอย่างชักจูง เหมือนกัน ใครที่มีพ่อแม่รับราชการ ก็จะถูกปลูกฝังให้รับราชการ เค้าก็อาจจะไม่เจอตัวเองแต่ก็อยู่ได้

ยุคนี้มันมีทั้งอาชีพที่เราทำเป็นอาชีพ กับงานตามความสนใจที่จับมาเป็นอาชีพได้เยอะขึ้น คนก็เลยคงจะไม่เจอกันได้ง่ายๆ หรอก เราเลยคิดว่าสิ่งสำคัญคือการโฟกัสกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ สมมติคุณทำ 10 อย่าง คุณก็ต้องโฟกัส 10 อย่าง ตั้งใจให้รู้กับมันจริงๆ ผมเชื่อว่าเราจะเจอตัวเองด้วยกรณีอย่างนี้ พอคุณเหนื่อยแล้ว คุณไม่สามารถโฟกัสได้ทุกอย่างแล้ว คุณอาจจะตัดความสนใจออกไปเหลือสิ่งที่คุณอยากทำมันที่สุด อาจมี 2-3 อย่างก็ได้ ผมไม่แน่ใจว่านี่คือการเจอตัวเองรึเปล่า
อยู่กับความไว จะมีอะไรในอนาคต
ระยะสั้นผมว่าจะมีแต่พัฒนาขึ้น คนก็พยายามพัฒนา AI เพื่อมาแทน Human Error ของมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ เราที่ไหลไปตามสังคมก็มีหน้าที่ที่ต้องรับรู้และปรับตัวไปตามยุคสมัย แต่ในระยะยาวเนี่ยผมเชื่อว่าเราจะกลับมาสู่ยุคที่มี Human Error ผมเชื่อว่าถ้าคนเราอิ่มตัวกับความเร็วของทุนนิยมแล้วเราก็จะถอยกลับมาอยู่กับตัวเอง อยู่กับธรรมชาติ มันจะวิ่งคู่ขนานกันไป แล้วเราจะได้เลือกว่าจะไปลงที่จุดไหน เชื่อว่าเราไม่จำเป็นต้องตื่นตัวกับเทคโนโลยีไปตลอด

"วงการโฆษณามันเร็ว การแข่งขันมันก็สูงขึ้น จากที่เราเคยผลิตของชิ้นนึงให้มันมีคุณภาพที่ดี มันกลายเป็นว่าความสำคัญของทุกวันนี้คือเราต้องผลิตของชิ้นนึงให้เร็วพอกับความต้องการมากขึ้น มันก็ได้อย่างเสียอย่าง เพราะฉะนั้น ความเปลี่ยนแปลงในวงการโฆษณาคือมีการแข่งขันเชิงความเร็วมากขึ้น คนที่จะเจ๋งจริงๆ ก็คือคนที่สามารถทำงานได้เร็วขึ้นในขณะเดียวกันก็สามารถรักษาคุณภาพไว้ได้เช่นกัน"
    TAG
  • people
  • interview
  • attitude
  • lifestyle

อยู่กับความไว เร็วได้แต่ช้าให้เป็น คุยกับ “โอเล่” ณัฐวุฒิ สิทธิวรพันธ์ Co-Founder แห่ง Youngster Agency

PEOPLE/INTERVIEW
June 2019
CONTRIBUTORS
EVERYTHING TEAM
RECOMMEND
  • PEOPLE/INTERVIEW

    คุยกับ Cupnoodle ผู้ที่ซื่อสัตย์และมั่นคงในดนตรีของตัวเอง ท่ามกลางความคิดแสนนานาจิตตัง บนเส้นทางสู่เป้าหมายชีวิตที่เรียกว่า “ศิลปิน”

    แค่ได้อ่านชื่อ ก็เชื่อว่าคิ้วของทุกคนคงต้องผูกกันเป็นปมด้วยความสงสัยแล้วว่า ‘บะหมี่ถ้วย ใช้ชื่อนี่เป็นชื่อศิลปินจริงดิ’, ‘มาทำเพลงเอาตลกหรือเปล่าเนี่ย’ บอกไว้ก่อนเลยว่า ไม่ ไม่ตลกเลย เพราะชีวิตที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังผลงานเพลงของ Cupnoodle หรือ “ซาช่า โจสท์” นั้น เต็มไปด้วยความพยายาม ความตั้งใจ จนบางครั้งก็ต้องยอมเสียสละบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้ได้ไขว่คว้าความฝันวัยเด็กในการเป็นศิลปิน ที่ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านนั้น เธอแทบจะผ่านประสบการณ์การลงมือทำมาหมดทุกอย่างแล้วเพื่อเข้าใกล้วงการดนตรีให้ได้มากที่สุด (ซึ่งเยอะจนเราเชื่อว่าคงเขียนเล่าได้ไม่ครบ) แต่แม้จะมุ่งมั่นออกตัววิ่งบนเส้นทางนี้ไปด้วยความรวดเร็วมากเท่าไหร่ ซาช่า ที่ ณ ตอนนั้นใช้ชีวิตอยู่ที่ลอนดอน ก็ยังคงไม่เห็นเส้นชัยของตัวเองสักที

    EVERYTHING TEAMJune 2025
  • PEOPLE/INTERVIEW

    มองสถาปัตยกรรมไทยร่วมสมัยในฐานะวัฒนธรรมที่มีชีวิตผ่าน ART TOYS เจาะลึกแนวคิดความสนุกจาก DUCTSTORE the design guru Co.,Ltd.

    ทันทีที่ Key Visual สถาปนิก’ 68 เผยแพร่ออกมา บทสนทนาปลุกสัญชาตญาณนักสืบในตัวทุกคนพร้อมใจกันทำงานแบบ Autopilot และระหว่างที่ตามหาเฉลยกันจริงจัง ทุกคนเริ่มหันมาตั้งคำถามต่อว่า Art Toys เกี่ยวข้องกับธีมงานอย่างไร รู้ตัวอีกทีวงสนทนาก็กระเพื่อมขยายกว้างขึ้น ส่งสัญญาณชัดว่า Key Visual ปีนี้เปิดฉากมาแบบสนุกเอาเรื่อง โดนเส้นกันสุดๆ

    EVERYTHING TEAMJanuary 2025
  • PEOPLE/INTERVIEW

    อุ้ม-วัลลภ รุ่งกำจัด นักแสดงภาพยนตร์อิสระ สู่เส้นทางของ Cannes Film

    วัลลภ รุ่งกำจัด หรือ อุ้ม นักแสดงที่เชื่อมโยงความเป็นมนุษย์กับโลกของภาพยนตร์ ผ่านการสร้างชีวิตให้ตัวละครต่าง ๆ ได้ออกมาโลดแล่นแสดงความรู้สึกทางอารมณ์ให้กับผู้ชม แม้เขาจะไม่ได้เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงในวงกว้างเทียบเท่ากับนักแสดงกระแสหลัก แต่ในเวทีระดับโลก “อุ้ม” ได้พิสูจน์ตัวเองกับการเป็นนักแสดงที่มีความสามารถที่ยอมทุ่มเทหลาย ๆ สิ่ง ให้กับงานศิลปะด้านการแสดงในภาพยนตร์เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้อย่างสุดตัว

    EVERYTHING TEAM10 months ago
  • PEOPLE/INTERVIEW

    พูดคุยกับ “MAMIO” บนหน้ากระจกสะท้อนตัวตนที่ถูกซ่อนมาทั้งชีวิต “อาจใช้เวลานานถึง 30 ปี แต่ก็ดีกว่าไม่มีโอกาสได้รู้เลย”

    คงปฏิเสธไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้เราได้รู้จักกับเธอคนนี้ในชื่อของ พัด หรือที่ชอบเรียกติดปากกันว่า พัด ZWEED N’ ROLL เจ้าของเสียงทุ้มมีเสน่ห์ นักร้องและนักแต่งเพลงที่ฝากผลงานเพลงเศร้าเอาไว้ในวงการมากมาย อาทิ ช่วงเวลา, Diary, อาจเป็นฉัน และอีกมากมาย ไม่มีอะไรแน่นอนแม้กระทั่งตัวเราเอง ช่วงเวลาจึงได้พัดพาให้เรามาทำความรู้จักกับ “MAMIO” ในฐานะศิลปินใหม่จากค่าย Warner Music Thailand ซึ่งเป็นอีกตัวตนหนึ่งของคุณพัดที่ไม่เคยถูกปลดปล่อยออกมาเลยตลอดชีวิตการทำงานในวงการสิบกว่าปีที่ผ่านมา หรือถ้าจะให้ซื่อสัตย์กับตัวเองจริง ๆ ก็อาจจะเป็นทั้งชีวิตที่เกิดมาเลยเสียด้วยซ้ำ

    EVERYTHING TEAM10 months ago
  • PEOPLE/INTERVIEW

    THE ROARING SOUND OF BANGKOK EVILCORE

    Whispers เป็นหนึ่งในวงดนตรีที่สะท้อนการเติบโตของวงการ Hardcore ในประเทศไทยอย่างแท้จริง ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงกลุ่มเพื่อนที่หลงใหลในดนตรี เพราะนอกจากจะเป็นผู้เล่น พวกเขายังเป็นกำลังสำคัญที่คอยผลักดันซีนฮาร์ดคอร์ในบ้านเรามาโดยตลอด ประสบการณ์ที่สั่งสมทำให้เกิดเป็นสไตล์เฉพาะของ Whispers สร้างความแตกต่างและเป็นเอกลักษณ์ จนทำให้พวกเขาก้าวไปสู่เวทีระดับสากล ถึงแม้พวกเขาจะอยู่ใต้ดินของไทย แต่เสียงคำรามของพวกเขาก็ดังไปไกลถึงทวีปยุโรป มาพบกับเส้นทางดนตรีที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจและการเปลี่ยนแปลง กับวงฮาร์ดคอร์ระดับบท็อปของ Southeast Asia

    EVERYTHING TEAMa year ago
  • PEOPLE/INTERVIEW

    Nat Inksmith (ชณัฏฐ์ หวังบุญเกิด) มากกว่าความสวยงามคือการนำเสนอผลงานที่เป็นตัวตนผ่านศิลปะลายสัก

    ด้วยลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์และรูปแบบงานสักของเขา ที่เรารู้สึกแปลกประหลาดกว่างานสักอื่น ๆ (แปลกประหลาดในที่นี้คือความหมายในแง่ดีนะ) ก็เลยตัดสินใจส่งข้อความทักไปหา “พี่นัทครับ ผมขอสัมภาษณ์พี่ได้ไหม” “ได้ครับ” สั้น ๆ แต่จบ เรื่องราวทั้งหมดก็เลยเริ่มต้นขึ้นที่ร้าน CAVETOWN.TATTOO แถว ๆ ปิ่นเกล้า ซึ่งพี่นัทเป็นเจ้าของร้านแห่งนี้ บทสนทนาของเราเริ่มกันในช่วงเวลาบ่าย ๆ ของวันพฤหัส พอไปถึงร้านพี่นัทกำลังติดงานสักให้กับลูกค้าอยู่หนึ่งคน พอได้เห็นลายที่เขาสักต้องบอกว่าเท่มาก ๆ มันมีความเป็น Psychedelic บวกกับ Ornamental ผสมผสานกับเทคนิค Dotwork จนกลายเป็นงานศิลปะบนผิวหนังหลังฝ่ามือ เราถึงกับต้องถามคำถามโง่ ๆ กับลูกค้าที่ถูกสักว่า “เจ็บไหม” แน่นอนคำตอบที่ได้คือ “โคตรเจ็บ” เพราะจุดที่สักคือหลังฝ่ามือ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่หลายคนร่ำลือกันว่าโคตรเจ็บ ระหว่างที่รอพี่นัทไปพลาง ๆ น้องแมคช่างภาพที่มีรอยสัก Full Sleeve เต็มแขนขวา ก็เริ่มกดชัตเตอร์กล้องถ่ายรูปเก็บภาพระหว่างที่เขาสักไปด้วย พอสักเสร็จเรียบร้อยก็ปล่อยให้พี่เขาพักผ่อนกินน้ำ ปัสสาวะ (อ่านแยกคำนะอย่าอ่านติดกัน) ก่อนจะพูดคุย แต่เดี๋ยว ! ก่อนจะเริ่มบทสนทนา เราขอเกริ่นให้ฟังซักนิดนึงเกี่ยวกับชายคนนี้ก่อน

    EVERYTHING TEAMa year ago
SIGN UP TO OUR NEWSLETTER
A Monthly update of the new issue from us
THANK YOU FOR YOUR SUBSCRIPTION

We use cookies, localStorage and other technologies (collectively, "cookies") to recognise your browser or device, learn more about your interests, and provide you with essential features and services and for additional purposes. ( see details )