LOOKING ON EVERYTHING ?
EXPLORE ON EVERYTHING
“ระเบิด - ธนสรณ์ เจนการกิจ”
ECD แห่ง CJ Worx
คนทำงานครีเอทีฟ จะให้หยุดคิดก็นับเป็นเรื่องยากอยู่เหมือนกัน แต่ก็ใช่ว่าจะหยุดคิดไม่ได้ มีหลายวิธีที่จะช่วยให้สมองได้หยุดพัก ซึ่งในแวดวงของอาชีพครีเอทีฟ ก็คงหนีไม่พ้นคนที่ทำงานในบริษัทเอเจนซี่โฆษณา ที่รับโจทย์ใหม่ๆ จากลูกค้าทุกวัน ถ้าลูกค้าบรีฟงานเคลียร์ก็ดีไป แต่ถ้าบรีฟเหี้ยมล่ะ เราจะต้องจัดการกับมันยังไง ไปฟังประสบการณ์จากปากครีเอทีฟมือรางวัล Cannes Lions “คุณระเบิด - ธนสรณ์ เจนการกิจ” ผู้ที่จะทำให้เราเข้าใจหัวอกครีเอทีฟมากขึ้น

ก่อนจะมาทำงานโฆษณา เราทำงานสร้างสรรค์อย่างอื่นมาก่อน ก็คือรายการทีวี ด้วยที่เราเรียนจบสถาปัตย์ จุฬา เลยมีคอนเนคชั่นกับรุ่นพี่ที่เป็นเด็กถาปัตย์เหมือนกันค่อนข้างเยอะ ซึ่งก็มีหลากหลายอาชีพนะ อย่างที่สนิทเลย ก็จะเป็นพี่ที่ทำโต๊ะกลมโทรทัศน์ เพราะเป็นสายทำละครสถาปัตย์มาเหมือนกัน เรารู้สึกว่าพวกเราเป็นคนเล่าเรื่องนะ ถนัดเรื่องอะไรก็เล่าเรื่องนั้น เรามีเพื่อนที่เป็นนักดนตรี มันก็เล่าเรื่องผ่านเพลง หรืออย่าง "พี่เอ๋ นิ้วกลม" ก็เป็นนักเล่าเรื่องผ่านตัวหนังสือ ทุกคนล้วนใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการเล่าเรื่องของแต่ละคน คือคณะนี้แม่งแปลกตรงที่เวลาคิดอะไรกันรู้สึกว่าตอนคิดมันปัญญาอ่อนจังวะ แต่พอทำออกมาเป็นชิ้นงานแล้วก็เป็นที่ยอมรับนะ ซึ่งตอนนี้เราเป็น Executive Creative Director บริษัทเอเจนซี่ CJ Worx แต่ก็ทำงานในแวดวงโฆษณามา 10 กว่าปีแล้ว

และที่รู้สึกว่าพิเศษกว่าทีมอื่นคือ คาแรคเตอร์ของแต่ละคนในทีมจะมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนนี้ชอบฟังเพลงมาก คนนั้นไม่ได้มีสีสันมากมายแต่อ่านหนังสือเยอะ บางคนก็เป็น Blogger ที่มีไลฟ์สไตล์จัดจ้าน พอเคมีต่างๆ มันมาอยู่รวมกันในทีมแล้วเรารู้สึกว่า Vibe ในทีมมันดี มันสนุก แล้วทุกคนก็ Happy คือเราอยากอยู่แบบไหนเราก็พยายามจะเซ็ตทีมให้เป็นแบบนั้น พอทีมสนุกมันก็จะ Reflect ออกมาที่งาน แล้ววิธีที่จะทำให้ลูกค้า Happy กับงาน เราก็ต้อง Proudly ในงานที่เราทำก่อน ถ้าคุยงานกันแล้วทีมรู้สึกสนุก เวลาเราไปขายงานลูกค้าเค้าก็จะ Get feel นั้นเอง แล้วลูกค้าก็จะสนุกไปกับเราด้วย

งานที่รู้สึกว่ายาก สำหรับเราคืองานที่ไม่เข้าใจกัน ไม่ว่าจะเป็นทั้งฝั่งเรา หรือลูกค้าเอง เรื่องบรีฟก็สำคัญ มันจะมีบรีฟอยู่ 2 ประเภทคือ “บรีฟเหี้ย” กับ “บรีฟเหี้ยม” คือ บรีฟเหี้ยมมันจะแปลว่าไม่เหี้ย แต่ว่ามันอาจจะเป็นโจทย์ที่ยาก มันชาเลนจ์ หรือความเป็นไปได้มันน้อย แต่บรีฟเหี้ยมันคือการไม่เข้าใจกันมากกว่า มันขึ้นอยู่กับการสื่อสารล้วนๆ เลย การทำงานโฆษณามันต้องมี Communication design หรือออกแบบการสื่อสารที่ดี แปลว่าเราต้องเข้าใจก่อน ต้องเข้าใจคน เข้าใจสินค้า และเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย มันถึงจะสื่อสารได้ ถ้าเกิดว่าบรีฟเหี้ยเนี่ย มันก็อาจจะเกิดจากลูกค้าเค้าไม่เข้าใจโปรดักท์ ไม่เข้าใจตัวเอง ไม่เข้าใจโจทย์ หรืออาจจะเป็นความไม่เข้าใจจากฝั่งเรา มันก็จะทำให้รู้สึกว่าบรีฟนั้นมันไม่ Make sense มันหลวม มันกว้างเกินไป ซึ่งวิธีแก้ก็คือ มันต้องคุยกันเยอะๆ ทุกฝ่ายมันต้องเคลียร์ เพราะว่าเรากำลังจะทำการสื่อสาร ถ้าเกิดเราไม่เข้าใจก็สื่อสารไม่ได้ แม้กระทั่งบางทีลูกค้าบรีฟเช้าจะเอาบ่าย นั่นก็แปลว่าคนที่บรีฟไม่เข้าใจการทำงานไง ทุกอย่างมันเกี่ยวพันกับความไม่เข้าใจ ถ้าเราทำความเข้าใจลูกค้าได้ว่าที่รีบเอางานนั้น รีบเพราะอะไร มันอาจจะคุยกันได้ บางทีเค้าอาจจะต้องการแค่ไอเดียหรือเปล่า ไม่ได้ Expect อะไรมากมาย ก็แปลว่าบรีฟนั่นเริ่มไม่เหี้ยและ เริ่มเข้าใจกัน เริ่มคุยกันได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับการสื่อสารนั่นแหละ เมื่อคนสองคนไม่เข้าใจกัน ต่างคนก็จะว่าอีกฝ่ายว่าแย่ ซึ่งในมุมของการทำงาน เราก็ต้อง Educate ลูกค้าให้เข้าใจ


เมื่อพูดถึงเรื่อง Design เราว่ามันคือทุกอย่างนะ จากที่เราเรียนมามันสอนเรามาว่า ทุกอย่างมันคือการดีไซน์ ไม่ว่าจะเป็นกราฟิก เขียนหนังสือ แต่งเพลง หรือจีบหญิง ทั้งหมดนี้เราก็ต้องดีไซน์ หรืออย่างพี่ที่เรารู้จักเค้าทำงานด้านการจัดคอนเสิร์ต หน้าที่ของพี่เค้าคือ “การออกแบบมวลอารมณ์” ในคอนเสิร์ต เห็นมั้ยว่าทุกๆ อย่างมันมีเรื่องของการดีไซน์อยู่ทั้งนั้น แต่ว่าการดีไซน์ไม่ได้แปลว่ามันต้องสำเร็จนะ อย่างคำที่บอกว่า “รักออกแบบไม่ได้” ก็คือมันไม่จำเป็นว่ากูวางแผนจะจีบผู้หญิงคนนี้แล้วมันจะต้องสำเร็จเสมอไปนี่หว่า ซึ่งเราไม่รู้หรอกว่าการออกแบบของเรามันจะสำเร็จไหม แต่เราก็ทำเต็มที่เต็มความสามารถในการออกแบบของเราไป

ถ่ายภาพสตรีท ถ้าอธิบายให้เห็นภาพก็เหมือนกับการออกไปจับโปเกมอนแหละ คือมันมีอยู่ทุกที่เลย แล้วเราก็ไม่รู้ว่าจะจับได้ หรือไม่ได้ แล้วการถ่ายรูปสตรีทมันไม่มีการจัดฉากไง อย่างเราทำงานโฆษณามา เราเซ็ต เราจัดฉากมาตลอดเลย เวลาถ่าย Print ad หรือทำหนัง อยากได้อะไรอยากใส่อะไรก็เสกขึ้นมาได้เลย แต่พอมาถ่ายสตรีทแม่งคนละเรื่องเลย มันเป็นอย่างที่เราต้องการไม่ได้ แล้วมันก็ยิ่งชาเลนจ์เว่ย เราจะเจอโจทย์หน้างานอยู่ตลอดเวลา อย่างเราเดินไปเจออะไรก็จะสร้างโจทย์จากตรงนั้น เราไม่สามารถกำหนดให้คนนั้นมาเดินตรงนี้ได้ ซึ่งนั่นมันคือความสนุกและเสน่ห์ของการถ่าย Street Photo และตอนนี้มันก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเราไปแล้ว เราอยากไปถ่ายในหลายๆ ที่บนโลกใบนะ เพราะแต่ละที่มันมีเรื่องราวไม่เหมือนกัน อย่างประเทศอินเดียเราอยากไปนะ แต่ไม่เคยคิดจะไป เพราะกลัว กลัวเรื่องอาหารการกิน การเข้าห้องน้ำ นู่นนี้ แต่พอเราเริ่มถ่ายสตรีท เราตัดสินใจไปเลย พอกลับมาแล้วรู้สึกว่าแม่งโคตรมันเลย แล้วมันก็เปลี่ยนความคิดที่มีต่อประเทศนี้ไปเลย ประเทศที่อยากไปถ่ายก็จะมี คิวบา, เกาหลีเหนือ, ไมแอมี อเมริกา, อังกฤษ แล้วก็มีอีกหลายที่จะพยายามปักหมุดแล้วก็หาโอกาสไป



งานโฆษณามันให้อะไรเราเยอะมากเลยนะ ให้เราได้เรียนรู้คน การที่คนๆ หนึ่งจะซื้อสินค้าชิ้นนึงเค้าต้องมีความต้องการ มันแปลว่าเราต้องเข้าใจเค้า งานโฆษณามันไม่ใช่การไปควักเงินในกระเป๋าเค้ามาแล้วเอาของไป แต่มันคือการฝากแบรนด์ หรือสินค้าไว้ในอ้อมใจผู้บริโภค เราทำได้แค่ให้เค้าชอบมัน ได้เห็น Benefit ของมัน เพราะฉะนั้นเราต้องเข้าใจคน คนที่เราอยากคุยด้วยเค้ามีความคิดยังไง ชอบอะไร ยิ่งเราเข้าใจเค้ามากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งคุยกับเค้าได้ชัดเจนและรู้เรื่องมากเท่านั้น ยิ่งเราได้ทำโฆษณาใหม่ๆ เราก็จะได้รู้จักคนที่แตกต่างออกไป หมายถึงว่า เวลาลูกค้าที่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์คิดอะไรออกมาสักอย่างนึง แสดงว่าเค้ามองเห็นอะไรบางอย่างของมัน เราก็ยิ่งได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ ได้สนุกกับการที่ได้รู้จักของใหม่ๆ รู้จักคนใหม่ๆ แล้วอีกอย่างที่สำคัญมากเลยก็คือ มันทำให้เรามองโลกในแง่ดี รู้จักหาแง่ดีของสินค้า ซึ่งก็แล้วแต่คนมองนะ บางคนอาจจะมองไม่ดีก็ได้ แต่เรารู้สึกว่ามันสอนให้เรามองอะไรในแง่ดี โฆษณามันอาจจะทำให้คน Consume แต่สำหรับเรามองว่ามันเป็นประโยชน์ต่อ Consumer เมื่อมีสินค้าออกมามากก็จะเกิดการแข่งขันสูง สมมติถ้าโลกนี้มีสินค้าแค่แบรนด์เดียว เราจะต้องจ่ายแพงแค่ไหนเพื่อให้ได้มา แต่การโฆษณาคือการหาข้อดีต่างๆ มาให้ผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นโปรโมชั่น ส่วนลด และประโยชน์ต่างๆ
การหาไอเดียของเรา ส่วนหนึ่งก็มาจากการอ่านหนังสือ เราจะอ่านหนังสือหลายประเภท ทั้งนวนิยาย (ฤทธิ์มีดสั้น, พันธุ์หมาบ้า ฯลฯ) เรื่องวิชาการยากๆ เรื่องที่สาระน้อยๆ เราอ่านหมด มันทำให้เรามี Bubble อยู่ในหัวเยอะดี เวลาคิดงานก็จะดึง Bubble เหล่านั้นมาใช้ให้เข้ากับโจทย์ของแต่ละงานที่ได้รับมา

ป.ล. สุดท้ายนี้ สำหรับน้องๆ นักศึกษาที่อยากมาฝึกงานโฆษณากับทีมพี่ระเบิด ก็ขอให้เตรียมตัวมาเอาความรู้ เพราะพี่เค้าอยากได้เด็กที่มันเอา เอางาน เอาวิชา มาฝึกแล้วอยากได้อะไรกลับไป ไม่ใช่มาฝึกเพื่อเติมเต็มหน่วยกิจอย่างนี้พี่เค้าไม่เอา
Facebook : Thanasorn Janekankit
Instagram : rabthanasorn
ทำงานครีเอทีฟ หมดสิทธิ์ที่จะคิดไม่ออก กับ “ระเบิด - ธนสรณ์ เจนการกิจ” ECD แห่ง CJ Worx
/
ทันทีที่ Key Visual สถาปนิก’ 68 เผยแพร่ออกมา บทสนทนาปลุกสัญชาตญาณนักสืบในตัวทุกคนพร้อมใจกันทำงานแบบ Autopilot และระหว่างที่ตามหาเฉลยกันจริงจัง ทุกคนเริ่มหันมาตั้งคำถามต่อว่า Art Toys เกี่ยวข้องกับธีมงานอย่างไร รู้ตัวอีกทีวงสนทนาก็กระเพื่อมขยายกว้างขึ้น ส่งสัญญาณชัดว่า Key Visual ปีนี้เปิดฉากมาแบบสนุกเอาเรื่อง โดนเส้นกันสุดๆ
/
วัลลภ รุ่งกำจัด หรือ อุ้ม นักแสดงที่เชื่อมโยงความเป็นมนุษย์กับโลกของภาพยนตร์ ผ่านการสร้างชีวิตให้ตัวละครต่าง ๆ ได้ออกมาโลดแล่นแสดงความรู้สึกทางอารมณ์ให้กับผู้ชม แม้เขาจะไม่ได้เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงในวงกว้างเทียบเท่ากับนักแสดงกระแสหลัก แต่ในเวทีระดับโลก “อุ้ม” ได้พิสูจน์ตัวเองกับการเป็นนักแสดงที่มีความสามารถที่ยอมทุ่มเทหลาย ๆ สิ่ง ให้กับงานศิลปะด้านการแสดงในภาพยนตร์เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้อย่างสุดตัว
/
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้เราได้รู้จักกับเธอคนนี้ในชื่อของ พัด หรือที่ชอบเรียกติดปากกันว่า พัด ZWEED N’ ROLL เจ้าของเสียงทุ้มมีเสน่ห์ นักร้องและนักแต่งเพลงที่ฝากผลงานเพลงเศร้าเอาไว้ในวงการมากมาย อาทิ ช่วงเวลา, Diary, อาจเป็นฉัน และอีกมากมาย ไม่มีอะไรแน่นอนแม้กระทั่งตัวเราเอง ช่วงเวลาจึงได้พัดพาให้เรามาทำความรู้จักกับ “MAMIO” ในฐานะศิลปินใหม่จากค่าย Warner Music Thailand ซึ่งเป็นอีกตัวตนหนึ่งของคุณพัดที่ไม่เคยถูกปลดปล่อยออกมาเลยตลอดชีวิตการทำงานในวงการสิบกว่าปีที่ผ่านมา หรือถ้าจะให้ซื่อสัตย์กับตัวเองจริง ๆ ก็อาจจะเป็นทั้งชีวิตที่เกิดมาเลยเสียด้วยซ้ำ
/
Whispers เป็นหนึ่งในวงดนตรีที่สะท้อนการเติบโตของวงการ Hardcore ในประเทศไทยอย่างแท้จริง ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงกลุ่มเพื่อนที่หลงใหลในดนตรี เพราะนอกจากจะเป็นผู้เล่น พวกเขายังเป็นกำลังสำคัญที่คอยผลักดันซีนฮาร์ดคอร์ในบ้านเรามาโดยตลอด ประสบการณ์ที่สั่งสมทำให้เกิดเป็นสไตล์เฉพาะของ Whispers สร้างความแตกต่างและเป็นเอกลักษณ์ จนทำให้พวกเขาก้าวไปสู่เวทีระดับสากล ถึงแม้พวกเขาจะอยู่ใต้ดินของไทย แต่เสียงคำรามของพวกเขาก็ดังไปไกลถึงทวีปยุโรป มาพบกับเส้นทางดนตรีที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจและการเปลี่ยนแปลง กับวงฮาร์ดคอร์ระดับบท็อปของ Southeast Asia
/
ด้วยลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์และรูปแบบงานสักของเขา ที่เรารู้สึกแปลกประหลาดกว่างานสักอื่น ๆ (แปลกประหลาดในที่นี้คือความหมายในแง่ดีนะ) ก็เลยตัดสินใจส่งข้อความทักไปหา “พี่นัทครับ ผมขอสัมภาษณ์พี่ได้ไหม” “ได้ครับ” สั้น ๆ แต่จบ เรื่องราวทั้งหมดก็เลยเริ่มต้นขึ้นที่ร้าน CAVETOWN.TATTOO แถว ๆ ปิ่นเกล้า ซึ่งพี่นัทเป็นเจ้าของร้านแห่งนี้ บทสนทนาของเราเริ่มกันในช่วงเวลาบ่าย ๆ ของวันพฤหัส พอไปถึงร้านพี่นัทกำลังติดงานสักให้กับลูกค้าอยู่หนึ่งคน พอได้เห็นลายที่เขาสักต้องบอกว่าเท่มาก ๆ มันมีความเป็น Psychedelic บวกกับ Ornamental ผสมผสานกับเทคนิค Dotwork จนกลายเป็นงานศิลปะบนผิวหนังหลังฝ่ามือ เราถึงกับต้องถามคำถามโง่ ๆ กับลูกค้าที่ถูกสักว่า “เจ็บไหม” แน่นอนคำตอบที่ได้คือ “โคตรเจ็บ” เพราะจุดที่สักคือหลังฝ่ามือ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่หลายคนร่ำลือกันว่าโคตรเจ็บ ระหว่างที่รอพี่นัทไปพลาง ๆ น้องแมคช่างภาพที่มีรอยสัก Full Sleeve เต็มแขนขวา ก็เริ่มกดชัตเตอร์กล้องถ่ายรูปเก็บภาพระหว่างที่เขาสักไปด้วย พอสักเสร็จเรียบร้อยก็ปล่อยให้พี่เขาพักผ่อนกินน้ำ ปัสสาวะ (อ่านแยกคำนะอย่าอ่านติดกัน) ก่อนจะพูดคุย แต่เดี๋ยว ! ก่อนจะเริ่มบทสนทนา เราขอเกริ่นให้ฟังซักนิดนึงเกี่ยวกับชายคนนี้ก่อน
/
ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปีวงดนตรีสัญชาติไทยที่ชื่อ KIKI ได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในวงที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากทั้งในประเทศไทย ญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ ฮ่องกง ก็เพราะด้วยเสียงเพลงที่มีความเป็นเอกลักษณ์ และการนำเสนอแนวคิดที่ไม่เหมือนใคร รวมถึงความตั้งใจในการสร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนถึงตัวตนของพวกเขาได้อย่างชัดเจน
We use cookies, localStorage and other technologies (collectively, "cookies") to recognise your browser or device, learn more about your interests, and provide you with essential features and services and for additional purposes. ( see details )