LOOKING ON EVERYTHING ?
EXPLORE ON EVERYTHING

วศินบุรี สุพานิชวรภาชน์
ถ่ายทอดเรื่องราว แรงบันดาลใจ และความงามผ่าน 4 ฤดูกาลของเมืองฟุกุชิมะ

ย้อนไปเมื่อ 9 ปีก่อน เราได้ข่าวว่ามีเมืองหนึ่งในประเทศญี่ปุ่นที่ประสบกับภัยพิบัติอันเลวร้ายที่สุดถึง 3 เหตุการณ์ทั้งแผ่นดินไหว คลื่นยักษ์สึนามิ และการระเบิดของเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ นั่นคือเมืองเดียวกับภาพถ่ายสวยๆ ในนิทรรศการภาพถ่าย FUKUSHIMA ครั้งนี้ ที่ถ่ายทอดโดยคุณติ้ว วศินบุรี สุพานิชวรภาชน์ แห่งเถ้าฮงไถ่ และศิลปินเจ้าของรางวัลศิลปาธร (สาขาการออกแบบ) ประจำปี พ.ศ. 2553

ในวันนี้ที่ความสุข ความมั่งคั่ง และความอุดมสมบูรณ์ของเมืองฟื้นคืนมาอีกครั้งตามความหมายของคำว่า “Fuku” ในภาษาญี่ปุ่น โดยวศินบุรีเล่าว่าในปีที่แล้ว เขาได้เดินทางไปเยือนเมืองฟุกุชิมะถึง 4 ครั้ง ครบทั้ง 4 ฤดูของญี่ปุ่น เริ่มต้นจากฤดูหนาว ตามมาด้วยฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วงในหลากหลายพื้นที่ในจังหวัด “ผมพยายามเก็บความทรงจำของสถานที่ที่อยู่ตรงหน้าให้มากที่สุด และบันทึกโอกาสที่ได้มาให้ดีที่สุด”
“จริงแล้วทุกๆ ที่ ทุกเวลา มีบางสิ่งที่ซ่อนอยู่เสมอ เราแค่ต้องเห็นสิ่งที่เรารู้สึก ทุกวินาทีคือ Eternity in a moment และทุกสิ่งคือความทรงจำที่เกิดขึ้น และจะจางหายไป ถ้าไม่ถูกใครสักคนบันทึกไว้”
ภาพถ่ายที่จัดแสดงนิทรรศการนี้ จึงไม่ใช่ Documentary แต่เป็นเหมือนบันทึกการเดินทางส่วนหนึ่งในเมือง Fukushima ของเขาเท่านั้น “ไม่มีทางเลยที่จะถ่ายทอดประวัติศาสตร์ หรือบอกเล่าทุกเรื่องราว ความน่ารัก และความน่าสนใจของเมืองที่เขามีโอกาสพบเจอได้ทั้งหมด ผมอยากให้ภาพเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจเล็กๆ ให้ใครบางคนอยากออกเดินทางเพื่อได้เห็น และได้รู้สึกสิ่งเหล่านั้น หรือได้ค้นหาบางสิ่งบางอย่างด้วยตัวเอง เชื่อว่าใครที่ได้ไป Fukushima ก็จะได้เห็นมุมมองที่แตกต่างกันแม้จะไปสถานที่เดียวกันก็ตาม”


ภาพถ่ายที่จััดแสดงไม่ใช่แค่ถ่ายทอดความสวยงามของเมือง Fukusima แต่ยังเต็มไปด้วยเรื่องราว และเรื่องเล่าที่ซ่อนอยู่ในแต่ละภาพของเมือง Fukushima ใน 4 ฤดูกาล เริ่มต้นด้วย Fukishima ในฤดูหนาว (Winter) ที่ขาวโพลนไปด้วยหิมะ เหมือนอย่างหมู่บ้านโออุจิจุคุ (Ouchi-Juku) หมู่บ้านโบราณที่ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาไอสุ หลังคาบ้านที่มุงด้วยหญ้าแฝกถูกปกคลุมด้วยหิมะสีขาว โดยศิลปินได้เลือกถ่ายทอดภาพสะพานที่ไม่มีรถไฟ และภาพหมู่บ้านแบบ Long Exposure เพื่อให้เห็นการเคลื่อนไหวของคน หรือรถไฟที่ผ่านไปมา




ตามมาด้วยฤดูใบไม้ผลิ ที่วศินบุรีได้พบกับอาจารย์คุนิโทชิ อาเบะ ช่างทำตุ๊กตาโคเคชิ รุ่นที่ 4 ทำให้เกิดเป็นเรื่องเล่าที่บอกเล่าผ่านภาพถ่าย และความเชื่อมโยงกันระหว่างช่างภาพ ที่เป็นผู้สืบทอดโรงงานเซรามิกเถ้าฮงไถ่ ในจังหวัดราชบุรี กับผู้สืบสานและรักษามรดกของงานตุ๊กตาไม้ในเมืองฟุกุชิมะ



จนมาถึงฤดูร้อน เขาก็ได้พบกับประสบการณ์สุดประทับใจที่เขาบันทึกไว้ว่า “ตอนที่เริ่มเดินขึ้นเขา มีหมอกลงจัดมาก ทุกคนก็บอกให้ทำใจ เราอาจไม่เห็นอะไรเลย แต่ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรเลย แค่ต้องไปให้ถึงและเห็นยอดเขานี้ให้ได้ เราเดินฝ่าหมอกเข้าไป ที่แทบมองไม่เห็นทางข้างหน้า จนในที่สุดเราไปถึง ยอดเขา Adatara ไม่ได้ ผิดหวังที่ ฟ้าปิด และหมอกลงจัด แค่การที่ได้มาถึงและเห็นธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ด้วยตาของตัวเอง นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดแล้ว แต่ทันใดนั้น หมอกได้มีช่องว่างเป็นรู ทำให้แสงแดด ที่หลบซ่อนอยู่ด้านหลัง ทะลุรอดออกมาในเสี้ยวไม่กี่วินาที ถูกที่ ถูกเวลา อาจเป็นสิ่งที่ช่างภาพใฝ่ฝันที่อยากเป็นผู้โชคดีคนนั้น”


ปิดท้ายด้วยฤดูใบไม้ร่วงของฟุกุชิมะ ผ่านภาพธรรมชาติสวยงามของพื้นที่ชุ่มน้ำยาโนะฮาระชิสึเก็น ในหมู่บ้านโชวะ อำเภอโอนุมะ ซึ่งเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์มาก จนได้รับขึ้นทะเบียนให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์ทางธรรมชาติของหมู่บ้านโชวะ และได้รับขึ้นทะเบียนให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์ทางธรรมชาติของจังหวัดฟุกุชิมะ
“ทุกครั้งของการเดินทาง นอกจากได้เห็นสถานที่เเละสิ่งที่สวยงามเเล้ว ทุกๆ ที่ไปได้ยังได้พบเจอผู้คนมากมายที่สร้างแรงบันดาลใจหลากหลายให้กับผม ซึ่งสิ่งนี้ปลุกให้ผมมีพลังอีกครั้ง และอยากทำอะไรอีกหลายๆ อย่างให้กับราชบุรีบ้านเราบ้าง”

“บางครั้งผมกลับรู้สึกว่าอยากไปทุกๆ ที่อีกครั้งแบบไม่ต้องมีอุปกรณ์ใดๆ มาบังสายตา ผมอยากแค่มองเฉยๆ และรู้สึกกับความสวยงามจริงๆ ที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น”
นิทรรศการ Fukushima จัดแสดงอยู่บริเวณโถงชั้น 1 ของหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2563
FUKUSHIMA นิทรรศการภาพถ่ายโดย วศินบุรี สุพานิชวรภาชน์ ถ่ายทอดเรื่องราว แรงบันดาลใจ และความงามผ่าน 4 ฤดูกาลของเมืองฟุกุชิมะ
/
นิทรรศการครั้งล่าสุดของวศินบุรี สุพานิชวรภาชน์ ที่มีความหมายมากกว่างานศิลปะ แต่พาเราเดินทางอย่างลึกซึ้งไปถึงรากเหง้าประวัติศาสตร์ชุมชนจังหวัดราชบุรี สิ่งที่หล่อหลอมสู่ตัวตนของศิลปิน รวมถึงความคิด ความทรงจำ และการเชื่อมระหว่างตัวเขากับสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นดิน โลหะ หรือเทคโนโลยี ที่ไม่ใช่แค่ส่วนประกอบงานศิลป์ แต่เป็นภาษาที่บอกเล่าถึงการเปลี่ยนแปลง และส่งต่อสู่ผลงานที่ทำให้เราฉุกคิดว่าทุกสิ่งอยู่ในกระบวนการ “กลายเป็น” อยู่เสมอ
/
ในอดีตที่ผ่านมา ในแวดวงศิลปะ(กระแสหลัก)ในบ้านเรา มักมีคํากล่าวว่า ศิลปะไม่ควรข้องแวะกับ การเมือง หากแต่ควรเป็นเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึก ความงาม สุนทรียะ และจิตวิญญาณภายในอัน ลึกซึ้งมากกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะในยุคสมัยไหน ศิลปะไม่เคยแยกขาดออกจาก การเมืองได้เลย ไม่ว่าจะในยุคโบราณ ที่ศิลปะถูกใช้เป็นเครื่องมือรับใช้ชนชั้นสูงและผู้มีอํานาจ หรือใน ยุคสมัยใหม่ที่ศิลปะถูกใช้เป็นเครื่องมือแสดงออกถึงอุดมการณ์ทางสังคมการเมือง หันมามองในบ้าน เราเอง ก็มีศิลปินไทยหลายคนก็ทํางานศิลปะทางการเมืองอย่างต่อเนื่องยาวนาน ในการสะท้อนและ บันทึกประวัติศาสตร์การเมืองไทยได้อย่างเข้มข้น จริงจัง
/
เหตุการณ์นี้เป็นอุทาหรณ์ให้เรารู้ว่า การก๊อปปี้ก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป เพราะอย่างน้อยที่สุด ก็ทําให้ เราได้รู้ว่าผลงานต้นฉบับของจริงในช่วงเวลาที่เสร็จสมบูรณ์นั้นมีความดีงามขนาดไหน ไม่ต่างอะไรกับศิลปินร่วมสมัยสัญชาติไทยอย่าง วิชิต นงนวล ที่หลงใหลศรัทธาในผลงานของศิลปิน ระดับปรมาจารย์ในยุคสมัยใหม่ของไทยอย่าง จ่าง แซ่ตั้ง ตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ ในวัยของนักเรียน นักศึกษา เรื่อยมาจนเติบโตเป็นศิลปินอาชีพ ความหลงใหลศรัทธาที่ว่าก็ยังไม่จางหาย หากแต่เพิ่มพูน ขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็สุกงอมออกดอกผลเป็นผลงานศิลปะในนิทรรศการ The Grandmaster : After Tang Chang ที่เป็นเสมือนหนึ่งการสร้างบทสนทนากับศิลปินระดับปรมาจารย์ผู้นี้
/
“ยูบาซาโตะ เดินผ่านตามแนวต้นสนขึ้นไปบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เพื่อไปก่อสร้างสถูปดิน และมักจะโดน ทีมงานช่างบ่นทุกวันเกี่ยวกับการก่อสร้าง ที่มีเวลาอยู่อย่างจํากัด เขาเพียงได้แต่ตอบไปว่า .. บุญกุศล นําพาและเวลามีเท่านี้ ขอให้ทําสิ่งดีๆ ให้เต็มที่ ต่อสถานที่บนภูเขานี้เถอะ อย่าบ่นไปเลย เราอาจจะ พบกันแค่ประเดี๋ยวเดียว แต่สิ่งเหล่านี้จะอยู่ต่อไปอีกหลายร้อยปี ... ทีมงานทุกคนเพียงส่งรอยยิ้มที่ เหนื่อยล้ากลับมา ก็เพราะต้องทนร้อนทนแดด และเปียกฝนสลับกันไป จากสภาวะโลกเดือด ที่ทุกคน ต่างพูดถึง แต่ก็จะมาจากใคร ก็จากเราเองกันทั้งนั้น ... แม้จะมาทํางานบนภูเขาก็จริง แต่เขาก็ยังคง คิดถึงเหตุการณ์ภัยน้ําท่วมดินโคลนถล่มที่ผ่านมา อีกทั้งความเสียหายต่อข้าวของที่ต้องย้ายออกจาก บ้านเช่าและค่าใช้จ่ายหลังน้ําท่วมที่ค่อนข้างเยอะพอควร และยิ่งในสภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจแบบนี้...
/
หากเราเปรียบสงคราม และอาชญากรรมที่กระทำต่อมนุษย์ อย่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การสังหารหมู่ และการล่าอาณานิคม เป็นเหมือนการสร้างบาดแผลและความแตกร้าวต่อมวลมนุษยชาติ ศิลปะก็เป็นหนทางหนึ่งในการเยียวยาซ่อมแซมบาดแผลและความแตกร้าวเหล่านั้น แต่การเยียวยาซ่อมแซมก็ไม่จำเป็นต้องลบเลือนบาดแผลและความแตกร้าวให้สูญหายไปเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น หากแต่การเหลือร่องรอยแผลเป็นและรอยแตกร้าวที่ถูกประสาน ก็เป็นเสมือนเครื่องรำลึกย้ำเตือนว่า สิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว และไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นอีกซ้ำเป็นครั้งที่สอง เช่นเดียวกับสิ่งที่ปรากฏในนิทรรศการ “Urgency of Existence” นิทรรศการแสดงเดี่ยวครั้งแรกในเอเชียของ คาแดร์ อัทเทีย (Kader Attia) ศิลปินชาวฝรั่งเศส - แอลจีเรีย ผู้มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เขาเป็นหัวหอกในการทำงานศิลปะผ่านสื่ออันแตกต่างหลากหลาย ที่นำเสนอแนวคิดหลังอาณานิคม และการปลดแอกอาณานิคม จากมุมมองของตัวเขาเอง ที่มีประสบการณ์ทางตรงและทางอ้อมของผู้ที่เคยถูกกดขี่และถูกกระทำจากลัทธิล่าอาณานิคมในศตวรรษที่ผ่านมา
/
ในช่วงปลายปี 2024 นี้ มีข่าวดีสำหรับแฟนๆ ศิลปะชาวไทย ที่จะได้มีโอกาสชมผลงานศิลปะร่วมสมัยของเหล่าบรรดาศิลปินทั้งในประเทศและระดับสากล ยกขบวนมาจัดแสดงผลงานกันในเทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ 2024 ที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 แล้ว โดยในเทศกาลศิลปะครั้งนี้นำเสนอผลงานศิลปะจาก 76 ศิลปิน 39 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ภายใต้ธีมหลัก “รักษา กายา (Nurture Gaia)” ที่ได้แรงบันดาลใจจากเทพี ไกอา (Gaia) ในตำนานเทพปรณัมกรีก หรือพระแม่ธรณีผู้ให้กำเนิดและหล่อเลี้ยงสรรพชีวิต เพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์อันสอดประสานกลมกลืนกันระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ
We use cookies, localStorage and other technologies (collectively, "cookies") to recognise your browser or device, learn more about your interests, and provide you with essential features and services and for additional purposes. ( see details )










