Roma Talismano ชำแหละมายาคติแห่งชาติมหาอำนาจด้วยผลงานศิลปะสุดแซบตลาดแตก ของ Guerreiro do Divino Amor | IAMEVERYTHING.CO

LOOKING ON EVERYTHING ?

EXPLORE ON EVERYTHING

Roma Talismano ชำแหละมายาคติแห่งชาติมหาอำนาจด้วยผลงานศิลปะสุดแซบตลาดแตก ของ Guerreiro do Divino Amor
เรื่อง: ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์

ในช่วงปลายปี 2024 นี้ มีข่าวดีสำหรับแฟนๆ ศิลปะชาวไทย ที่จะได้มีโอกาสชมผลงานศิลปะร่วมสมัยของเหล่าบรรดาศิลปินทั้งในประเทศและระดับสากล ยกขบวนมาจัดแสดงผลงานกันในเทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ 2024 ที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 แล้ว โดยในเทศกาลศิลปะครั้งนี้นำเสนอผลงานศิลปะจาก 76 ศิลปิน 39 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ภายใต้ธีมหลัก “รักษา กายา (Nurture Gaia)” ที่ได้แรงบันดาลใจจากเทพี ไกอา (Gaia) ในตำนานเทพปรณัมกรีก หรือพระแม่ธรณีผู้ให้กำเนิดและหล่อเลี้ยงสรรพชีวิต เพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์อันสอดประสานกลมกลืนกันระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ

  และหนึ่งในศิลปินระดับโลกที่เดินทางมาแสดงงานในบ้านเรานั้นคือศิลปินผู้มีชื่อว่า เกอร์เรโร เดอ ดิวีโน อามอร์ (Guerreiro do Divino Amor) ศิลปินร่วมสมัยชาวบราซิล ผู้จบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านสถาปัตยกรรมจากโรงเรียนสถาปัตกรรมเกรโนเบิล ในประเทศฝรั่งเศส เกอร์เรโรเป็นที่รู้จักจากโครงการศิลปะ “Superfictional world Atlas” ที่เขาเริ่มต้นทำการวิจัยมาตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว โดยเป็นการสำรวจประวัติศาสตร์ ความเป็นสื่อสารมวลชน ศาสนา และตำนานต่างๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับจินตนาการร่วมของมนุษย์ในการสร้างความเป็นชาติ ผลงานของเขาตั้งคำถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างสถาปัตยกรรมกับอุดมการณ์และอำนาจทางการเมือง การโฆษณาชวนเชื่อทางการเมืองกับการสร้างอัตลักษณ์ประจำชาติ เขาสร้างจักรวาลส่วนตัวที่เป็นเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ขึ้นจากเศษเสี้ยวของความเป็นจริง ในรูปแบบของภาพยนตร์ ภาพเคลื่อนไหว สิ่งพิมพ์ สื่อเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ไปจนถึงประติมากรรม และศิลปะจัดวางขนาดใหญ่ เพื่อชำแหละมายาคติแห่งชาติมหาอำนาจทั้งหลายในโลกใบนี้

   ล่าสุด เกอร์เรโรเป็นตัวแทนของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จัดแสดงงานในสวิสพาวิลเลียน ในมหกรรมศิลปะนานาชาติ เวนิส เบียนนาเล่ ครั้งที่ 60 ในปี 2024 นี้ กับผลงานสุดแซบตลาดแตก อันสุดแสนจะซับซ้อนและทะเยอทะยานที่สุดในอาชีพการทำงานของเขาอย่าง Super Superior Civilizations (2024) ซึ่งเป็นผลงานในบทที่ 6 และ 7 จากโครงการ Superfictional world Atlas นั่นเอง

  ส่วนในเทศกาลศิลปะ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ ในครานี้ เกอร์เรโรนำเสนอผลงาน Roma Talismano (2023) ภาพยนตร์จัดวางที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Superfictional World Atlas ที่สำรวจความเชื่อมโยงระหว่างพื้นที่ของเมือง จินตนาการและความเชื่อร่วมของชุมชน ด้วยการใช้สัญลักษณ์เชิงเปรียบเทียบกับอาณาจักรโรมัน อันเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่เหนือผู้อื่น ตามประวัติศาสตร์ของชาติตะวันตก ผ่านเรื่องราวของสัตว์เชิงสัญลักษณ์สามชนิด อย่าง นางหมาป่า (มารดาของบรรดาผู้มีอำนาจเหนือผู้อื่น) พญาอินทรี (ความยิ่งใหญ่ด้านการทหารของอาณาจักรโรมัน) และแกะสาว (ความบริสุทธิ์ในทางคริสตศาสนา) ในรูปแบบของภาพยนตร์เพลงแนวแฟนตาซีอันเปี่ยมสีสันบรรเจิด

   “ผมเริ่มต้นทำงานชุดนี้เป็นครั้งแรกในปี 2004 ตอนที่ผมเป็นนักศึกษาสถาปัตยกรรม โดยทำเป็นงานในเชิงทดลองมากๆ เป็นการวิเคราะห์ตลาดดิจิทัลที่เริ่มต้นในช่วงเวลานั้น ผมยังเริ่มศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับการตลาดของเมือง ซึ่งทำให้ผมรู้สึกถึงความเชื่อมโยงระหว่างการตลาดในการพิชิตใจผู้บริโภค กับการที่เมืองต้องการขายตัวเองในฐานะสินค้า และถูกเปลี่ยนให้เป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ กับสงครามและกองทัพ ต่างๆ”

   “ในตอนแรกผมทำงานชุดนี้ในเมือง บราซีเลีย ก่อนที่จะทำต่อในเมือง ริโอ เดอ จาเนโร โดยผมเขียนเนื้อหาของงานในปี 2005 ก่อนที่จะถ่ายทำในปี 2013 ในช่วงเวลาก่อนที่จะมีมหกรรมกีฬาโอลิมปิก และฟุตบอลโลก ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงเมืองให้ทันสมัยเหมือนดูไบ และบาร์เซโลนา
   ด้วยความที่ริโอ เดอ จาเนโร ถูกสร้างภาพให้เป็นตัวแทนของความสุข ความรื่นรมย์ ความเพลิดเพลิน และยังเป็นศูนย์กลางของสื่อ ที่ผลิตละครน้ำเน่า ความบันเทิงต่างๆ เมืองแห่งนี้ยังถูกสร้างให้เป็นภาพลักษณ์ของชาติ ของบราซิลทั้งประเทศ เป็นเมืองแห่งท้องทะเล ชายหาด ผู้คนที่มีร่างกายงดงาม เปี่ยมสเน่ห์ การสร้างภาพลักษณ์เช่นนี้เป็นเหมือนกับตำนานและเทพนิยาย เพราะในขณะเดียวกันเมืองแห่งนี้ก็ยังถูกนำเสนอผ่านสื่อต่างๆ ถึงความอันตราย ทั้งอาชญากรรม ฆาตกรรม ความรุนแรง ซึ่งขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงกับภาพข้างต้น ไม่ต่างอะไรกับเมืองแห่งสวรรค์และนรกในเวลาเดียวกัน ในขณะที่เมืองแห่งนี้ถูกสร้างให้เป็นเมืองแห่งอนาคต แต่ในขณะเดียวกันเราก็ถอยกลับไปสู่ความล้าหลัง เต็มไปด้วยป่าดงพงไพร ทำให้เมืองแห่งนี้เป็นเหมือนเมืองในเรื่องแต่ง ที่ไม่ใช่ความเป็นจริง งานของผมเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ปรากฏการณ์เหล่านี้ของเมือง”

   สิ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ในผลงานชิ้นนี้ของเกอร์เรโรก็คือ ตัวละครเอกผู้สวมบทบาท นางหมาป่าแห่งเนินเขาศักดิ์สิทธิ์ของโรมัน อย่าง เว็นตูรา โปรเฟอนา (Ventura Profana) ศิลปินชาวบราซิล ผู้ปรากฏกายในร่างครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์ เจ้าของนม 6 เต้า และบุคลิกอันเปี่ยมพลังอำนาจอย่างยากจะหาใครเสมอเหมือน ซึ่งเกอร์เรโรกล่าวถึงเหตุผลที่เลือกศิลปินผู้นี้มารับบทนำในผลงานชิ้นนี้ของเขาว่า

   “ก่อนหน้านั้นผมรู้จักกับเว็นตูราพอสมควร เพราะเธออาศัยอยู่ใน ริโอ เดอ จาเนโร เหมือนกับผม เราต่างรู้จักคุ้นเคยกับงานของกันและกัน เรามาสนิทกันอีกทีตอนเป็นศิลปินพำนักในบราซิล เราอาศัยอยู่ด้วยกันที่นั่น 7 เดือน หลังจากนั้นเราก็อยู่ด้วยกันในริโอ เราต่างช่วยเหลือ และร่วมกันทำงานในหลายโครงการ เว็นตูราเป็นนักร้องเพลงป๊อป ศิลปินร่วมสมัย และนักเทศน์ในโบสถ์คริสเตียนที่เธอก่อตั้งขึ้นเอง เธอมีชื่อเสียงโด่งดังมากในบราซิล นั่นเป็นเหตุผลที่ผมเลือกให้เธอรับบทนำในผลงานชิ้นนี้ของผม มันสำคัญมากที่เธอสวมบทนี้ ที่เป็นตัวแทนของมหาอำนาจอย่างกรุงโรม”

   ตัวละครนางหมาป่าของเว็นตูรายังทำให้เรานึกไปถึงตำนานของพี่น้องฝาแฝด โรมุลุสและแรมุส ผู้เติบโตขึ้นจากการเลี้ยงดูของหมาป่า ก่อนที่โรมุลุสจะกลายเป็นผู้ก่อตั้งกรุงโรม และกษัตริย์องค์แรกของอาณาจักรโรมัน ซึ่งเกอร์เรโรเผยกับเราว่า

   “ตัวละครนี้มีที่มาจากตำนานที่ว่านี้จริงๆ แต่ผมเปลี่ยนพี่น้องสองคนให้กลายเป็นผู้หญิงแทน ผู้หญิงคนหนึ่งเป็น พญาอินทรี ที่เป็นตัวแทนความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิโรมัน ส่วนผู้หญิงอีกคนเป็น แกะสาว ซึ่งเป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์ในคริสตศาสนา หรือ พระเยซูคริสต์ แต่เป็นพระเยซูที่ถูกเปลี่ยนแปลงโดยจักรวรรดิโรมัน ให้กลายเป็นเครื่องมือสร้างอำนาจ แกะสาวหรือพระเยซูในเวอร์ชันนี้จึงมีผิวขาวและผมสีบลอนด์ ซึ่งแตกต่างกับพระเยซู ซึ่งเป็นชาวอิสราเอลในปาเลสไตน์ (ที่มีผิวคล้ำ ผมดำ) ทั้งสองเป็นสัญลักษณ์ของมหาอำนาจอย่างจักรวรรดิโรมัน ไม่ต่างอะไรกับสหรัฐอเมริกา ที่สามารถทำตามอำเภอใจในการล่าอาณานิคม หรือกดขี่คนให้เป็นทาส สหรัฐอเมริกายังถูกนำไปเปรียบเทียบกับจักรวรรดิโรมัน ทั้งสถาปัตยกรรม วัฒนธรรม และอื่นๆ อีกมากมาย”

  เหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งที่เกอร์เรโรเปลี่ยนตัวละครเหล่านี้จากผู้ชายให้กลายเป็นผู้หญิง ก็เพื่อวิจารณ์ระบบปิตาธิปไตย (Patriarchy) หรือชายเป็นใหญ่ของประเทศมหาอำนาจทั้งหลายนั่นเอง
  “เพราะมหาอำนาจในตะวันตกอย่างเช่นอาณาจักรโรมัน นั้นเต็มไปด้วยอนุสาวรีย์เพศชาย ในทุกๆ ที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์และรูปลักษณ์ของเพศชาย ไม่ว่าจะเป็นชื่อถนน ชื่อสถานที่ ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นชื่อของเพศชาย เต็มไปด้วยเพศชายทุกแห่งหน ด้วยเหตุนี้ผมจึงฝันถึงความเป็นไปได้ของสังคม และวิถีชีวิตที่ทุกคนทุกเพศสามารถอยู่ร่วมกันอย่างเสมอภาค”

  เนื้อหาในผลงานชุดนี้ของเกอร์เรโรยังบังเอิญเข้ากับแนวคิดของงานเทศกาลศิลปะ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ ในปีนี้อย่างเหมาะเจาะ เพราะเป็นเรื่องราวของเทวี เทพธิดา และเทพสตรี เช่นเดียวกับพระแม่แห่งธรณี ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ธีมงานนี้อย่าง Nurture Gaia นั่นเอง
  ในทางกลับกัน ผลงานของเขาในมหกรรมศิลปะนานาชาติ เวนิส เบียนนาเล่ ครั้งที่ 60 นั้นไม่ได้มีเพียงผลงานวิดีโอแบบเดียวกับที่แสดงในเทศกาลศิลปะ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ในบ้านเรา หากแต่เต็มไปด้วยองค์ประกอบ รายละเอียด และสื่อทางศิลปะหลากหลายรูปแบบ ทั้งผลงานภาพยนตร์จัดวาง ประติมากรรมจัดวาง โฮโลแกรม ประกอบกับการตกแต่งภายในด้วยสถาปัตยกรรมคลาสสิคที่แฝงอารมณ์ดัดจริต เว่อร์วังอลังการดาวล้านดวง ทั้งเสาโรมันและน้ำพุหินอ่อน(เทียม) ที่สื่อถึงภาพลักษณ์ของอำนาจและความยิ่งใหญ่ของประเทศมหาอำนาจในโลก (แต่ภายในปลอมเปลือก กลวงเปล่า)

  “ผมต้องการสร้างโลกใบใหม่จากโลกเดิมที่เราอาศัยอยู่ ด้วยการจัดวางสิ่งต่างๆ สลับสับเปลี่ยนที่กัน อย่างเช่นจักรวรรดิโรมันอันเก่าแก่เมื่อสองพันปีที่แล้ว ผมสร้างเรื่องราวและฉากขึ้นมาใหม่ ทั้งสถาปัตยกรรม และสภาพแวดล้อมในจินตนาการ แต่อ้างอิงจากความเป็นจริง ทั้งเสาหินอ่อน อนุสาวรีย์ ทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อแสดงถึงอำนาจและความยิ่งใหญ่อลังการของมัน แต่สิ่งเหล่านี้กลับสร้างจากวัสดุเปราะบางอย่างกระดาษ ด้วยเทคนิคการปะติด (Collage) หยาบๆ เหมือนคาสิโน โรงละคร และโบสถ์ปลอมๆ ที่สร้างขึ้นเพื่อล้อเลียนพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่เป็นนิรันดร์ แต่กลับเปราะบางเสื่อมสลายง่าย ผมต้องการให้ผู้ชมมองเห็นว่าสิ่งก่อสร้างเหล่านี้เป็นของปลอมที่ไม่คงทนถาวร เช่นเดียวกับประเทศที่ผมเป็นตัวแทนอย่างสวิตเซอร์แลนด์ อันเป็นประเทศที่เคร่งเครียดจริงจัง เจริญรุ่งเรือง แต่ในขณะเดียวกัน ความยิ่งใหญ่ของมหาอำนาจเหล่านี้ก็เต็มไปด้วยความลักลั่น น่าขันอยู่ดี”
  แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นเรื่องน่าสนใจที่ประเทศอันเคร่งเครียดจริงจังและมีีความเป็นยุโร้ปยุโรปสูง อย่างสวิตเซอร์แลนด์ กลับเลือกศิลปินเจ้าของผลงานที่เต็มไปด้วยความจิกกัดเสียดสีความเป็นยุโรปอย่างเจ็บแสบอย่างเกอร์เรโร ให้เป็นตัวแทนของสวิสพาวิลเลียน ในเวนิส เบียนนาเล่ ในปี 2024 นี้ ซะอย่างงั้น

   “บังเอิญว่าปีที่แล้ว คณะกรรมการคัดเลือกศิลปินนานาชาติของสวิสได้ดูนิทรรศการแสดงผลงานย้อนหลังของผมในเจนีวา เขาก็เรียกผมให้ไปนำเสนอผลงานเพื่อคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของสวิสพาวิลเลียน และพวกเขาก็เลือกผม ผมคิดว่าเขาสนใจเลือกผลงานของผมก็เพื่อแสดงภาพลักษณ์ของความเป็นประชาธิปไตย นอกจากนี้ผมว่ายังเป็นกุศโลบายของเขา ในการชิงวิจารณ์ตนเองก่อนที่คนอื่นจะวิจารณ์นั่นแหละ สิ่งที่ดีก็คือ พวกเขาให้เสรีภาพในการทำงานกับผมอย่างเต็มที่โดยไม่ควบคุมเลยแม้แต่น้อย แถมทางผู้หลักผู้ใหญ่ของสวิสอย่างประธานาธิบดี หรือรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมเอง ก็ได้ชมผลงานของผม พวกเขาต่างหัวเราะและสนุกกับงานของผมกันมาก”
  เรายังสงสัยว่าผลงานที่เกอร์เรโรนำมาจัดแสดงในเทศกาลศิลปะ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ นั้นเป็นผลงานชิ้นเดียวกันกับที่แสดงในเวนิส เบียนนาเล่หรือไม่ เพราะดูคุ้นตากับที่เราเคยชมมา ซึ่งเขาเฉลยให้เราฟังว่า
  “ผลงานที่จัดแสดงในประเทศไทย นั้นเป็นผลงานชิ้นใหม่ที่ทำมาเพื่อแสดงที่นี่โดยเฉพาะ ถึงแม้จะมีฟุตเตจ และเพลงประกอบเดียวกันกับผลงานที่เวนิส เบียนนาเล่ แต่ก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น แอนิเมชั่นทั้งหมดในงานชิ้นที่แสดงที่นี่ก็ถูกทำขึ้นมาใหม่ทั้งหมด”

  เกอร์เรโรยังกล่าวถึงข้อได้เปรียบในการเป็นศิลปินที่มีพื้นฐานทางด้านสถาปัตยกรรมว่า
  “การมีพื้นฐานทางสถาปัตยกรรมช่วยผมอย่างมากในการทำงาน ไม่เพียงในเรื่องของโครงสร้าง แต่รวมถึงแนวคิดในเชิงทฤษฎี ในเชิงอุปมาเปรียบเทียบ การวิเคราะห​์เรื่องราวต่างๆ การจัดการระบบความคิด นั้นใช้กระบวนการแบบเดียวกับสถาปัตยกรรมทั้งสิ้น รวมถึงการสำรวจการทับซ้อนของประวัติศาสตร์ สังคมศาสตร์ ประวัติศาสตร์ศิลปะ และการพัฒนาโครงการ การคิดในพื้นที่หลายมิติ หรือแม้แต่การทำภาพยนตร์ เพราะการทำภาพยนตร์เองก็มีกระบวนการคล้ายกับการทำงานสถาปัตยกรรมเช่นกัน ในแง่ของมิติ เวลา และระบบการจัดการต่างๆ”

  “งานของผมยังได้แรงบันดาลใจมาจากเทศกาลคาร์นิวัลของบราซิล (Carnaval do Rio de Janeiro) อย่างมาก ทั้งสีสันและวิธีการเล่าเรื่อง เทศกาลคาร์นิวัลในริโอเดอจาเนโรนั้นเต็มไปด้วยความเป็นการเมือง และการวิพากษ์วิจารณ์สังคม เต็มไปด้วยความซับซ้อน แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเข้าใจง่าย และเข้าถึงคนทุกเพศทุกวัยได้อีกด้วย”
  ท้ายสุด เกอร์เรโรกล่าวถึงเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาตัดสินใจเดินทางมาแสดงงานในเทศกาลศิลปะ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ ในประเทศไทยว่า
  “การมาประเทศไทยเป็นความฝันของผมมาตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาประเทศไทย ผมรักที่นี่มาก ที่นี่มีความพิเศษ ไม่เหมือนที่ไหน และแน่นอนว่าการได้มาร่วมงานในเทศกาลร่วมกับศิลปินหลายคนแบบนี้ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีมากสำหรับผม ก่อนหน้านี้แฟนของผมถามผมว่า ในชีวิตนี้คุณอยากไปไหนที่สุด ผมตอบว่า ผมอยากไปเมืองไทยมาก หลังจากนั้นสามวัน ผมก็ได้รับอีเมลเชิญมาแสดงในเทศกาลศิลปะ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ ที่เมืองไทย ผมคิดว่า โอเค ผมต้องมาแล้วล่ะ! (หัวเราะ)”

  ผลงาน Roma Talismano ของ เกอร์เรโร เดอ ดิวีโน อามอร์ จัดแสดงใน เทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ 2024 ตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคม 2567 - 5 กุมภาพันธ์ 2568 ณ พื้นที่แสดงงาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป (หอศิลปเจ้าฟ้า) เปิดให้บริการวันพุธ - วันอาทิตย์ เวลา 09.00 – 16.00 น. (หยุดวันจันทร์ - วันอังคาร, วันหยุดนักขัตฤกษ์ และวันหยุดตามประกาศของรัฐบาล) ค่าเข้าชม คนไทย 30 บาท ชาวต่างประเทศ 200 บาท นักเรียน นักศึกษา พระภิกษุ สามเณร นักบวชในศาสนาอื่น และผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) เข้าชมโดยไม่เสียค่าธรรมเนียม

ตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.bkkartbiennale.com/
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก ศิลปิน เกอร์เรโร เดอ ดิวีโน อามอร์, BAB2024

  ป.ล. วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2567 นี้ ขอเชิญร่วมทัวร์เทศกาลศิลปะ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ กับ MATICHON HOLIDAY TRIP SERIES BKK Art Biennale Trip นำชมตลอดทริปโดยผู้เขียน ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์, สนใจสำรองที่นั่งที่ LINE โดยคลิก line.me/ti/p/zM-t9v3Y9w หรือค้นหาด้วย LINE ID : Matichonmic, สอบถามเพิ่มเติมติดต่อ : คุณหญิง (092-2464140)

    TAG
  • art
  • exhibition
  • Guerreiro do Divino Amor
  • Roma Talismano
  • bangkok art biennale 2024
  • รักษา กายา
  • Nurture Gaia

Roma Talismano ชำแหละมายาคติแห่งชาติมหาอำนาจด้วยผลงานศิลปะสุดแซบตลาดแตก ของ Guerreiro do Divino Amor

ART AND EXHIBITION/EXHIBITION
7 months ago
CONTRIBUTORS
EVERYTHING TEAM
RECOMMEND
  • DESIGN/EXHIBITION

    Re/Place การปิดทับอดีตเพื่อเปิดเผยความจริงทางการเมือง ของ วิทวัส ทองเขียว

    ในอดีตที่ผ่านมา ในแวดวงศิลปะ(กระแสหลัก)ในบ้านเรา มักมีคํากล่าวว่า ศิลปะไม่ควรข้องแวะกับ การเมือง หากแต่ควรเป็นเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึก ความงาม สุนทรียะ และจิตวิญญาณภายในอัน ลึกซึ้งมากกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะในยุคสมัยไหน ศิลปะไม่เคยแยกขาดออกจาก การเมืองได้เลย ไม่ว่าจะในยุคโบราณ ที่ศิลปะถูกใช้เป็นเครื่องมือรับใช้ชนชั้นสูงและผู้มีอํานาจ หรือใน ยุคสมัยใหม่ที่ศิลปะถูกใช้เป็นเครื่องมือแสดงออกถึงอุดมการณ์ทางสังคมการเมือง หันมามองในบ้าน เราเอง ก็มีศิลปินไทยหลายคนก็ทํางานศิลปะทางการเมืองอย่างต่อเนื่องยาวนาน ในการสะท้อนและ บันทึกประวัติศาสตร์การเมืองไทยได้อย่างเข้มข้น จริงจัง

    Panu BoonpipattanapongFebruary 2025
  • DESIGN/EXHIBITION

    The Grandmaster : After Tang Chang บทสนทนากับ จ่าง แซ่ตั้ง ศิลปินระดับปรมาจารย์แห่งศิลปะสมัยใหม่ไทย โดย วิชิต นงนวล

    เหตุการณ์นี้เป็นอุทาหรณ์ให้เรารู้ว่า การก๊อปปี้ก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป เพราะอย่างน้อยที่สุด ก็ทําให้ เราได้รู้ว่าผลงานต้นฉบับของจริงในช่วงเวลาที่เสร็จสมบูรณ์นั้นมีความดีงามขนาดไหน ไม่ต่างอะไรกับศิลปินร่วมสมัยสัญชาติไทยอย่าง วิชิต นงนวล ที่หลงใหลศรัทธาในผลงานของศิลปิน ระดับปรมาจารย์ในยุคสมัยใหม่ของไทยอย่าง จ่าง แซ่ตั้ง ตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ ในวัยของนักเรียน นักศึกษา เรื่อยมาจนเติบโตเป็นศิลปินอาชีพ ความหลงใหลศรัทธาที่ว่าก็ยังไม่จางหาย หากแต่เพิ่มพูน ขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็สุกงอมออกดอกผลเป็นผลงานศิลปะในนิทรรศการ The Grandmaster : After Tang Chang ที่เป็นเสมือนหนึ่งการสร้างบทสนทนากับศิลปินระดับปรมาจารย์ผู้นี้

    Panu BoonpipattanapongJanuary 2025
  • DESIGN/EXHIBITION

    Monte Cy-Press ศิลปะจากกองดินที่สะท้อนน้ําหนักของภัยพิบัติ โดย อุบัติสัตย์

    “ยูบาซาโตะ เดินผ่านตามแนวต้นสนขึ้นไปบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เพื่อไปก่อสร้างสถูปดิน และมักจะโดน ทีมงานช่างบ่นทุกวันเกี่ยวกับการก่อสร้าง ที่มีเวลาอยู่อย่างจํากัด เขาเพียงได้แต่ตอบไปว่า .. บุญกุศล นําพาและเวลามีเท่านี้ ขอให้ทําสิ่งดีๆ ให้เต็มที่ ต่อสถานที่บนภูเขานี้เถอะ อย่าบ่นไปเลย เราอาจจะ พบกันแค่ประเดี๋ยวเดียว แต่สิ่งเหล่านี้จะอยู่ต่อไปอีกหลายร้อยปี ... ทีมงานทุกคนเพียงส่งรอยยิ้มที่ เหนื่อยล้ากลับมา ก็เพราะต้องทนร้อนทนแดด และเปียกฝนสลับกันไป จากสภาวะโลกเดือด ที่ทุกคน ต่างพูดถึง แต่ก็จะมาจากใคร ก็จากเราเองกันทั้งนั้น ... แม้จะมาทํางานบนภูเขาก็จริง แต่เขาก็ยังคง คิดถึงเหตุการณ์ภัยน้ําท่วมดินโคลนถล่มที่ผ่านมา อีกทั้งความเสียหายต่อข้าวของที่ต้องย้ายออกจาก บ้านเช่าและค่าใช้จ่ายหลังน้ําท่วมที่ค่อนข้างเยอะพอควร และยิ่งในสภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจแบบนี้...

    Panu Boonpipattanapong6 months ago
  • DESIGN/EXHIBITION

    Kader Attia กับศิลปะแห่งการเยียวยาซ่อมแซมที่ทิ้งร่องรอยบาดแผลแห่งการมีชีวิต ในนิทรรศการ Urgency of Existence

    หากเราเปรียบสงคราม และอาชญากรรมที่กระทำต่อมนุษย์ อย่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การสังหารหมู่ และการล่าอาณานิคม เป็นเหมือนการสร้างบาดแผลและความแตกร้าวต่อมวลมนุษยชาติ ศิลปะก็เป็นหนทางหนึ่งในการเยียวยาซ่อมแซมบาดแผลและความแตกร้าวเหล่านั้น แต่การเยียวยาซ่อมแซมก็ไม่จำเป็นต้องลบเลือนบาดแผลและความแตกร้าวให้สูญหายไปเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น หากแต่การเหลือร่องรอยแผลเป็นและรอยแตกร้าวที่ถูกประสาน ก็เป็นเสมือนเครื่องรำลึกย้ำเตือนว่า สิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว และไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นอีกซ้ำเป็นครั้งที่สอง เช่นเดียวกับสิ่งที่ปรากฏในนิทรรศการ “Urgency of Existence” นิทรรศการแสดงเดี่ยวครั้งแรกในเอเชียของ คาแดร์ อัทเทีย (Kader Attia) ศิลปินชาวฝรั่งเศส - แอลจีเรีย ผู้มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เขาเป็นหัวหอกในการทำงานศิลปะผ่านสื่ออันแตกต่างหลากหลาย ที่นำเสนอแนวคิดหลังอาณานิคม และการปลดแอกอาณานิคม จากมุมมองของตัวเขาเอง ที่มีประสบการณ์ทางตรงและทางอ้อมของผู้ที่เคยถูกกดขี่และถูกกระทำจากลัทธิล่าอาณานิคมในศตวรรษที่ผ่านมา

    Panu Boonpipattanapong6 months ago
  • DESIGN/EXHIBITION

    Apichatpong Weerasethakul : Lights and Shadows นิทรรศการครั้งยิ่งใหญ่ใน Centre Pompidou ของศิลปินผู้สร้างแสงสว่างในความมืด อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล

    เมื่อพูดถึงชื่อ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล หรือ เจ้ย มิตรรักแฟนหนังหลายคนน่าจะรู้จักเขาในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทยผู้เปี่ยมไปด้วยความเป็นศิลปะที่สุด ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย แต่หมายรวมถึงในสากลโลก ยืนยันด้วยรางวัลสำคัญจากเทศกาลภาพยนตร์ระดับโลกหลายต่อหลายรางวัล ไม่ว่าจะเป็นรางวัลยอดเยี่ยมในการฉายสายรอง (Un Certain Regard) จากภาพยนตร์เรื่อง สุดเสน่หา (Blissfully Yours) (2002) และรางวัลขวัญใจคณะกรรมการ (Jury Prize) จากภาพยนตร์เรื่อง สัตว์ประหลาด! (Tropical Malady) (2004) จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ ในปี 2002 และ 2004, หรือภาพยนตร์เรื่อง แสงศตวรรษ (Syndromes and a Century) (2006) ของเขาก็ได้รับเลือกให้เข้าชิงรางวัลสิงโตทองคำในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเวนิส ในปี 2006 และคว้ารางวัลกรังปรีซ์จากเทศกาลภาพยนตร์ Deauville Asian Film Festival ในปี 2007, และภาพยนตร์เรื่อง รักที่ขอนแก่น (Cemetery of Splendor) (2015) ของเขาก็คว้ารางวัลยอดเยี่ยมจากเวที Asia Pacific Screen Awards ในปี 2015, ที่สำคัญที่สุด อภิชาติพงศ์ยังเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รับรางวัล ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมปาล์มทองคำ (Palm d’or) จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ ครั้งที่ 63 ในปี 2010 จากภาพยนตร์เรื่อง ลุงบุญมีระลึกชาติ (Uncle Boonmee Who Can Recall His Past Lives) (2010), และล่าสุด ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องล่าสุดของเขาอย่าง Memoria (2021) ยังคว้ารางวัล Jury Prize ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ครั้งที่ 74 ในปี 2021 มาครองได้อีกครั้ง อีกทั้งยังได้รับเสียงวิจารณ์เชิงบวกอย่างท่วมท้นจากสื่อมวลชนนานาชาติ

    Panu Boonpipattanapong8 months ago
  • DESIGN/EXHIBITION

    Out of Frame การล่องแพในแม่น้ำเพื่อสำรวจหาเส้นทางใหม่ๆ แห่งการทำงานจิตรกรรมของ Lee Joon-hyung

    เมื่อพูดถึงเกาหลีใต้ หลายคนอาจจะนึกถึง เคป็อป หรือซีรีส์เกาหลี แต่ในความเป็นจริง เกาหลีใต้ไม่ได้มีสิ่งที่น่าสนใจเพียงแค่นั้น หากแต่ เคอาร์ต หรือวงการศิลปะเกาหลีก็มีอะไรที่โดดเด่นน่าสนใจเหมือนกัน ดังเช่นที่เรามีโอกาสได้ไปชมนิทรรศการศิลปะที่น่าสนใจของศิลปินเกาหลีใต้ ที่บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาจัดแสดงในบ้านเรา

    Panu Boonpipattanapong10 months ago
SIGN UP TO OUR NEWSLETTER
A Monthly update of the new issue from us
THANK YOU FOR YOUR SUBSCRIPTION

We use cookies, localStorage and other technologies (collectively, "cookies") to recognise your browser or device, learn more about your interests, and provide you with essential features and services and for additional purposes. ( see details )