LOOKING ON EVERYTHING ?
EXPLORE ON EVERYTHING


Writer:
Chakkraphan Kwanmongkol
Photographer:
Tanapol Kaewpring
Costume:
Sarunrat Panchiracharoen
Typography:
PrachathipaType


การทำงานร่วมกันครั้งนี้ของคุณกับ Headache Stencil เป็นอย่างไรบ้าง
มันเริ่มจาก ไพร่า มองว่าครั้งนี้เราเป็น Visual Artist เป็นมีเดียที่เราสื่อสารอะไรบางอย่างได้ เราเลยมีไอเดียว่าถ้าเราสื่อสารร่วมกับศิลปินคนอื่นด้วยก็น่าจะดี แต่เราไม่อยากสื่อสารในงานแฟชั่นดีไซน์อะไรแบบนั้น เราอยากมี Statement อะไรบางอย่างที่สื่อสารกับสังคมได้ บอกว่ามันเกิดอะไรขึ้นในสังคมได้แบบนั้นมากกว่า เราก็เลยคิดว่าบ้านเราศิลปินแนวนี้ Headache Stencil เป็นระดับท็อปแล้ว เราก็เคยทำงานกับพี่เขามาก่อน เลยชวนเขามา Collab ร่วมกันค่ะ

คุณมองเห็นอะไรในตัว Headache Stencil
ต้องถามว่าไพร่า มองเห็นอะไรในเราสองคนมากกว่า คือไพร่ามองว่าทั้งเราทั้งเขาเหมือนกันตรงที่ไม่กลัวที่จะพูดสิ่งที่เราคิด ไม่กลัวที่จะสื่อสารบางสิ่งบางอย่างที่อาจจะมีคนไม่เห็นด้วยออกไป เราเชื่อว่าเรามีสิทธิ์ที่จะพูดถึงมันได้ นี่เป็นสิ่งที่ทั้งเราและ Headache Stencil มี ทั้งที่ความเป็นจริงตอนทำงานทั้งสองครั้ง เรากับพี่เขาก็ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่นะคะ เนื่องจากเวลาทำงานในกองถ่ายมันรัดมาก แทบไม่ได้คุยกัน ไม่ว่าจะกับใครทั้งนั้นแหละ แต่เราก็เชื่อใน Attitude ของเขา
Headache Stencil ก็พูดในทำนองเดียวกันว่าเลือกการทำงานร่วมกับคนที่มี Attitude เดียวกัน
สิ่งนี้สำคัญค่อนข้างมากนะคะ เพราะไพร่าร่วมงานมาก็หลายคน แต่ไม่ค่อยมีใครกล้าพูดกล้าแสดงออกเท่าเขา เขายึดมั่นในสิ่งที่เขาทำ แม้จะโดนวิจารณ์ต่างๆ แต่งานของเขาก็ส่งเสียงได้ดังมาก สร้างความเปลี่ยนแปลงได้มาก มีอิมแพ็ค มากๆ ค่ะ ซึ่งสิ่งนี้แหละที่เรามองว่ามันคือ Attitude ของคนที่ไพร่าอยากร่วมงานด้วย มีความชัดเจน มีจุดยืนแน่นอน

พูดถึงคอนเซ็ปต์ “Nation” ที่อยู่บนเสื้อผ้าที่คุณใส่ในวันนี้หน่อยว่าคิดอย่างไรกับมันบ้าง
รู้สึกเป็นเกียรตินะคะ แล้วก็รู้สึกว่า โอ้โห น่ากลัวเหมือนกันนะเนี่ย (หัวเราะ) คอนเทนต์มันก็แรงอยู่นะ คนใส่นี่ต้องใจถึง (หัวเราะ)
ได้บอกอะไรกับเขาไหม
ไม่เลยค่ะ เราปล่อยให้เขาพ่นไปเลย ทำงานได้เต็มที่เพราะบอกแล้วว่าเราเชื่อใน Attitude ที่ว่านี้ ส่วนตัวแล้วไพร่า แฮปปี้และยินดีมากนะคะ เพราะคงไม่มีใครที่ทำงานแล้วสร้างอิมแพ็คได้เท่านี้อีกแล้ว อารมณ์เหมือนเล่นกีฬาแล้วของพี่เขาเป็นกีฬา Extreme (หัวเราะ) แล้วเราก็คิดว่ามันต้องคนสื่อสารออกไป เราก็ยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสารครั้งนี้


นี่เป็นการทำงานร่วมกันครั้งที่สองของคุณกับ Headache Stencil ต่อจากเอ็มวีเพลง “Bangkok” ยังจำการร่วมงานครั้งแรกได้ไหม
ตอนแรกเจอกันก็มึนๆ เอ๋อๆ (หัวเราะ) แต่รู้ได้เลยว่าเขามีความเป็นมืออาชีพมาก ซึ่งเราประทับใจในความเป็นมืออาชีพของเขามาก จริงๆ แล้วเอ็มวีเพลง “Bangkok” เป็นวิดีโอตัวโปรดของไพร่าเลยนะคะ มันเหมือนเป็นการบันทึกประวัติศาสตร์เล็กๆ ของเราเองไว้ว่าครั้งหนึ่งเราเคยได้ร่วมงานกับพี่กับเพื่อนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน บันทึกว่าในประเทศเรา ครั้งหนึ่งเรามารวมตัวกันเพื่อส่งเสียงเรียกร้องอะไรบางอย่างในฐานะคนๆ หนึ่ง ในฐานะศิลปินที่พอจะทำอะไรเพื่อสร้างความเคลื่อนไหวได้บ้างไม่มากก็น้อย ไพร่าคิดว่าไม่ว่าจะในฐานะอะไร อยู่ในจุดไหนของสังคม ตอนนี้เรามาถึงจุดที่ต้องส่งเสียงแล้ว อย่าคิดว่าเสียงของคุณไม่สำคัญ อย่าอยู่ไปโดยที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะสุดท้ายถ้าสังคมเราแย่เราก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย


มาทำงานกับ Pyra เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว
ครั้งนี้ครั้งที่สองแล้วครับ ครั้งแรกเป็นเอ็มวี “Bangkok” ของน้องเขา ผมได้ไปพ่นรูปให้อะไรอย่างนี้ แล้วก็ไปแจมในเอ็มวีนิดหน่อยครับซึ่งมันก็มีเรื่องราวที่ Relate กับสิ่งที่ผมทำอยู่แล้ว แล้วก็มาที่งานนี้เลย
เกณฑ์ในการร่วมงานกับใครก็ตาม คุณมีเกณฑ์ในการเลือกรับหรือไม่รับยังไง ดูที่อะไร
ส่วนใหญ่เราก็ไม่ค่อยปฏิเสธนะครับ ถ้าจะปฏิเสธก็น่าจะเป็นจากการที่เราดูแล้วมันงงๆ มันแปลกๆ มันดูไม่ค่อยแน่นอน แต่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยปฏิเสธเท่าไหร่ เพราะว่าทุกครั้งที่เราจะไป Collab กับใคร ผมก็คิดว่ามันคือการเพิ่มมุมมองในการทำงานและเพิ่มโอกาสเรา ถ้าถามว่าเราทำงานศิลปะทางการเมือง เหมือนเราประกาศตัวว่าเราจะทำแค่เรื่องการเมืองหรือเปล่า มันก็ไม่ใช่นะครับ คนเราทำงานศิลปะ มันย่อมถวิลหาความสวยงามอยู่แล้ว แต่ถ้าถามว่า Signature ของเราหรือสิ่งที่คนรู้จักเราคืออะไร ใช่ มันคือศิลปะการเมือง แต่จริงๆ เราคิดว่าเราทำงานศิลปะได้หลายหลากเลย ซึ่งการ Collab กับคนอื่น บางครั้งมันไม่ได้เป็นเรื่องการเมืองอย่างเดียวไง มันก็เพิ่มโอกาสให้เราได้ทำอย่างอื่นบ้าง เพราะว่าถ้าจะให้ผมทำงานการเมืองอย่างเดียวคงประสาทแดกก่อนแน่นอน


ทีนี้การจะทำงานร่วมกับใคร มันควรมีทัศนคติไปในทิศทางเดียวกันไหม สมมติกับ Pyra มันต้องมีการดูก่อนไหมว่าเราไปกันได้ไหม อะไรอย่างนี้
จริงๆ ผมไม่ค่อยเช็คเพราะว่าผมรู้แล้วว่าถ้าเกิดจะชวนกัน Collab ผมว่าภาพของผมมันชัดเจนมาก หรือว่าคาแรคเตอร์ที่ทำอยู่มันเป็นยังไง ก็เลยไม่ต้องไปเช็คหรอก ถ้าเราจะแจ็คพอตไปเจอคนที่ถึงขั้น Attitude ในการทำงานแม่งไม่เหมือนกันเลยก็ปล่อยให้มันเป็นไป ซึ่งเราว่าด้วยอายุของเราแล้ว ด้วยการทำงานที่ผ่านนู่นนี่มาแล้ว เราว่าเราก็น่าจะพอ Adjust หรือปรับสถานการณ์เฉพาะหน้า ซึ่งก็ไม่ถึงกับพังพินาศครับ


เคมีระหว่างคุณกับ Pyra เป็นยังไง ไปกันด้วยดีไหม
ครั้งแรกผมยังไม่ได้คุยกับน้องเขามากนะ เพราะว่าตอนนั้นเราอยู่ในสถานการณ์ที่เรา...เราอยู่กับที่นานไม่ได้ เอาจริงๆ ในวันนั้นเราโดนสั่งห้ามอยู่กับที่เกินหกชั่วโมง วันนั้นก็เลยยังไม่ได้คุยกับน้องมาก แต่ก็ได้เห็น Energy ของน้องเขา หลังจากวันที่เราไปพ่นในเอ็มวี เราได้ Follow งานของน้องเขา ได้เห็นงาน ได้เห็น Energy พอมาคราวนี้ที่มาทำงานให้ โอเค ยังไม่ได้คุยกันเหมือนเดิม (หัวเราะ) แต่ผมว่าต่างคนต่างน่าจะรู้จักกันผ่านงานมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องมานั่งคุยอะไรกันมาก เจอกันคุยกันได้เหมือนรู้จักกันมานาน ทั้งๆ ที่ความจริงเพิ่งเจอครั้งที่สอง ผมว่าอันนี้มันเป็นเรื่องของ มุมมองความคิดของคนที่สื่อสารกันด้วยงาน ผมว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นมากกว่า เพราะต่างคนต่างทำงานศิลปะ
คอนเซ็ปต์ในงานที่คุณทำอยู่บนคอสตูมของ PYRA ครั้งนี้คืออะไร
ชุดนี้มันคือ...สามารถใช้คำว่า “Nation” ได้ คือชุดจ้าวชาติ คือตอนเริ่มต้นที่จะทำก็คุยกับทาง PrachathipaType คือมองว่าชุดๆ นี้ ทุกสิ่งที่เราเอาใส่เข้าไปมันคือชาติ แล้วคราวนี้ชาติมันกำลังถูกกดทับอยู่หรือถูกทำให้มันยุ่งเหยิงโดยอะไรก็ตาม ผมก็พยายามเลือก Symbol เลือกคำ เลือกวิธีการใช้ ซึ่งผมว่าเอาจริงๆ แล้ว แต่ละคนมองไม่เหมือนกัน ถ้าสุดท้ายผมบอกว่ามันคือชาติ แล้วมันคือการเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงของชาติ ชุดนี้ของผมคือการเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงของชาติ ซึ่งปล่อยให้คนดูตีความดีกว่า เพราะถ้าตีความให้ มันจะชี้นำจน... จริงๆ ศิลปะที่ผมทำหลายครั้งผมแอบไปเปิดไว้เยอะมากเลย หลังๆ ก็เกิดปัญหาว่าแบบคนจะต้องบอกให้มาตีความ ต้องอธิบายให้ฟัง ซึ่งเราก็ไม่อธิบาย

ศิลปะมันจำเป็นต้องมีคู่มือในการอธิบายไหม
คือผมว่าคนร้อยคนดูรูปๆ เดียว ตีความไม่เหมือนกัน ประสบการณ์ Mindset ของแต่ละคนไม่เหมือนกันเลย เพราะฉะนั้นจะมาให้นั่งตีความให้ ผมว่ามันไม่... ศิลปะที่จะได้รับมันไม่สมบูรณ์เพราะว่าเราไม่ได้คิด เราได้เสพ แต่เราไม่ได้คิดอะไรเลย เฮ้ย นั่นดอกไม้ เฮ้ย รูปหมู รูปทุเรียน รูปนักฟุตบอล เราเห็นหมด แต่เราไม่ได้คิดอะไรเลย ผมว่าแบบนั้นไม่ใช่ทิศทางที่เหมาะสม
PYRA X HEADACHE STENCIL
PHOTOGRAPHER: TANAPOL KAEWPRING
ARTIST: HEADACHE STENCIL
MODEL: PYRA
COSTUME: SARUNRAT PANCHIRACHAROEN
TYPOGRAPHY: PRACHATHIPATYPE
SPECIAL THANKS: WARNER MUSIC THAILAND.

HEADACHE STENCIL X PYRA : NATION
/
ทันทีที่ Key Visual สถาปนิก’ 68 เผยแพร่ออกมา บทสนทนาปลุกสัญชาตญาณนักสืบในตัวทุกคนพร้อมใจกันทำงานแบบ Autopilot และระหว่างที่ตามหาเฉลยกันจริงจัง ทุกคนเริ่มหันมาตั้งคำถามต่อว่า Art Toys เกี่ยวข้องกับธีมงานอย่างไร รู้ตัวอีกทีวงสนทนาก็กระเพื่อมขยายกว้างขึ้น ส่งสัญญาณชัดว่า Key Visual ปีนี้เปิดฉากมาแบบสนุกเอาเรื่อง โดนเส้นกันสุดๆ
/
วัลลภ รุ่งกำจัด หรือ อุ้ม นักแสดงที่เชื่อมโยงความเป็นมนุษย์กับโลกของภาพยนตร์ ผ่านการสร้างชีวิตให้ตัวละครต่าง ๆ ได้ออกมาโลดแล่นแสดงความรู้สึกทางอารมณ์ให้กับผู้ชม แม้เขาจะไม่ได้เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงในวงกว้างเทียบเท่ากับนักแสดงกระแสหลัก แต่ในเวทีระดับโลก “อุ้ม” ได้พิสูจน์ตัวเองกับการเป็นนักแสดงที่มีความสามารถที่ยอมทุ่มเทหลาย ๆ สิ่ง ให้กับงานศิลปะด้านการแสดงในภาพยนตร์เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้อย่างสุดตัว
/
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้เราได้รู้จักกับเธอคนนี้ในชื่อของ พัด หรือที่ชอบเรียกติดปากกันว่า พัด ZWEED N’ ROLL เจ้าของเสียงทุ้มมีเสน่ห์ นักร้องและนักแต่งเพลงที่ฝากผลงานเพลงเศร้าเอาไว้ในวงการมากมาย อาทิ ช่วงเวลา, Diary, อาจเป็นฉัน และอีกมากมาย ไม่มีอะไรแน่นอนแม้กระทั่งตัวเราเอง ช่วงเวลาจึงได้พัดพาให้เรามาทำความรู้จักกับ “MAMIO” ในฐานะศิลปินใหม่จากค่าย Warner Music Thailand ซึ่งเป็นอีกตัวตนหนึ่งของคุณพัดที่ไม่เคยถูกปลดปล่อยออกมาเลยตลอดชีวิตการทำงานในวงการสิบกว่าปีที่ผ่านมา หรือถ้าจะให้ซื่อสัตย์กับตัวเองจริง ๆ ก็อาจจะเป็นทั้งชีวิตที่เกิดมาเลยเสียด้วยซ้ำ
/
Whispers เป็นหนึ่งในวงดนตรีที่สะท้อนการเติบโตของวงการ Hardcore ในประเทศไทยอย่างแท้จริง ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงกลุ่มเพื่อนที่หลงใหลในดนตรี เพราะนอกจากจะเป็นผู้เล่น พวกเขายังเป็นกำลังสำคัญที่คอยผลักดันซีนฮาร์ดคอร์ในบ้านเรามาโดยตลอด ประสบการณ์ที่สั่งสมทำให้เกิดเป็นสไตล์เฉพาะของ Whispers สร้างความแตกต่างและเป็นเอกลักษณ์ จนทำให้พวกเขาก้าวไปสู่เวทีระดับสากล ถึงแม้พวกเขาจะอยู่ใต้ดินของไทย แต่เสียงคำรามของพวกเขาก็ดังไปไกลถึงทวีปยุโรป มาพบกับเส้นทางดนตรีที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจและการเปลี่ยนแปลง กับวงฮาร์ดคอร์ระดับบท็อปของ Southeast Asia
/
ด้วยลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์และรูปแบบงานสักของเขา ที่เรารู้สึกแปลกประหลาดกว่างานสักอื่น ๆ (แปลกประหลาดในที่นี้คือความหมายในแง่ดีนะ) ก็เลยตัดสินใจส่งข้อความทักไปหา “พี่นัทครับ ผมขอสัมภาษณ์พี่ได้ไหม” “ได้ครับ” สั้น ๆ แต่จบ เรื่องราวทั้งหมดก็เลยเริ่มต้นขึ้นที่ร้าน CAVETOWN.TATTOO แถว ๆ ปิ่นเกล้า ซึ่งพี่นัทเป็นเจ้าของร้านแห่งนี้ บทสนทนาของเราเริ่มกันในช่วงเวลาบ่าย ๆ ของวันพฤหัส พอไปถึงร้านพี่นัทกำลังติดงานสักให้กับลูกค้าอยู่หนึ่งคน พอได้เห็นลายที่เขาสักต้องบอกว่าเท่มาก ๆ มันมีความเป็น Psychedelic บวกกับ Ornamental ผสมผสานกับเทคนิค Dotwork จนกลายเป็นงานศิลปะบนผิวหนังหลังฝ่ามือ เราถึงกับต้องถามคำถามโง่ ๆ กับลูกค้าที่ถูกสักว่า “เจ็บไหม” แน่นอนคำตอบที่ได้คือ “โคตรเจ็บ” เพราะจุดที่สักคือหลังฝ่ามือ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่หลายคนร่ำลือกันว่าโคตรเจ็บ ระหว่างที่รอพี่นัทไปพลาง ๆ น้องแมคช่างภาพที่มีรอยสัก Full Sleeve เต็มแขนขวา ก็เริ่มกดชัตเตอร์กล้องถ่ายรูปเก็บภาพระหว่างที่เขาสักไปด้วย พอสักเสร็จเรียบร้อยก็ปล่อยให้พี่เขาพักผ่อนกินน้ำ ปัสสาวะ (อ่านแยกคำนะอย่าอ่านติดกัน) ก่อนจะพูดคุย แต่เดี๋ยว ! ก่อนจะเริ่มบทสนทนา เราขอเกริ่นให้ฟังซักนิดนึงเกี่ยวกับชายคนนี้ก่อน
/
ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปีวงดนตรีสัญชาติไทยที่ชื่อ KIKI ได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในวงที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากทั้งในประเทศไทย ญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ ฮ่องกง ก็เพราะด้วยเสียงเพลงที่มีความเป็นเอกลักษณ์ และการนำเสนอแนวคิดที่ไม่เหมือนใคร รวมถึงความตั้งใจในการสร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนถึงตัวตนของพวกเขาได้อย่างชัดเจน
We use cookies, localStorage and other technologies (collectively, "cookies") to recognise your browser or device, learn more about your interests, and provide you with essential features and services and for additional purposes. ( see details )