LOOKING ON EVERYTHING ?
EXPLORE ON EVERYTHING

ถ้าอยากจะชมงานศิลปะดี ๆ สักหนึ่งครั้ง ก็ต้องเข้าไปที่แกลเลอรี่หรือพิพิธภัณฑ์เสมอ นั่นจึงทำให้ศิลปะ (ไม่นับรวมงานพุทธศิลป์ที่เราหาชมได้ตามวัด) ดูเป็นสิ่งไกลตัวและหาชมได้ยาก Farmgroup เมื่อสิบปีก่อน จึงอยากล้างภาพจำนี้ออกไป แล้วทำให้ศิลปะเป็นเรื่องง่ายของทุกคน ด้วยการชวนเหล่าอาร์ตเลิฟเวอร์ไปชมงานในสถานที่ที่แตกต่าง เปลี่ยนจากห้องแกลเลอรี่แสนเงียบเหงา มาเป็นการนั่งพูดคุยถึงเรื่องที่เรารักในห้องพักโรงแรมท่ามกลางบรรยากาศแบบเป็นกันเอง
ด้วยการตอบรับจากทั้งคนในประเทศและนอกประเทศ ที่ผิดจากการคาดการณ์ไปมาก ทำให้ Hotel Art Fair ที่เริ่มต้นด้วยแกลเลอรี่แค่ 12 แห่งในปีแรก ได้เติบโตกลายมาเป็น Community ของนักสะสมและผู้ที่สนใจในงานศิลปะ ที่ครอบคลุมกลุ่มคนในหลากหลายวงการ และสำหรับงานในปีที่ 7 Hotel Art Fair ก็กลับมาอีกครั้งกับงานศิลปะจากแกลเลอรี่มากถึง 28 แห่ง พร้อมที่พาทุกคนไปสัมผัสกับมิติที่แตกต่างของคำว่า “NEW” เพื่อโอบรับสิ่งใหม่ของชีวิตในยุคหลังโรคระบาดที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป แต่ก่อนที่ทุกคนจะรีบไปเช็คอิน เปิดห้องนอนคุยบนเตียง แล้วชมงานศิลป์กันแบบชิล ๆ เราขอแวะพาทุกคนมานั่งคุยกับ ตั๊ก - วรินดา เธียรอัจฉริยะ, ต๊อบ - วรารินทร์ สินไชย และ แต๊บ - วรทิตย์ เครือวาณิชกิจ 3 หัวเรือใหญ่แห่ง Farmgroup ถึงโอกาสในการได้กลับมาจัด HAF อีกครั้ง หลังจากห่างหายไปเกือบสามปีเต็ม

ก่อนเข้าเรื่อง HAF เราขอถามก่อนเลยว่าทั้งสามคนมาตกหลุมรักกับสิ่งที่เรียกว่า “ศิลปะ” ได้อย่างไร?
ตั๊ก: น่าจะเป็น HAF ในปีแรก เพราะตั๊กไม่ได้สนใจหรือสะสมศิลปะมาก่อนเลย เรารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ไกลตัวมาก ๆ แล้วแกลเลอรี่เป็นสถานที่ที่เราทำตัวไม่ถูก แต่พอได้มาทำ HAF ปีแรก แล้วบรรยากาศงานมันสนุกมาก ๆ ตั๊กเลยรู้ว่างานศิลปะมันก็เป็นเรื่องสนุกได้นะ แล้วมุมมองของเราก็เปลี่ยนไปทำให้ตั๊กเริ่มมองเห็นว่าจริง ๆ แล้วศิลปะอยู่ในทุกช่วงชีวิตของเรา
ต๊อบ: ตกหลุมรักไหม ต๊อบคิดว่าตัวเองเริ่มซึมซับมากกว่า แล้วมันก็ทำให้เรามองโลกในมุมใหม่เหมือนกัน เวลาไปเที่ยวต่างประเทศ เมื่อก่อนก็แค่จะเดินช้อปปิงเท่านั้น เดี๋ยวนี้มีการแวะเข้าพิพิธภัณฑ์หรืออาร์ตแกลเลอรี่บ้างแล้วงานของ Farmgroup เอง ก็เป็นงานเชิงดีไซน์ เราเลยรู้สึกว่าสองสิ่งมันมีความทับซ้อนใกล้เคียงกัน แต่เราก็ยังไม่ถึงขั้นที่ดูศิลปะแล้วแตกฉานเหมือนคนที่เขาเข้าใจจริง ๆ หรอกนะคะ
แต๊บ: สำหรับผม อาจจะเพราะเรียนด้านดีไซน์ ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ศิลปะบ้างเลยอาจจะใกล้ชิดกับศิลปะมากกว่าพี่ทั้งสองคน แต่ดีไซน์กับศิลปะในตอนนั้นก็ยังดูเป็นศาสตร์คนละแขนงกัน พอมาถึงยุคนี้เราเห็นดีไซเนอร์หรือนักวาดภาพประกอบ เริ่มหันมาทำงานศิลปะของตัวเอง มันทำให้เราเห็นความเป็นไปได้ และทำให้ผมคิดว่าศิลปะเองก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผมมาโดยตลอดเหมือนกัน
ฟังดูแล้ว HAF ครั้งที่ 1 ส่งผลบางอย่างต่อทั้งสามคนมาก ๆ แล้วภาพรวมของงานในปีนั้นหละ ออกมาประสบความสำเร็จหรือได้รับการตอบรับที่ดีไหม?
เกินคาดและมันทำให้พวกเราเริ่มมองเห็นความเป็นไปได้นะ เพราะมีชาวต่างประเทศบินมาดูเยอะมาก เขาดีใจกันมากที่ในที่สุดเมืองไทยก็มีงานแบบนี้ แล้วในช่วงปี 2012 มันยังไม่มีงานในรูปแบบนี้ ยังไม่มีการคอลแลปของแบรนด์และศิลปิน สตรีทอาร์ตยังไม่บูม ในตอนนั้นชาวต่างชาติเลยสนใจเป็นพิเศษมากกว่าคนไทย แต่พอมองย้อนกลับไปปีแรกจนถึงปัจจุบันแล้วเราก็เดินทางมาไกลมาก งานในปัจจุบันก็ประสบความสำเร็จ ได้รับการตอบรับจากคนไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกันนะ เพราะมุมมองของคนไทยต่อศิลปะมันเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก ๆ

เดินทางมาสู่งานครั้งที่ 7 แล้ว กับธีมที่ว่า “New” ทำไมการกลับมาของ HAF จึงต้องมาพร้อมกับคำ ๆ นี้?
ชีวิตหลังช่วงโควิดสองสามปีที่ผ่านมา ทุกอย่างในชีวิตของพวกเรามันเปลี่ยนไปหมดเลย มันเหมือนเป็นโลกใหม่จริง ๆ มีวิถีชีวิตใหม่ มีการเกิดขึ้นของศิลปินหน้าใหม่ รวมถึงงานศิลปะ NFT ทุกสิ่งมันเกิดอะไรใหม่ ๆ เยอะแยะไปหมด พวกเราเลยรู้สึกว่าคำนี้แหละใช่ มันอาจจะฟัง Cliché แต่ถ้าเราลองคิดดูดี ๆ แล้วความหมายของ New ในชีวิตของแต่ละคนมันไม่ซ้ำกันเลยนะ สำหรับบางคนมันเหมือนหยุดอยู่กับที่ แต่บางคนอาจกำลังกระโดดไปไกล ดังนั้นทุกคนจึงมีไอเดียคำว่า New เป็นของตัวเอง แต่ในความต่างนั้นมันก็มีอะไรบางอย่างที่สามารถ Connect ทุกคนเข้าหากันได้ด้วย ซึ่งมิติของคำว่า New ของศิลปินแต่ละท่านจะเป็นอย่างไรก็ต้องเข้าไปชมด้วยตัวเองนะ
งั้น “New” ของพวกคุณหละ มีความหมายว่าอย่างไรบ้าง?
ตั๊ก: ของตั๊กคือวิถีชีวิตใหม่ เราออกมาเจอโลกใบใหม่ วิธีการมองโลกแบบใหม่ และเราเองก็ Appreciate คุณค่าของเวลาทุกวินาทีมากขึ้น เพราะในช่วงปีที่ผ่านมาเราก็มีญาติและคนรู้จักที่ไม่อยู่แล้วเพราะโรคนี้ ความหมายของเราเลยเป็น New is Now เพราะมันทำให้เราใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น
ต๊อบ: อย่างที่พี่ตั๊กบอกเลย ชีวิตเราเปลี่ยนไปมาก แล้วปัจจุบันเราก็แทบวางแผนล่วงหน้าไม่ได้เลย เพราะมันอาจเกิดอะไรขึ้นได้เสมอ เช่น นั่งทำงานแล้วจู่ ๆ โรคมันกลับมาเราก็ต้องรีบขนของกลับบ้าน ทุกวินาทีเราต้องเตรียมตัวพร้อมรับทุกอย่างอยู่เสมอ New ของต๊อบเลยน่าจะเป็น Challenge ค่ะ
แต๊บ: มันเหมือนเป็น Life Event หนึ่งนะ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วที่พาไปเจอทางเลี้ยวของชีวิต มีข้อแม้ใหม่เข้ามาทำให้ผมต้องกลับมาจัดความคิดและลำดับความสำคัญใหม่หมด รวมถึงช่วงที่หมดการแพร่ระบาดก็นับเป็น Life Event เช่นกัน ที่ต้องคิดว่าชีวิตในรูปแบบเดิมของเราจะกลับมาไหม แล้วเราจะใช้ชีวิตกับมันยังไงดี

งานปีนี้มีแกลเลอรี่มากถึง 28 แห่งจากทั้งไทยและต่างประเทศ พวกคุณมองหาและคัดเลือกลิสต์เหล่านี้อย่างไร?
ตั๊ก: ด้วยความที่งานของเราเป็นงานที่สร้างคอลเลคเตอร์หน้าใหม่เยอะมาก และงานในปีที่ผ่าน ๆ มามีการซื้อขายงานได้ปริมาณที่เยอะ นี่น่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ ทันทีที่เราบอกทุกคนว่า HAF กำลังจะกลับมาอีกครั้ง แกลเลอรี่หลายแห่งก็ติดต่อเข้ามาเองเลย บางแห่งเป็นแกลเลอรี่ต่างประเทศด้วย เพราะตลาดศิลปะบ้านเราถือเป็นตลาดที่คนอยากจะเข้ามามาก ๆ พอรวมกับแกลเลอรี่และศิลปินไทยที่เราเลือกกันมาแล้ว ลิสต์ของแกลเลอรี่ที่เข้ามาร่วมงานปีนี้เลยเต็มค่อนข้างเร็วมากค่ะ
ต๊อบ: เราทำงานร่วมกับทีมที่ปรึกษาตลอด เพื่อให้ได้ลิสต์ที่ตรงภาพที่คิดว่าให้ได้มากที่สุดค่ะ เราตั้งใจเลือกให้ผลงานศิลปะในงานมันมีความหลากหลาย ไม่ใช่เป็นแค่งานจิตรกรรมอย่างเดียวเท่านั้น มีการแทรกงานศิลปะในเชิง Furniture หรือ Wearable Art ที่สามารถสวมใส่ได้ เพื่อให้ HAF กลายเป็นงานอาร์ตแฟร์ที่ตอบสนองโจทย์ความสนใจของคนที่จะเข้ามาชมได้หลายรูปแบบ ครอบคลุมทุกกลุ่มคน
แต๊บ: ผมว่าสิ่งที่ยากคือศิลปินหรือแกลเลอรี่ดี ๆ ที่เพิ่งเกิดมาใหม่แล้วเราไม่เคยรู้จักมาก่อน บางทีเราก็ต้องแอบไปเช็คผ่านคนรู้จักก่อนเพื่อแน่ใจว่าคนที่เราอยากจะเลือกเขาตรงกับภาพของ HAF ที่เราวางไว้หรือเปล่า ซึ่งปีนี้ก็มีแกลเลอรี่หน้าใหม่ติดเข้ามาในลิสต์ด้วยเหมือนกัน ต้องรอดูครับ

แอบสปอยให้ฟังหน่อย มีห้องไหนน่าสนใจบ้าง?
ตั๊ก - พูดยากนะ เพราะดีทุกห้องจริง ๆ เราไม่ห่วงเรื่องคุณภาพของงานที่พวกเขาจะเอามาจัดแสดงเลย เรามั่นใจมาก บางคนก็เป็นคนเก่าที่เรารู้จักแต่กลับมาพร้อมแนวการทำงานใหม่ ๆ เช่น โน้ต – กฤษดา ภควัตสุนทร ที่ครั้งนี้ไม่ได้เป็นงานวาดแล้ว แต่เป็นงาน Functional Art ในห้องที่ชื่อว่า Bearwolf ที่โน๊ตทำร่วมกับศิลปินที่สนิทอีกคนหนึ่ง

แต๊บ - ผมอยากจะใช้คำว่ารู้สึกตื้นเต้นมากกว่า ตื่นเต้นว่าแกลเลอรี่จะเอางานแบบไหนมาแสดง อย่าง Bangkok Citycity Gallery เพราะเป็นแกลเลอรี่ที่มีความสนใจใกล้เคียงกัน หรือ VS Gallery เองก็ได้ยินว่ากลับมาพร้อมคอนเซ็ปต์เดิม ที่เอางานศิลปะมาทำเป็นกีต้าร์ คราวนี้ได้ยินมาว่ามีงาน P7 และงานของ ยุรี เกนสาคู


ต๊อบ - VER Gallery เองก็น่าสนใจน่ะ เพราะเขาไม่ได้มาร่วมงานกับเรานานแล้ว มีปีนึงที่เขามาร่วมงานกับเราแล้วเขาโชว์ Performance Art ที่ค่อนข้างเจ๋งมาก ๆ พอได้กลับมาทำงานร่วมกันแล้วเขาคงจะต้องกลับมาพร้อมอะไรใหม่ ๆ แน่นอนค่ะ

เจ้าของ Celebrity Guest Room ปีนี้เองก็น่าสนใจแพ้กัน เราจะได้เห็นแง่มุมทางศิลปะของพวกเขาทั้งสามคนในรูปแบบไหน?
ตั๊ก: อย่างคุณริก้า ดีล่า ตั๊กเห็นบทสัมภาษณ์ใน Hello Magazine ที่เขาพาเดินชมบ้านใหม่ที่ตกแต่งด้วยงานศิลปะที่สะสมตั้งแต่ยังสาว ๆ แล้วสวยมาก พวกเราเลยรีบทาบทามเขาเลยว่าช่วยยกบ้านมาไว้ในงานเราหน่อยได้ไหม ซึ่งวิธีการสะสมงานของคุณริก้าน่าสนใจตรงที่เราจะได้เห็นชีวิต อารมณ์ และมุมมองของเขาตลอดทุกช่วงชีวิต ที่มันสะท้อนผ่านคอลเลคชั่นผลงานศิลปะที่เขาเลือกสะสม
ต๊อบ: ส่วนคุณแนท - วสุ วิรัชศิลป์ และโบว์ - จุฑาธรรม จิราธิวัฒน์ ทั้งสองเป็นสถาปนิกที่มางานของพวกเราอยู่แล้วทุกปี บางส่วนก็จะมีงานหาชมยากที่ซื้อมาจาก HAF บางส่วนก็จะเป็นงานที่สะท้อนตัวตนของพวกเขาด้วย ทั้งเรื่องศิลปะและเรื่องการออกแบบสถาปัตยกรรม ซึ่งมีความน่าสนใจมันอยู่ตรงที่ของสะสมเหล่านั้นมันจะผสมผสานกันแล้วสามารถบ่งบอกตัวตนของเจ้าของออกมาอย่างชัดเจนในรูปแบบไหนบ้าง
แต๊บ: ผมได้ยินว่าคุณแนทจะเอาคอลเลคชั่นแผ่นเสียงที่เขาสะสมไว้มาเปิดในงานด้วยนะครับ ซึ่งบางคนก็ไม่เคยรู้เลยว่าคุณแนทเขาสะสมแผ่นเสียงด้วยเหมือนกัน

แอบได้ยินมาว่าการได้ทำงานร่วมกับ The Standard Bangkok Mahanakhon เป็นเหมือนการจับคู่แต่งงานที่เพอร์เฟ็คสุด ๆ เพราะอะไรที่ทำให้พวกคุณเปรียบเทียบแบบนี้?
การค้นหาโรงแรมที่จะจัดงานมันเป็นเรื่องที่ยากมากเลยนะ เพราะต้องหาโรงแรมที่ตรงกับ Check List ส่วนตัวของพวกเรา และทางเจ้าของเองก็ต้องมีความสนใจเรื่องศิลปะ ไม่ได้คิดถึงแค่เรื่องผลตอบแทนอย่างเดียว พอได้มาจากกับ The Standard Bangkok Mahanakhon ที่พวกเขาให้ความสำคัญและ Appreciate เรื่องศิลปะ ดนตรี และงานดีไซน์มาก ๆ พวกเราก็เลยสนใจเข้าไปคุยด้วย ในตอนนั้นสาขาที่กรุงเทพยังสร้างไม่เสร็จเลยด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าสถานที่จะออกมาในรูปแบบไหน แต่เขาก็ให้ความสนใจ สนับสนุนความคิดของเราอย่างเต็มที่ สุดท้ายก็ตกลงจับมือร่วมงานกันอย่างไม่มีลังเล เหมือนตกลงเรื่องหมั้นแล้วไปแต่งงานกันอย่างรวดเร็ว HAF ปีนี้ก็เลยน่าจะเป็นปีที่ได้โลเคชั่นจัดงานเร็วที่สุดแล้ว
การได้กลับมาจัดอีกครั้งหลังจากห่างหายไปเกือบสามปี แสดงว่า HAF ต้องมีความสำคัญกับพวกคุณมาก ๆ เลยใช่ไหม?
HAF เป็นงานที่ทีม Farmgroup ลงมือลงแรงกันทุกคน พวกเรารอคอยทุกปี แม้ปากจะบ่นเหนื่อย ไม่เอาไม่ไหวแล้ว แต่สุดท้ายพองานจบแล้วเราได้ความสุขมาก ๆ ถ้าเปรียบก็คงเป็นเหมือนพระอาทิตย์ อยู่ไกลไปก็หนาว อยู่ใกล้ไปก็ร้อน พวกเราสนุกที่จะได้จัดมันอีกทุกปี และ HAF เป็นสิ่งที่พวกเราร่วมกันสร้างมันมาตั้งแต่ต้น มันเลยเป็นสิ่งที่พวกเราภาคภูมิใจมาก ๆ โดยเฉพาะกับบริษัทด้านออกแบบหรือดีไซน์โดยเฉพาะอย่าง Farmgroup ที่ไม่ได้มีผลิตภัณฑ์หรือสิ่งที่เป็นตัวแทนของบริษัท HAF มันเลยเป็นเหมือนสิ่ง ๆ นั้นที่อยู่ในรูปแบบของงานอาร์ตแฟร์ ค่อนข้าง Closer to the heart

พอได้มามองเห็นศิลปะในมุมมองของผู้จัดงานตลอดระยะเวลา 10 ปี คิดว่ามันยังขาดอะไรอยู่อีกไหม
ตั๊ก: มันขาดการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากภาครัฐนะคะ เพราะเขาพูดตลอดว่าอยากผลักดัน Soft Power แต่เขาให้ความสนใจอยู่แค่กับศิลปิน แต่ไม่ได้มองเห็นเรื่องของศิลปะเลย เราเชื่อว่าถ้าเราจัดงาน Music Festival ก็คงจะได้รับการสนับสนุนมากกว่า Art Fair แน่นอน แม้ว่าในปีนี้ HAF จะได้รับการสนับสนุนจาก สปปน. และ ททท. แต่ตั๊กคิดว่ามันยังไม่พอ ไม่ใช่แค่งานของ Farmgroup แต่ยังรวมไปถึงงานของกลุ่มอื่น ๆ ด้วยเหมือนกันค่ะ อีกเรื่องคือความเข้าใจที่มีต่องานศิลปะ อย่างในตอนที่พวกเราไปคุยเรื่องภาษี บางประเทศส่งออกและนำเข้างานศิลปะโดยไม่เสียภาษีเลยด้วยซ้ำ รายได้ที่ศิลปินได้รับมันจึงไม่ถูกหัก หรือผู้ซื้อก็ไม่ต้องรับภาระเพิ่ม แต่ในขณะที่บ้านเรายังไม่ค่อยความเข้าใจเรื่องพวกนี้เลย มีครั้งหนึ่งที่พวกเราเคยนำเข้าเครื่องเซรามิก Porcelain เขายังตีภาษีเท่ากับจานชาม ที่ต้องเสียถึง 40% อยู่เลยค่ะ ทั้งที่มันเป็นงานศิลปะ

สุดท้าย สมมติว่าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเงื่อนไขหรือข้อจำกัดที่มีผลต่อการจัดงานอะไรทั้งนั้น ทั้งสามคนอยากลองไปจัดงาน Art Fair ที่ไหนดูบ้างไหม?
ต๊อบ: ถ้าไม่ต้องกังวลเรื่องงบประมาณ ต๊อบว่าเราคงอยากลองจัดงานในสเกลที่ใหญ่ขึ้นกว่านี้ดูนะคะ
ตั๊ก: เปลี่ยนเมืองให้เป็น Destination ค่ะ แล้วพา Local Artist ที่เก่ง ๆ ของแต่ละย่านมาโชว์ ให้เขาได้มีโอกาส มีเวทีแสดงฝีมือ แต่ละจังหวัดเขาก็มีศิลปินดี ๆ ของตัวเอง แต่ก็ต้องบินขึ้นมาแสดงงานที่กรุงเทพอย่างเดียว ตั๊กคิดว่าถ้าเรามีโอกาสได้ไปจัดที่จังหวัดอื่นบ้าง การท่องเที่ยวก็จะไหลไปอยู่ที่จังหวัดนั้นมากขึ้น
แต๊บ: ผมอยากลองวางโครงสร้างเลย ไม่อยากจัดงานแค่ช่วงเดียวแล้วครับ อยากสร้างพื้นที่ให้ศิลปินสามารถแวะเวียนกันมาโชว์ได้ตลอดทั้งปี คล้ายกับ Road Show คอนเสิร์ตของนักร้องศิลปิน สร้างความ Sustainable ไม่ใช่ว่าบุกป่าฝ่าดงเข้าไปทำลายป่าสร้างผลงานสวย ๆ ถ่ายรูป จบ แล้วสร้างขยะให้ชุมชน แบบนี้มันไม่ใช่
“อยากชวนให้ทุกคนมาที่งานนะ เพราะพวกเราอยากสนับสนุนให้คนที่เป็นศิลปิน สามารถทำงานอาชีพนี้แล้วสามารถอยู่ได้ เพราะมีหลายคนที่ไม่ได้ทำอาชีพศิลปินเป็นอาชีพหลัก เขาทำอาชีพเดียวแล้วอยู่ไม่ได้ พวกเราอยากทำให้เขาสามารถเขียนบอกในใบประวัติได้อย่างภาคภูมิใจว่าเขาทำงานเป็นศิลปิน”
เข้าไปติดตามข่าวสารของ Hotel Art Fair ได้ทาง https://web.facebook.com/HotelArtFair
รวมถึงสามารถเข้าไปลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมงาน Hotel Art Fair ครั้งที่ 7 รอบ Public Days ในช่วงวันที่ 4 - 6 พฤศจิกายน ได้ผ่านทาง https://bit.ly/3zg9azV
Writer: Sittichai Srimuang
Photographer: Mc Suppha-riksh Phattrasitthichoke
นั่งคุยกับ 3 หัวเรือใหญ่แห่ง Farmgroup ในวันที่ Hotel Art Fair ได้กลับมาเปิดห้องพัก ให้ทุกคนได้ชมงานศิลปะอีกครั้งเป็นปีที่ 7
/
โลกของเทคโนโลยีคือวิถีชีวิตในปัจจุบัน ไม่ว่าจะดำเนินชีวิตในรูปแบบใดก็ล้วนแล้วแต่มีเทคโนโลยีผนวกรวมเข้าไปในทุกช่วงเวลาอยู่เสมอ จนได้สร้างการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบต่อทุกอุตสาหกรรม รวมไปถึงแวดวงของนักสร้างสรรค์และออกแบบด้วยเช่นกัน ที่ในทุกกระบวนการตั้งแต่การตั้งต้นแนวคิด การสร้างสรรค์ ไปจนถึงการเผยแพร่ผลงานไปสู่สายตาของคนหมู่มาก ต่างก็มีเทคโนโลยีอันทันสมัยเข้ามาเป็นส่วนเติมเต็มให้การทำงานสร้างสรรค์เกิดความแปลกใหม่และน่าสนใจมากยิ่งขึ้น และเพราะเหตุผลนี้เอง Cloud 11 จึงอยากเชิญชวนเหล่าครีเอเตอร์ทุกคนไปสัมผัสประสบการณ์สุดสร้างสรรค์ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย ใน “Collective by Cloud 11” ครีเอเตอร์เฟสติวัล ครั้งแรกของไทย!
/
“ศิลปะ” นอกจากจะเป็นเครื่องมือสื่อสารถึงความรู้สึกนึกคิดภายในของผู้สร้าง ส่งผ่านให้ผู้คนได้ รับรู้แล้ว ในอีกแง่หนึ่ง ศิลปะยังสามารถเป็นเครื่องมือในการสํารวจตรวจสอบ ศึกษาค้นคว้าตนเอง และผู้คนในสังคมรอบข้าง หรือแม้แต่สํารวจโลกที่เราอาศัยอยู่ได้เช่นเดียวกัน ดังเช่นผลงานในนิทรรศการ How Many Worlds Are We? ที่สํารวจตรวจค้น และนําพาตัวเองออก จากแนวคิดดั้งเดิมของการแบ่งโลกออกเป็นสองฝั่ง ระหว่างฟากฝั่งตะวันออกและตะวันตก ในอดีต ปัจจัยทางด้านภูมิศาสตร์ทําให้ภูมิภาคทั้งสองฟากฝั่งโลกถูกมองว่าอยู่ห่างไกลกัน แต่การ เปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ของแรงขับเคลื่อนทางวัฒนธรรมและความสัมพันธ์ระหว่างภูมิภาคที่เกิด ขึ้นในปัจจุบัน กลายเป็นปัจจัยสําคัญที่ช่วยทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างสังคมของโลก ที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้
/
ในพิพิธภัณฑ์ชั้นนําระดับโลกอย่างพิพิธภัณฑ์แวน โก๊ะห์ (Van Gogh Museum) ในกรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ นอกจากจะมีผลงานชิ้นเยี่ยมของ วินเซนต์ แวน โกะห์ (Vincent van Gogh) จิตรกรชาวดัตช์แห่งยุคโพสต์-อิมเพรสชั่นนิสม์ ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งของวงการศิลปะสมัยใหม่ใน โลกตะวันตก ในช่วงนี้ทางพิพิธภัณฑ์ยังมีนิทรรศการพิเศษ Van Gogh in Auvers. His Final Months ที่ จัดแสดงผลงานในช่วงที่ แวน โก๊ะห์ ทําขึ้นในช่วงสุดท้ายของชีวิตในเมืองโอแวร์ซูว์รวซ (Auvers-sur- Oise) ซึ่งทางพิพิธภัณฑ์แวน โก๊ะห์ จัดขึ้นร่วมกับ พิพิธภัณฑ์ออร์แซ (Musée d’Orsay) ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เราจึงมีโอกาสได้เห็นผลงานหลายชิ้นของ แวน โก๊ะห์ ที่หยิบยืมมาจัดแสดงจากพิพิธ ภัณฑ์ออร์แซ และพิพิธภัณฑ์อีกหลายแห่งทั่วยุโรป
/
โดยทั่วไป คนมักจะคิดว่าศิลปะเป็นอะไรที่อยู่ขั้วตรงกันข้ามกับธุรกิจการค้าพาณิชย์ แต่ใน ความเป็นจริง ศิลปะนั้นย่อมเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้อย่างแยกไม่ออก เพราะอย่างน้อยที่สุด ศิลปะเองก็ ต้องขายผลงานเพื่อหาเลี้ยงชีพ ไม่งั้นจะเอาเงินที่ไหนมาซื้ออุปกรณ์สร้างสรรค์ผลงาน หรือแม้แต่ ซื้อปัจจัยสี่มาดํารงชีพ แถมนักธุรกิจหลายคน หรือองค์กรพาณิชย์หลายแห่งก็สนับสนุนอุ้มชูศิลปิน ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ในบ้านเราเองก็เช่นกัน งานประกวดศิลปะสําคัญๆ ต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่จัด ขึ้นโดยองค์กรเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารต่างๆ หนึ่งในจํานวนนั้นคือธนาคารยูโอบี จํากัด (มหาชน) ที่จัดงานประกวดศิลปะในบ้านเรามาอย่างยาวนานกว่าสิบปี และยังสนับสนุนวงการ ศิลปะมาอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
/
“All is pretty” (ความงามมีอยู่ในทุกสิ่ง) เป็นคํากล่าวของศิลปินป๊อปอาร์ตผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคหลังศตวรรษที่ 20 อย่างแอนดี้ วอร์ฮอล (Andy Warhol) ผู้หยิบเอาเรื่องราวใกล้ๆ ตัว หรือผลิตภัณฑ์สินค้าต่างๆ ที่คนคุ้นตาและ พบเห็นได้รอบตัวทั่วไปในชีวิตประจําวันมาทํางานศิลปะ เพื่อสะท้อนให้เห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างรอบ ตัวนั้นมีความงาม และสามารถเป็นศิลปะได้เช่นเดียวกับ อุดมศักดิ์กฤษณมิษ ศิลปินชาวไทยผู้ มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในระดับสากล ผู้หยิบเอาวัสดุเก็บตกเหลือใช้ที่พบเจอในชีวิตประจําวันมาทํา เป็นงานศิลปะของเขาได้อย่างแปลกตา น่าสนใจ
/
ใครที่กำลังมองหาไอเดียใหม่ ๆ ในการออกแบบสถาปัตยกรรม หรือกำลังมองหานิทรรศการที่จะไปเดินชมในช่วงวันหยุด เราก็ขอแนะนำนิทรรศการสถาปัตยกรรม “Infinity Ground – Thailand and Taiwan Contemporary Architecture Exhibition” ที่จัดโดยสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย ผ่านการสนับสนุนของกระทรวงวัฒนธรรม สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ร่วมกับ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, คณะสถาปัตยกรรม ศิลปะและการออกแบบ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง, คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่เปิดให้เข้าชมแล้วที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC)
We use cookies, localStorage and other technologies (collectively, "cookies") to recognise your browser or device, learn more about your interests, and provide you with essential features and services and for additional purposes. ( see details )