LOOKING ON EVERYTHING ?
EXPLORE ON EVERYTHING

Kader Attia กับศิลปะแห่งการเยียวยาซ่อมแซมที่ทิ้งร่องรอยบาดแผลแห่งการมีชีวิต ในนิทรรศการ Urgency of Existence
เรื่อง ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์
หากเราเปรียบสงคราม และอาชญากรรมที่กระทำต่อมนุษย์ อย่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การสังหารหมู่ และการล่าอาณานิคม เป็นเหมือนการสร้างบาดแผลและความแตกร้าวต่อมวลมนุษยชาติ ศิลปะก็เป็นหนทางหนึ่งในการเยียวยาซ่อมแซมบาดแผลและความแตกร้าวเหล่านั้น แต่การเยียวยาซ่อมแซมก็ไม่จำเป็นต้องลบเลือนบาดแผลและความแตกร้าวให้สูญหายไปเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น หากแต่การเหลือร่องรอยแผลเป็นและรอยแตกร้าวที่ถูกประสาน ก็เป็นเสมือนเครื่องรำลึกย้ำเตือนว่า สิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว และไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นอีกซ้ำเป็นครั้งที่สอง เช่นเดียวกับสิ่งที่ปรากฏในนิทรรศการ “Urgency of Existence” นิทรรศการแสดงเดี่ยวครั้งแรกในเอเชียของ คาแดร์ อัทเทีย (Kader Attia) ศิลปินชาวฝรั่งเศส - แอลจีเรีย ผู้มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เขาเป็นหัวหอกในการทำงานศิลปะผ่านสื่ออันแตกต่างหลากหลาย ที่นำเสนอแนวคิดหลังอาณานิคม และการปลดแอกอาณานิคม จากมุมมองของตัวเขาเอง ที่มีประสบการณ์ทางตรงและทางอ้อมของผู้ที่เคยถูกกดขี่และถูกกระทำจากลัทธิล่าอาณานิคมในศตวรรษที่ผ่านมา
นิทรรศการนี้ของอัทเทีย มุ่งเจาะลึกแนวคิดเกี่ยวกับการเยียวยาซ่อมแซม เพื่อสำรวจความเร่งด่วนในการปลดแอกความเป็นอาณานิคมในทั่วทุกมุมโลก และกระตุ้นให้เห็นถึงข้อจำกัดของเวลา และการทำความเข้าใจความซับซ้อนของยุคสมัยแห่งความไม่แน่นอนในปัจจุบัน ผ่านผลงานศิลปะหลากสื่อหลายแขนง ทั้งงานศิลปะจัดวางที่เปิดโอกาสให้ผู้ชมมีประสบการณ์ร่วม งานประติมากรรม และงานจิตรกรรมสื่อผสม ไปจนถึงภาพยนตร์สารคดี
“ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ผมทำงานเกี่ยวกับเรื่องของการเยียวยาซ่อมแซม และผมพบว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่จะเข้าใจการซ่อมแซม คือการเข้าใจว่าต้องมีบาดแผลและการบาดเจ็บอยู่ที่ไหนสักแห่ง คุณไม่สามารถซ่อมแซมโดยไม่คิดคำนึงถึงบาดแผลได้ เหมือนการเยียวยาและซ่อมแซมวัตถุที่แตกหักเสียหาย ร่างกายที่บาดเจ็บ หรือจิตใจที่บอบช้ำ แม้สิ่งเหล่านั้นจะผ่านกระบวนการซ่อมแซมแล้ว แต่ก็ยังคงมีร่องรอยของบาดแผลหรือรอยแตกร้าวหลงเหลืออยู่ตรงไหนสักแห่ง”
“ดังนั้น ชื่อของนิทรรศการที่ว่า “Urgency of Existence” นั้นหมายถึงการที่เราแสดงให้เห็นว่าเรามีบาดแผลหรือรอยแตกร้าว และเราไม่ควรซ่อนบาดแผลหรือรอยแตกร้าวเหล่านั้น เรามักมองว่าทุกอย่างมีทางทางแก้ไข และมีวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด เราสามารถซ่อมแซมทุกอย่างได้ แต่ในความเป็นจริง เราไม่มีวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด ในแนวคิดของการเยียวยาของผม ผมคิดคำนึงถึงทั้งกายภาพของบาดแผลทางทั้งทางอุดมคติและทางการเมือง ผมคิดว่าวิธีการเยียวยาซ่อมแซมบาดแผลและการแตกหักที่ดีที่สุดคือการแสดงให้เห็นบาดแผลหรือรอยแตกร้าวเหล่านั้น”

“เช่นเดียวกับบาดแผลจากการล่าอาณานิคม ซึ่งเป็นอาชญากรรมที่กระทำต่อมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การล่าอาณานิคมสมัยใหม่ ที่เป็นผลพวงของความเป็นยุคสมัยใหม่ (Modernity) หรืออะไรที่เรียกขานว่า ความก้าวหน้า ที่เป็นข้ออ้างในการแสวงหาความมั่งคั่งโดยผู้ล่าอาณานิคม แต่ก็มีอุปมาหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น บทบาทของฝรั่งเศสและอังกฤษในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถึงแม้ประเทศไทยจะไม่ถูกล่าอาณานิคม แต่ก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการครอบครองดินแดนอื่นๆ ในภูมิภาค เช่นเดียวกับที่พวกเขาทำในทุกหนแห่ง”
“สิ่งที่ผมคิดเกี่ยวกับการล่าอาณานิคม คือเราควรจะแสดงให้เห็นหลักฐานของมัน เพราะในโลกตะวันตกมีเรื่องราวที่กล่าวว่า การล่าอาณานิคมไม่ได้เป็นปัญหาเท่ากับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว, การสังหารหมู่ชนพื้นเมืองอเมริกัน หรือระบบทาส ผมคิดว่าอาชญากรรมที่กระทำต่อมนุษย์นั้นเป็นปัญหา ไม่ใช่แค่เพราะการเหยียดเชื้อชาติเท่านั้น แต่เป็นเพราะความมั่นใจของความเป็นยุคสมัยใหม่ที่มีต่อจารีตประเพณี ต่อสิ่งที่แตกต่างจากความเป็นยุคสมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเป็นยุคสมัยใหม่ที่เป็นผลผลิตของโลกตะวันตก ที่แผ่ขยายไปยังเอเชียโดยจักรวรรดิมหาอำนาจต่างๆ”
“งานของผมคือการอธิบายความแตกร้าวระหว่างช่วงเวลาก่อนยุคสมัยใหม่และยุคสมัยใหม่ ที่ถูกยกระดับโดยการล่าอาณานิคม และแนวคิดเกี่ยวกับสงคราม ซึ่งเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระอันต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด เราจะเข้าใจสภาวะเหล่านี้ได้ ก็ต่อเมื่อเราแสดงให้เห็นบาดแผล เพราะเราต่างล้วนถูกสร้างจากบาดแผลเหล่านี้ เช่นเดียวกับการเยียวยาซ่อมแซม ที่ทำให้เราคิดถึงบาดแผล เพราะในแง่ของปรัชญา หรือแม้แต่ศิลปะ บาดแผลนั้นทำให้เราเป็นมนุษย์ เมื่อเราถือกำเนิด ย่อมต้องมีบาดแผล นั่นคือร่องรอยที่เกิดขึ้นในจิตใจของเรา เวลาที่ผมเดินทางไปยังภาคเหนือของประเทศไทย เวียดนาม และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผมพบว่า ชีวิตและการดำรงอยู่ของบรรพบุรุษนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากในภูมิภาคนี้ เพราะผมเองก็มาจากประเทศแอลจีเรีย เราเชื่อในโลกของสิ่งที่มองไม่เห็น แต่ในฐานะคนที่ยึดหลักเหตุและผล ผมเชื่อว่า รูปร่างของผี นั้นไม่ใช่ภูติผี หากแต่เป็นร่องรอย ผมเชื่ออย่างสุดหัวใจว่าเราต่างถูกสร้างจากร่องรอยเหล่านี้ และผมคิดว่าร่องรอยเหล่านี้คือเหล่าบรรดาบรรพบุรุษของเรา ผมเชื่อในวิญญาณ แต่ผมไม่ได้มองวิญญาณเหล่านี้ในฐานะภูติผี ผมมองว่าพวกเขาเป็นการสั่งสมของร่องรอยที่ทำให้เราเป็นอย่างที่เราเป็นอยู่, ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI (Artificial intelligence) ก็ทำงานในแบบเดียวกัน พวกมันเป็นเครื่องจักรในการเรียนรู้และสั่งสมข้อมูล มนุษย์เองก็สั่งสมข้อมูลจากบรรพบุรุษ เมื่อเราบูชาบรรพบุรุษ ผมคิดว่านั่นคือการแสดงร่องรอยเหล่านี้ให้เห็น ร่องรอยที่ว่านี้ไม่ต่างอะไรกับแผลเป็น ซึ่งเป็นการอ้างอิงถึงความบาดเจ็บเสียหายที่เคยเกิดขึ้น ผมชอบที่จะหลอมรวมแนวคิดเกียวกับผี ร่องรอย และบาดแผล เข้าไว้ด้วยกัน เพราะสิ่งที่น่าสนใจที่ผมค้นพบจากการทำงานในอำเภอเชียงแสน ทางภาคเหนือของประเทศไทย คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากหมอผีชาวไทยที่นั่น ก็คือการที่ผีอยู่ในชีวิตประจำวันของคนเป็นเรื่องปรกติธรรมดา เธอบอกว่า แนวคิดของความหวาดกลัวผีนั้นมาจากตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากวงการบันเทิงอย่างหนังฮอลลีวูด ผมเชื่อว่ามีการคิดค้นความเป็นผีที่น่ากลัวชั่วร้ายจากโลกตะวันตก แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่มองไม่เห็นอย่าง ผี หรือ ร่องรอย นั้นไม่ได้เลวร้ายเสมอไป สำหรับผม ศิลปะสร้างความเป็นไปได้ในการเข้าถึงร่องรอยเหล่านี้ เพราะในฐานะศิลปิน คุณกล้าที่จะพิจารณาสิ่งที่คนไม่ใส่ใจ เมื่อเราเป็นศิลปิน เรามักจะสร้างบทสนทนากับสิ่งที่เราไม่รู้จัก และในบางครั้ง ผลงานศิลปะก็ปฏิเสธตัวเองที่จะปรากฏขึ้นมา เช่นเดียวกับการเกิด ที่ย่อมต้องมีบาดแผลและความเจ็บปวด การสร้างงานศิลปะเองก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดเช่นเดียวกัน”

แนวคิดเช่นนี้ของอัทเทีย ถูกถ่ายทอดอย่างทรงพลังผ่านผลงาน Ghost ประติมากรรมที่ทำจากแผ่นอลูมิเนียมฟอยล์ที่แสดงรูปกายของเหล่าบรรดาผู้หญิงจำนวนมากที่สวมชุดคลุมศีรษะ กำลังนั่งคุกเข่าประกอบพิธีกรรมแห่งศรัทธาร่วมกัน หากแต่เมื่อดูให้ดี ภายในของร่างกายเหล่านี้กลับกลวงว่างเปล่า ราวกับเป็นคราบร่างกายของมนุษย์ที่ถูกลอกเปลือกทิ้งเอาไว้ก็ไม่ปาน
“ประติมากรรมเหล่านี้สร้างขึ้นจากการประทับพิมพ์จากตัวมนุษย์จริงๆ จำนวนสิบกว่าคน แต่ละตัวจะมีความแตกต่าง ไม่เหมือนกันเลยสักตัว ประติมากรรมเหล่านี้คือร่องรอยของมนุษย์ และความทรงจำของความว่างเปล่า งานชิ้นนี้ของผมที่ผมเรียกว่า Ghost แต่มันไม่ใช่ผี แต่คือร่องรอย รอยประทับของมนุษย์ และยังเป็นการเติมเต็มพื้นที่ว่างด้วยความว่างเปล่า เมื่อคุณเดินเข้าไปในห้องแสดงงาน คุณจะเห็นด้านหลังของร่างกายเหล่านี้เบียดกันแน่นขนัดข้างใน แต่เมื่อคุณเดินไปข้างหน้า คุณจะเห็นใบหน้าและร่างกายภายในอันกลวงเปล่าของมัน ผมเชื่อในข้อเท็จจริงของการดำรงอยู่ที่ว่า เราดำรงอยู่เพราะความว่างเปล่า เพราะถ้าไม่มีความว่างเปล่า เราก็จะไม่ดำรงอยู่ ผมจึงชอบแนวคิดของการเติมเต็มความว่างเปล่า เพราะเป็นคู่ตรงข้ามกัน เช่นเดียวกับร่างกายของประติมากรรมเหล่านี้ที่ว่างเปล่าภายใน แต่กลับมีร่องรอยของเปลือกร่างกายให้เห็น สิ่งนี้เป็นภาวะการพึ่งพาซึ่งกันและกันของสองสิ่งที่ตรงข้ามกัน หากขาดซึ่งกันและกันไม่ได้ เช่นเดียวกับอุปมาของการดำรงอยู่ที่เชื่อมโยงกับภาวะคู่ตรงข้ามอย่าง บาดแผลกับการเกิด, ความว่างเปล่ากับความเติมเต็ม, แสงกับเงา, ร่องรอยกับล่องหน เหมือนในปรัชญาของเล่าจื้อที่ว่า “มนุษย์สร้างสิ่งต่างๆ ขึ้น แต่ความว่างเปล่ามอบความหมายให้แก่มัน” เหมืิอนงาน Ghost ชิ้นนี้ ที่ผมทำมาเป็นเวลายาวนานหลายปี ทุกวันนี้เราอยู่ในสังคมของการเก็บสะสมข้อมูล ซึ่งอันที่จริงผมมองว่าเป็นการเก็บสะสมร่องรอยมากกว่า ร่องรอยในการดำรงชีวิตของเราถูกแปลงโดยอัลกอริทึมให้กลายเป็นข้อมูล ร่องรอยเหล่านี้จึงไม่ต่างอะไรกับน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ระบบเศรษฐกิจที่ถูกขับเคลื่อนด้วยข้อมูลนั่นเอง”


ผลงานอีกชุดที่น่าสนใจในนิทรรศการนี้ คือจิตรกรรมสื่อผสมในรูปของกระจกแตกร้าว ที่ถูกซ่อมแซมโดยเหลือร่องรอยไว้อย่างชัดเจน ไม่ต่างอะไรกับกระบวนการซ่อมแบบ คินสึงิ ของญี่ปุ่น หรือฉากการซ่อมชามดินเผาที่ปรากฎในหนัง The Road Home (1999) ซึ่งต่างกับศาสตร์การซ่อมแซมในวัฒนธรรมตะวันตก ที่มักลบเลือนความเสียหายโดยไม่เหลือร่องรอยแตกร้าวเอาไว้ให้เห็น
“สำหรับผม นี่คือสิ่งที่น่าสนใจในการวิพากษ์วิจารณ์ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ทำไมเราจึงต้องซ่อมแซมสิ่งของโดยลบเลือนร่องรอยร้าวแตกเสียหายให้หายไป เพราะในสังคมตะวันตก เราถูกบังคับให้อยู่ในโลกของความหลอกลวง เราไม่ยอมรับในความล้มเหลวของตัวเอง เราไม่ยอมรับเวลา นั้นเป็นเหตุผลที่เราต้องศัลยกรรมลบเลือนริ้วรอยบนใบหน้าเมื่อเราแก่ตัวลง ต่างกับคนในโลกตะวันออก เหตุผลที่พวกเขาเก็บร่องรอย ริ้วรอย หรือแผลเป็นเอาไว้ ก็เพื่อนิยามว่าตัวเราเป็นใคร เช่นเดียวกับการเปิดเผยให้เห็นรอยเย็บปะบนผืนผ้า หรือรอยต่อบนภาชนะและบานกระจก ในวัฒนธรรมตะวันออกก่อนยุคสมัยใหม่ ก็เพื่อบอกว่าเราไม่ควรอับอายกับแผลเป็น หรือความล้มเหลวของเรา เพราะความล้มเหลวและบาดแผล คือสิ่งที่นิยามตัวเราและเส้นทางที่เราเดินทางว่าเราผ่านอุปสรรคมาอย่างยาวนานแค่ไหน”

“สำหรับผม ภาชนะเซรามิคแตกหักเสียหายที่ถูกซ่อมแซมคือรูปแบบของความรัก เพราะเรารักมัน เราจึงซ่อมมัน และมอบชีวิตใหม่ให้แก่วัตถุเหล่านั้น แทนที่จะโยนมันทิ้ง หรือซื้อหาของชิ้นใหม่ที่สมบูรณ์แบบกว่า ผมคิดถึงสิ่งเหล่านี้ เพราะโลกตะวันตกสร้างความคิดเกี่ยวกับความสมบูรณ์แบบ เช่นเดียวกับโลกสมัยใหม่ที่บังคับให้เรายอมรับและควบคุมสังคม เช่นเดียวกับการล่าอาณานิคม สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เวลาที่ผมทำการค้นคว้าเกี่ยวกับการซ่อมแซม คำว่า “Repair” หรือ “Reparare” ในภาษาละตินนั้นแปลว่า “การนำกลับไปสู่สภาวะดั้งเดิม” ดังนั้น แนวคิดของตะวันตกและยุโรปทั้งหมดเองก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้น ผมคิดว่า ปัญหาของความคิดแบบสมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความคิดเกี่ยวกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ คือการมีพลังมากกว่าพระเจ้า แนวคิดของการซ่อมแซมของตะวันตก คือการเสแสร้งที่จะย้อนกลับไปยังช่วงเวลาก่อนที่จะเกิดความแตกหักเสียหาย นั่นหมายความว่าคุณสามารถควบคุมเวลาและประวัติศาสตร์ นั่นเป็นเหตุผลที่สังคมยุโรปและโลกตะวันตกนั้นไม่สามารถยอมรับอาชญากรรมที่เคยกระทำในอดีตได้อย่างง่ายดาย เพราะพวกเขาต้องการควบคุมประวัติศาสตร์และเรื่องเล่าต่างๆ พวกเขาคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลก ดังนั้น สำหรับผม การเปิดเผยให้เห็นบาดแผลเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะเราสามารถแบ่งปันสิ่งนี้ให้กับคนในพื้นที่อื่นๆ ทั่วโลกได้”
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ พื้นเพของ คาแดร์ อัทเทีย ที่เป็นคนเชื้อชาติแอลจีเรียหากมีสัญชาติฝรั่งเศส ทำให้เขามีอัตลักษณ์ของผู้ล่าอาณานิคมและผู้ตกอยู่ใต้อาณานิคมในตัวเอง ไม่ต่างอะไรกับการวิพากษ์วิจารณ์ตัวเองโดยตัวเองยังไงยังงั้น
“ผลงานของผมไม่ใช่การวิพากษ์วิจารณ์ความเป็นชาวยุโรปหรือโลกตะวันตก แต่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์แนวความคิดของพวกเขา เพื่อสะท้อนความเป็นจริงที่เกิดขึ้น และกระตุ้นให้สังคมเดินไปข้างหน้า ถ้างานของผมไม่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ ผมก็คงไม่ทำงานศิลปะ ผมคงคิดว่าตัวเองไร้ประโยชน์ และคงไปเปิดร้านกาแฟแทน น่าจะมีประโยชน์มากกว่า การวิพากษ์วิจารณ์สำหรับผม คือการเริ่มต้นของการดำรงอยู่ นอกจากการวิพากษ์วิจารณ์แล้ว ผมยังลงมือทำบางสิ่งบางอย่างด้วย ผมเปิดพื้นที่ทางความคิด ซึ่งเป็นโรงเรียนความคิดและปรัชญา และการเคลื่อนไหวทางการเมืองในปารีสเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ก่อนที่จะปิดตัวลงเพราะสถานการณ์โควิด-19 แต่ผมหวังว่าจะเปิดขึ้นอีกครั้ง สำหรับผม ผมมักจะวิพากษ์วิจารณ์เพื่อให้เกิดพื้นที่ทางความคิด ที่ทำให้ประชาธิปไตยยังคงเป็นประชาธิปไตยอยู่”
แนวคิดในการวิพากษ์วิจารณ์เช่นนี้นี่เอง ที่ปรากฏอย่างชัดเจนอยู่ในผลงานที่โดดเด่นที่สุดในนิทรรศการครั้งนี้อย่าง On silence ประติมากรรมจัดวางที่ทำจากแขนขาเทียมจำนวนมากแขวนห้อยอยู่กลางอากาศ ราวกับเป็นลูกระเบิดที่ถูกทิ้งลงมาใส่ผู้ชมในห้องแสดงงาน
“แขนขาเทียมปรากฏอยู่ในผลงานของผมมาสองสามครั้งแล้ว แต่ในครั้งนี้ ผลงานถูกแสดงออกมาอย่างทรงพลังและเต็มไปด้วยความสมดุล เพราะขนาดของห้องแสดงงานแห่งนี้เปิดโอกาสให้แสดงงานนี้ได้อย่างงดงามที่สุดเท่าที่เคยทำมา ผลงานชุดนี้มีชื่อว่า On silence (ท่ามกลางความเงียบงัน) สิ่งที่เราเห็นคือกลุ่มก้อนของแขนขาเทียมที่ลอยอยู่กลางอากาศราวกับก้อนเมฆ งานชุดนี้ผมสื่อถึงสถานที่ที่ถูกทิ้งระเบิดและเผชิญกับภัยสงครามทั่วโลก ทั้งยูเครน กาซา ปาเลสไตน์ ชื่อของงานนี้ที่ว่า On silence นั้นหมายถึงความเงียบที่เรามีต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ณ พื้นที่เหล่านั้น ผมถามว่ามีศิลปินกี่คนที่กล้าพูดถึงเหตุการณ์ความรุนแรงและสงครามในโลกกันบ้าง นี่คือปัญหา เพราะประวัติศาสตร์เช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และสำหรับผม ผี หรือร่องรอยของผู้คนที่เคยมีชีวิตเหล่านั้นยังคงดำรงอยู่ตลอดไป”

“ผมเชื่อมั่นศรัทธามาโดยตลอด ว่าศิลปะมีพลังในการดึงดูดผู้คนหลากหลายเข้าไว้ด้วยกัน ด้วยอารมณ์ความรู้สึกและความงามที่ถ่ายทอดออกมา ผมเชื่อว่าผลงานศิลปะจัดวางชิ้นนี้สามารถสร้างความรู้สึกให้ผู้คนมากมายที่จ้องมองด้วยดวงตา สามารถซับซาบความหมายที่อยู่เบื้องหลังแขนขาเทียมเหล่านี้ เพราะแขนขาเทียมแต่ละชิ้น ล้วนแล้วแต่เป็นของใครบางคนมาก่อน พวกมันถูกเก็บมาจากสมาคมผู้ลี้ภัยในเยอรมนีและที่ต่างๆ ทั่วโลก แขนขาเทียมแต่ละอันนั้นใช้ได้เฉพาะคน เมื่อคุณโตขึ้น คุณก็ต้องเปลี่ยนอันใหม่ และเพราะบาดแผลของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน คุณจึงไม่สามารถให้คนอื่นเอาไปใช้ได้”
“เมื่อผมทำโครงการนี้ครั้งแรก มันเชื่อมโยงกับสงครามในซีเรียในปี 2015 มีหลายคนสูญเสียอวัยวะในสงครามนี้ และแขนขาเทียมแต่ละชิ้นในงานชุดนี้เคยถูกใช้งานมาแล้ว ผมรู้สึกถึงร่องรอยชีวิตในแขนขาเทียมเหล่านี้ อย่างที่ผมบอกว่า ผมไม่เชื่อในวิญญาณภูติผี แต่ผมเชื่อในพลังงานในวัตถุ วัสดุอย่างเช่น ไม้ มีพลังงานหรือแรงสั่นสะเทือนอยู่ในนั้น ยกตัวอย่างเช่น ประติมากรรมหรือพระพุทธรูปไม้ ก็มีพลังงานที่ส่งผ่านไปยังผู้ที่จ้องมอง ผลงานชิ้นนี้ถึงแม้จะมีชื่อว่า On Silence แต่มันมีเสียงที่ดังกึกก้องจากแรงสั่นสะเทือนของชีวิตของผู้คนที่ถูกประจุแน่นอยู่ในแขนขาเทียมแต่ละชิ้นเหล่านี้ แขนขาเทียมแต่ละชิ้นยังเป็นของเด็กๆ และผู้หญิงอยู่ด้วย เพราะสงครามไม่เลือกว่าคุณเป็นใคร นั่นเป็นปัญหาของฝันร้ายที่เราเผชิญหน้าในทุกวันนี้ เพราะความรุนแรงถูกทำให้เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ผมคิดว่ามีหนทางอื่นในการพูดถึงสงครามหรืออาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติได้ดีกว่าที่สื่อมวลชนหรือนักการเมืองทำอยู่ ผมคิดว่าศิลปินควรเป็นกระบอกเสียงให้เรื่องราวเหล่านี้ เพราะสื่อต่างๆ ทำให้อาชญากรรมกลายเป็นเหมือนเรื่องแต่ง เราเห็นคนตายทุกวันในโลก แต่ปัญหาคือ มันถูกทำให้เป็นเหมือนนิยาย ด้วยสื่อมวลชน โซเชียลมีเดีย วงการบันเทิง ที่นำเสนอหรือพูดถึงสงครามแก่ผู้ชมอย่างห่างไกลจากความเป็นจริง ผมคิดว่าศิลปะสามารถดึงเรากลับมาสู่ความเป็นจริงได้ เพราะศิลปะคือพื้นที่แห่งสันติภาพ ที่เราสามารถรวมผู้คนที่มีความเห็นต่างทางการเมืองมาอยู่ร่วมกันได้ เป็นกลุ่มก้อนแห่งความแตกต่างหลากหลาย เพื่อรับรู้และสัมผัสร่องรอยที่ผู้คนเก็บรักษาและสะสมเอาไว้”


ในทางกลับกัน เราคิดว่าศิลปะบางประเภทก็เข้าถึงและเข้าใจได้ยากสำหรับคนทั่วไปที่ไม่เข้าใจศิลปะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศิลปะแบบคอนเช็ปชวลที่ต้องอาศัยพื้นฐานทางความคิดและความเข้าใจในการเสพในระดับหนึ่ง ซึ่งอัทเทียตอบเราว่า
“นั่นเป็นเรื่องจริง แต่ไม่ใช่สำหรับศิลปะของผม ถ้าคุณดูงานของผม คุณจะเห็นว่ามันเข้าถึงได้ไม่ยาก ผมใส่ใจต่อผู้ชมทุกคนในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ผมคิดอยู่เสมอว่า ถ้าศิลปะไม่ใช่พื้นที่ที่เราสามารถแบ่งปันบางสิ่งบางอย่างสู่ผู้ชมจำนวนมากได้ นั่นคือความล้มเหลว ผมรู้สึกว่าผลงานศิลปะที่ดี คืองานที่คนทำความสะอาดหอศิลป์และผู้อำนวยการหอศิลป์ชอบมันได้อย่างเท่าเทียมกัน สิ่งสำคัญสำหรับศิลปะ คือผู้ชมต้องสามารถเข้าใจและจับใจกับงานได้ ศิลปะควรเป็นพื้นที่เปิดกว้างให้ผู้ชมทุกชนชั้น”
“ผลงานภาพยนตร์สารคดีจัดวางของผมที่แสดงในนิทรรศการนี้ก็เป็นอะไรแบบนั้น มันเป็นเรื่องของการค้นพบกระเป๋าเดินทาง ที่เผยให้เห็นร่องรอยของประวัติศาสตร์การล่าอาณานิคมที่ส่งผลกระทบต่อผู้คน ผมพยายามเล่าเรื่องราวของครอบครัว ความรัก และธรรมชาติของมนุษย์ เรื่องราวของประวัติศาสตร์กระจ้อยร่อยของคนธรรมดาสามัญเหล่านี้ไม่อาจแยกออกจากประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ได้ เพราะเมื่อคุณวิพากษ์วิจารณ์ระบอบการเมือง คุณไม่สามารถละทิ้งร่องรอยของมนุษย์ตัวเล็กๆ ได้ แต่ผมไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงโลกนะ ศิลปะไม่ได้ทำหน้าที่แบบนั้น แต่ผมจะทิ้งร่องรอย หรือทิ้งคำถามเอาไว้ ผมคิดว่าศิลปะไม่ใช่การหาคำตอบ หากแต่คือการตั้งคำถามต่างหาก”
นิทรรศการ Urgency of Existence โดย คาแดร์ อัทเทีย และภัณฑารักษ์ กฤติยา กาวีวงศ์ จัดแสดงที่หอศิลป์บ้านจิม ทอมป์สัน (Jim Thompson Art Center) กรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน 2567 - 16 มีนาคม 2568 เปิดทำการทุกวัน เวลา 10:00 - 18:00 น. ค่าเข้าชม: 50 บาท, สมาชิกและเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 10 ปี เข้าชมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย, สถาบันการศึกษาสามารถขอเข้าชมได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย (ติดต่อล่วงหน้า)
Kader Attia กับศิลปะแห่งการเยียวยาซ่อมแซมที่ทิ้งร่องรอยบาดแผลแห่งการมีชีวิต ในนิทรรศการ Urgency of Existence
/
ในอดีตที่ผ่านมา ในแวดวงศิลปะ(กระแสหลัก)ในบ้านเรา มักมีคํากล่าวว่า ศิลปะไม่ควรข้องแวะกับ การเมือง หากแต่ควรเป็นเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึก ความงาม สุนทรียะ และจิตวิญญาณภายในอัน ลึกซึ้งมากกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะในยุคสมัยไหน ศิลปะไม่เคยแยกขาดออกจาก การเมืองได้เลย ไม่ว่าจะในยุคโบราณ ที่ศิลปะถูกใช้เป็นเครื่องมือรับใช้ชนชั้นสูงและผู้มีอํานาจ หรือใน ยุคสมัยใหม่ที่ศิลปะถูกใช้เป็นเครื่องมือแสดงออกถึงอุดมการณ์ทางสังคมการเมือง หันมามองในบ้าน เราเอง ก็มีศิลปินไทยหลายคนก็ทํางานศิลปะทางการเมืองอย่างต่อเนื่องยาวนาน ในการสะท้อนและ บันทึกประวัติศาสตร์การเมืองไทยได้อย่างเข้มข้น จริงจัง
/
เหตุการณ์นี้เป็นอุทาหรณ์ให้เรารู้ว่า การก๊อปปี้ก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป เพราะอย่างน้อยที่สุด ก็ทําให้ เราได้รู้ว่าผลงานต้นฉบับของจริงในช่วงเวลาที่เสร็จสมบูรณ์นั้นมีความดีงามขนาดไหน ไม่ต่างอะไรกับศิลปินร่วมสมัยสัญชาติไทยอย่าง วิชิต นงนวล ที่หลงใหลศรัทธาในผลงานของศิลปิน ระดับปรมาจารย์ในยุคสมัยใหม่ของไทยอย่าง จ่าง แซ่ตั้ง ตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ ในวัยของนักเรียน นักศึกษา เรื่อยมาจนเติบโตเป็นศิลปินอาชีพ ความหลงใหลศรัทธาที่ว่าก็ยังไม่จางหาย หากแต่เพิ่มพูน ขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็สุกงอมออกดอกผลเป็นผลงานศิลปะในนิทรรศการ The Grandmaster : After Tang Chang ที่เป็นเสมือนหนึ่งการสร้างบทสนทนากับศิลปินระดับปรมาจารย์ผู้นี้
/
“ยูบาซาโตะ เดินผ่านตามแนวต้นสนขึ้นไปบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เพื่อไปก่อสร้างสถูปดิน และมักจะโดน ทีมงานช่างบ่นทุกวันเกี่ยวกับการก่อสร้าง ที่มีเวลาอยู่อย่างจํากัด เขาเพียงได้แต่ตอบไปว่า .. บุญกุศล นําพาและเวลามีเท่านี้ ขอให้ทําสิ่งดีๆ ให้เต็มที่ ต่อสถานที่บนภูเขานี้เถอะ อย่าบ่นไปเลย เราอาจจะ พบกันแค่ประเดี๋ยวเดียว แต่สิ่งเหล่านี้จะอยู่ต่อไปอีกหลายร้อยปี ... ทีมงานทุกคนเพียงส่งรอยยิ้มที่ เหนื่อยล้ากลับมา ก็เพราะต้องทนร้อนทนแดด และเปียกฝนสลับกันไป จากสภาวะโลกเดือด ที่ทุกคน ต่างพูดถึง แต่ก็จะมาจากใคร ก็จากเราเองกันทั้งนั้น ... แม้จะมาทํางานบนภูเขาก็จริง แต่เขาก็ยังคง คิดถึงเหตุการณ์ภัยน้ําท่วมดินโคลนถล่มที่ผ่านมา อีกทั้งความเสียหายต่อข้าวของที่ต้องย้ายออกจาก บ้านเช่าและค่าใช้จ่ายหลังน้ําท่วมที่ค่อนข้างเยอะพอควร และยิ่งในสภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจแบบนี้...
/
ในช่วงปลายปี 2024 นี้ มีข่าวดีสำหรับแฟนๆ ศิลปะชาวไทย ที่จะได้มีโอกาสชมผลงานศิลปะร่วมสมัยของเหล่าบรรดาศิลปินทั้งในประเทศและระดับสากล ยกขบวนมาจัดแสดงผลงานกันในเทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ 2024 ที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 แล้ว โดยในเทศกาลศิลปะครั้งนี้นำเสนอผลงานศิลปะจาก 76 ศิลปิน 39 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ภายใต้ธีมหลัก “รักษา กายา (Nurture Gaia)” ที่ได้แรงบันดาลใจจากเทพี ไกอา (Gaia) ในตำนานเทพปรณัมกรีก หรือพระแม่ธรณีผู้ให้กำเนิดและหล่อเลี้ยงสรรพชีวิต เพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์อันสอดประสานกลมกลืนกันระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ
/
เมื่อพูดถึงชื่อ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล หรือ เจ้ย มิตรรักแฟนหนังหลายคนน่าจะรู้จักเขาในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทยผู้เปี่ยมไปด้วยความเป็นศิลปะที่สุด ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย แต่หมายรวมถึงในสากลโลก ยืนยันด้วยรางวัลสำคัญจากเทศกาลภาพยนตร์ระดับโลกหลายต่อหลายรางวัล ไม่ว่าจะเป็นรางวัลยอดเยี่ยมในการฉายสายรอง (Un Certain Regard) จากภาพยนตร์เรื่อง สุดเสน่หา (Blissfully Yours) (2002) และรางวัลขวัญใจคณะกรรมการ (Jury Prize) จากภาพยนตร์เรื่อง สัตว์ประหลาด! (Tropical Malady) (2004) จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ ในปี 2002 และ 2004, หรือภาพยนตร์เรื่อง แสงศตวรรษ (Syndromes and a Century) (2006) ของเขาก็ได้รับเลือกให้เข้าชิงรางวัลสิงโตทองคำในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเวนิส ในปี 2006 และคว้ารางวัลกรังปรีซ์จากเทศกาลภาพยนตร์ Deauville Asian Film Festival ในปี 2007, และภาพยนตร์เรื่อง รักที่ขอนแก่น (Cemetery of Splendor) (2015) ของเขาก็คว้ารางวัลยอดเยี่ยมจากเวที Asia Pacific Screen Awards ในปี 2015, ที่สำคัญที่สุด อภิชาติพงศ์ยังเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รับรางวัล ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมปาล์มทองคำ (Palm d’or) จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ ครั้งที่ 63 ในปี 2010 จากภาพยนตร์เรื่อง ลุงบุญมีระลึกชาติ (Uncle Boonmee Who Can Recall His Past Lives) (2010), และล่าสุด ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องล่าสุดของเขาอย่าง Memoria (2021) ยังคว้ารางวัล Jury Prize ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ครั้งที่ 74 ในปี 2021 มาครองได้อีกครั้ง อีกทั้งยังได้รับเสียงวิจารณ์เชิงบวกอย่างท่วมท้นจากสื่อมวลชนนานาชาติ
/
เมื่อพูดถึงเกาหลีใต้ หลายคนอาจจะนึกถึง เคป็อป หรือซีรีส์เกาหลี แต่ในความเป็นจริง เกาหลีใต้ไม่ได้มีสิ่งที่น่าสนใจเพียงแค่นั้น หากแต่ เคอาร์ต หรือวงการศิลปะเกาหลีก็มีอะไรที่โดดเด่นน่าสนใจเหมือนกัน ดังเช่นที่เรามีโอกาสได้ไปชมนิทรรศการศิลปะที่น่าสนใจของศิลปินเกาหลีใต้ ที่บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาจัดแสดงในบ้านเรา
We use cookies, localStorage and other technologies (collectively, "cookies") to recognise your browser or device, learn more about your interests, and provide you with essential features and services and for additional purposes. ( see details )