LOOKING ON EVERYTHING ?
EXPLORE ON EVERYTHING


Writer:
Chakkraphan Kwanmongkol
Photographer:
Mc Suppha-riksh Phattrasitthichoke
PEOPLE :---
INTERVIEW
เมื่อศิลปินพูดเรื่องการเมือง สะท้อนปัญหาของมวลชนส่งตรงไปถึงชนชั้นนำ! ในเพลง “The Masses Against The Classes” ซิงเกิ้ลในปี 2000 ของวง Manic Street Preachers เริ่มต้นด้วยประโยคของ โนม ชอมสกี (Noam Chomsky) นักปรัชญา นักภาษาศาสตร์และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองคนสำคัญของอเมริกาที่บอกว่า “THE COUNTRY WAS FOUNDED ON THE PRINCIPLE THAT THE PRIMARY ROLE OF THE GOVERNMENT IS TO PROTECT PROPERTY FROM THE MAJORITY...AND SO IT REMAINS” อย่างที่รู้กันว่าไม่มียุคไหนอีกแล้วในประวัติศาสตร์ที่ศิลปินถูกปิดปากโดยรัฐ ด้วยการทำทุกวิถีทางไม่ให้พวกเขาได้สะท้อนความคิดของผู้คนผ่านงานศิลปะมากที่สุด แต่ก็ไม่มียุคไหนอีกแล้วในประวัติศาสตร์ที่ศิลปินจำนวนมากออกมาทวงถามถึงเสรีภาพในการแสดงออกมากที่สุดเช่นกัน IAMEVERYTHING ออกไปพบกับศิลปินหลากหลายแขนง ทั้งกราฟิกดีไซเนอร์, นักวาด, นักเขียน, ช่างภาพ, สตรีทอาร์ตติส, แร็พเพอร์, นักร้อง, นักดนตรี เพื่อคุยกับพวกเขาเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดและสะท้อนมุมมองทางการเมืองที่มีต่อผู้บริหารประเทศ ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งซึ่งพวกเขาอยากให้คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบได้รับฟัง

คุณมองการเคลื่อนไหวทางการเมืองของเยาวชนคนหนุ่มสาวตอนนี้เป็นยังไง
เป็นธรรมชาติดีค่ะ ก็เป็นอย่างที่มันควรต้องเป็น
คิดว่าเพราะอะไรพวกเขาจึงออกมามากขึ้นเรื่อยๆ
พี่คิดว่าพวกเขาคิดกันอยู่แล้วแหละ คือจริงๆ ทุกคนก็จะเป็นหน่วยความจำ เป็นหน่วย information หนึ่งหน่วย ดังนั้นพี่คิดว่าไม่เกี่ยวกับการเพิ่มจำนวนขึ้น แต่อาจจะแบบว่าเห็นเพื่อนออกมาก็จะออกมาด้วยมากขึ้น
พวกเขาทนไม่ได้มากขึ้นหรือเปล่า
ส่วนหนึ่งค่ะ แต่เมื่อคุณอายุมากขึ้น ยิ่งคุณต้องการการศึกษามากเท่าไหร่ คุณก็จะรู้อยู่แล้วแหละว่ามันเป็นไปไม่ได้ในระบบแบบนี้ พี่คิดว่าตัวเร่งจริงๆ น่าจะเป็นโควิดมากกว่า คือโควิดที่ทำให้อัตราการตกงานเพิ่มสูงขึ้นจนเขาอยู่ในจุดที่แบบว่ามันไม่มีความหวัง เด็กจบใหม่ตอนนี้คือตกงานร้อยเปอร์เซ็นต์ เยอะนะ ไอ้ที่มีงานอยู่ก็...
คิดว่าเป็นตัวรัฐเองหรือเปล่าที่ทำให้...
รัฐเองแหละค่ะ จะเป็นคนอื่นได้ยังไง ในขณะที่ช่วงที่ผ่านมาเรามีการกู้เงินเป็นระยะๆ แล้วก็อัตราการอยู่ดีกินดีลดลงไปเรื่อยๆ ข้าวของก็แพงขึ้นเรื่อยๆ
กระแสมันเริ่มมาจากเด็ก เยาวชน คนหนุ่มสาว แล้วก็ขยับไปสู่ชนชั้นกลางบางพวก ผู้ใหญ่บางกลุ่ม จนตอนนี้ม็อบมันเริ่มมีกลุ่มคนที่หลากหลาย คุณคิดว่ามันส่งผลต่อเนื่องกันยังไง ปริมาณและความหลากหลายของคนในม็อบจึงมีมากขึ้น
คือจริงๆ เจตนาม็อบเนี่ยก็คือ... แต่ก่อนเราเรียกไฮด์ปาร์คด้วยซ้ำ คุณสามารถทำม็อบด้วยตัวเองได้ด้วยการเอามือถังอะไรสักอย่าง ขึ้นไปยืนบนถังแล้วก็พูด เรียกร้องสิ่งที่คุณต้องการ มันก็เริ่มจากแบบนี้แหละค่ะ ทีนี้ม็อบก็ทำอย่างนั้นมาตลอดเวลา คือ educate ผู้คนที่ได้เห็น ได้เข้าไป ได้อะไรอย่างนี้ค่ะ ทีนี้ในโลกสมัยใหม่ ความเร็วของมัน...สมมติคุณได้ยินคำบางคำ ได้ยินเรื่องบางเรื่อง แค่เสิร์ชกูเกิ้ลอย่างที่นายกฯ แนะนำ คุณก็ได้ข้อมูลเท่าที่คุณต้องการและมากกว่าที่คุณต้องการ ข้อมูลที่บอกว่า “นี่ไง เรื่องที่เข้าพูดกันในม็อบ” นี่ไง มันเกิดขึ้นที่ต่างประเทศด้วย ก็คือม็อบเรื่องเดียวกันด้วยอะไรอย่างนี้ พี่ก็เลยคิดว่าอัตราการเติบโตของม็อบมันก็เลยทวีคูณน่ะ อาจจะเร็วกว่าสมัยก่อน สมัยก่อนมีม็อบเพื่อให้คนมาที่ม็อบแล้วก็ เขาก็จะได้จำนวนคนที่ม็อบเท่านั้น แต่อันนี้คือม็อบเริ่มใหญ่ คนก็จะสนใจเข้ามาดูว่า “มีอะไรกันเหรอ?” เข้ามาดูปุ๊บ เย็นวันนั้นเปิดปั๊บก็ขยายตัว
ความน่าสนใจของม็อบนี้คือมันไม่เคยปรากฏในสังคมไทยมาก่อน ม็อบก่อนหน้านี้...
ก็นั่นมันม็อบแอนาล็อก
ใช่ พอเป็นม็อบยุคดิจิตอลมันก็เลยนำเสนอประเด็นย่อย ที่แตกต่างกันได้ ค่อนข้างหลากหลาย อย่างเช่นม็อบหนึ่งพูดเรื่องนี้ ม็อบอีกก็จะพูดเรื่องนั้น
คือจริงๆ มันก็เป็นยุคดิจิตอลเนี่ยแหละนะ จริงๆ มันก็ operate the whole things ค่ะ operate ตั้งแต่จุดยิบย่อยของระบบ ของสังคมทั้งสังคม คือก่อนหน้านี้มันต้องมีคนจูง ก็เป็นแอนาล็อกนั่นแหละ คือมีกลุ่มหนึ่งที่จะเป็นหัวหอกแล้วก็ดึงลากกันไป แล้วถ้ากลุ่มนั้นเนี่ยไม่ได้สนใจประเด็น LGBT ประเด็นนั้นก็จะไม่ถูกพูดถึง นึกออกไหมคะ นอกจากได้ recruit คนที่เป็น LGBTถึงจะพูดถึง แต่ว่ามันสามารถขึ้นมาพร้อมกันทุกเรื่องในคราวเดียว
นี่เป็นครั้งแรกของการนำเสนอประเด็นที่หลากหลายพร้อมกันเลย
ใช่ และนี่คือดิจิตอลแท้ๆ เลย คือต่างคนต่างก็มา แกนนำก็ไม่มี ในบางช่วงก็คือแกนนำโดนจับหมดใช่ไหมคะ มีบางช่วงที่แกนนำหร็อมแหร็มมากเลย ม็อบก็ยังดูเหมือนน่าจะมีขนาดใหญ่กว่าตอนที่มีแกนนำอีก


คุณว่ารัฐตามทันไหม
ไม่รู้มันค่ะ รัฐตามทันหรือไม่ทันอันนี้พี่ไม่ทราบ แต่พี่เข้าใจว่ารัฐเข้าใจเรื่องนี้ได้ยาก เขาอาจจะตามทันก็ได้แต่ว่าเขาก็ทันแบบเหวอๆ หน่อย “เอ๊ะ ทำไมจับแกนนำก็แล้ว ทำนั่นทำนี่ก็แล้ว” “เราเคยใช้วิธีนี้แล้วได้ผลก็เลย...” มันเกิดอะไรขึ้น อย่างนั้นมากกว่า แต่ว่าถ้ารัฐคือฝ่ายบริหาร ไม่ว่ารัฐจะตามทันหรือตามไม่ทัน รัฐก็ยังทำแบบรัฐเก่าอยู่ นั่นก็คือจับแกนนำ เอาตำรวจมายืน เอาโล่มา เอาน้ำยิง แก๊สน้ำตา สมมติว่าถ้ารัฐตามทัน รัฐอาจจะต้องอยู่ข้างหน้าม็อบให้ได้หนึ่งก้าว ตอนนี้รัฐอาจจะอยู่ข้างๆ ม็อบ แต่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีน่ะ ตามทันไม่ได้หมายความว่าอยู่หลังม็อบหนึ่งก้าวนะ ความจริงพี่คิดว่าตอนนี้น่าจะอยู่หลังม็อบประมาณสามก้าว
ในฐานะที่คุณเป็นนักเขียน ที่มองความเคลื่อนไหวต่างๆ อยู่เสมอ คุณคิดว่าเหตุการณ์บ้านเมืองที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ศิลปินควรมีหน้าที่หรือบทบาทอย่างไร
มีหน้าที่ทำงานของตัวเองนั่นแหละค่ะ จริงๆ พี่อาจจะละไว้นิดหนึ่งนะคะ ว่าสิ่งเราจะเรียกว่าพันธสัญญา สัญญาใจของนักเขียน ศิลปินกับสังคม เดี๋ยว...พี่คิดว่าเราไม่ได้มีหน้าที่ขนาดนั้นนะคะ แต่ก็ต้องศึกษาความเป็นไป ถ้าหากว่าคุณไม่ได้เข้าใจความเป็นไป คุณก็เขียนเรื่องที่เขาคนเขาไม่อยากอ่าน อันนี้คือด้าน marketing ทั่วไปนะคะ มันก็จะไม่เวิร์ค แต่ว่าโดยธรรมชาตินักเขียนและศิลปินมันแทบจะเป็นลิเบอรัลอยู่แล้ว มันไม่ได้จะเกิดมาเพื่อเป็น conservative

มันมีอยู่นะ
มันมีน่ะสิ พี่ถึงสงสัยว่ามันเป็นอะไรกัน มันมีค่ะ พี่ค่อนข้างจะเข้าใจว่ามันมีเหมือนศิลปินในช่วงเรเนสซอง ก็เป็นสัตว์เลี้ยง ก็จะมีเศรษฐีเลี้ยง เขาเรียกอะไรนะ มีนาย ทั้งนักดนตรี ทั้งอะไรต่างๆ นะ ก็จะมีเศรษฐีนี่แหละคอยอุปการะ
ขยายความนิดหนึ่งที่บอกว่าโดยธรรมชาติศิลปินเป็นลิเบอรัล
เป็นลิเบอรัลอยู่แล้ว เพราะว่าเรา...พี่ค่อนข้างจะเข้าใจว่าเราใช้จินตนาการมากกว่า เราใช้ความรู้สึกมากกว่า แล้วก็ดูเหมือนว่าทางด้านอื่นเนี่ยเราสนใจน้อย ด้านอื่นหมายถึงว่าลาภยศ สรรเสริญ เงินทอง เราสนใจตรงนี้น้อยกว่า คือโดยประวัติศาสตร์บอกอยู่แล้วว่าถ้าคุณสนใจตรงนี้มากกว่า คุณก็ไม่ได้เป็นศิลปินตั้งแต่ต้น คุณไม่ได้เป็นนักเขียนตั้งแต่ต้น นี่ไม่ใช่อาชีพที่ร่ำรวย ไม่งั้นคุณก็เป็นนักธุรกิจสิ จริงๆ เอกเทศด้วย ไม่ต้องเป็นทาสใครด้วย ไม่ต้องรอใครอุปถัมภ์ด้วย แต่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ ถ้าเป็นศิลปิน เป้าหมายแรกๆ ของคุณคือการสร้างงาน แล้วก็ทำให้คุณพอใจในระบบว่าช่วยสังคมหรือช่วยอะไรก็แล้วแต่ ประโลมโลก หรือตลก หรืออะไรก็แล้วแต่ เพราะฉะนั้นคนเป็นศิลปินมันก็เลยเป็นลิเบอรัลด้วยตัวมันเอง เพราะมันไม่ขึ้นกับเศรษฐกิจของบุคคลอื่น หรือเป็นระบบอุปถัมภ์ตั้งแต่ต้น
มีการพูดถึงกันมากว่าเสรีภาพในการแสดงออก มันควรมีขอบเขตหรือไม่ หรือถ้ามีมันควรอยู่ตรงไหน คุณมองประเด็นนี้ว่ายังไง
สำหรับพี่ พี่มองว่าไม่ควรจะมีขอบเขต ทั้งโลกก็ยืนยันว่าไม่ควรจะมีขอบเขต และแน่นอนพี่มีเพื่อนทั้งโลก ไม่ใช่แค่ที่นี่ ก็อย่างที่บอก เรา born liberal ดังนั้นมันจะเป็นพวกแรกๆ ที่แหกปาก จะเป็นพวกแรกๆ ที่สะท้อนสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลในงานของตัวเองก่อนเพื่อน
แล้วศิลปินที่ไม่คิดเรื่องนี้ล่ะ
คุณต้องไปสัมภาษณ์เขา เป็นอะไรทำไมถึงไม่คิด แต่พี่ไม่ทราบ มันแปลกอยู่เหมือนกัน เพราะว่าระบบอุปถัมภ์ ไม่ว่าจะเศรษฐีหรือเจ้าที่ดินอุปถัมภ์ ราชวงศ์หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่นั่นมันสองร้อย สามร้อยปีที่แล้วด้วย มันไม่ใช่ของยุคนี้นานแล้ว
มีความพยายามที่จะควบคุมสิทธิเสรีภาพของผู้คนทั่วๆ ไป หรือแม้กระทั่งความพยายามที่จะควบคุมกันเองระหว่างศิลปิน สำหรับคุณ คุณคิดว่ามันเกิดสะท้อนปรากฎการณ์อะไร
มันสะท้อนระบบเผด็จการนี่แหละ แต่จริงๆ พี่ค่อนข้างประหลาดใจว่าถ้าเทียบกับที่อื่นๆ น่ะค่ะ รัฐเข้ามาควบคุมตัวศิลปินโดยตรงน้อยมาก แต่ควบคุมผ่านศิลปิน...ให้เรา...ศิลปินควบคุมศิลปินด้วยกันเอง ซึ่งเป็นระบบที่แบบย่อยยับมากค่ะ มันคือระบบรุ่นพี่ เคยเห็นไหมคะ มีระบบรุ่นพี่ มีระบบพวกพ้อง ระบบอะไรอย่างนี้ จะพูดว่ายังไงดี นี่เป็นรากของเผด็จการด้วยซ้ำ คือระบบเผด็จการมันอยู่ได้ด้วยแบบนี้ล่ะค่ะ พวกพ้อง พวกกัน และด้วยเหตุนี้สังคมสมัยใหม่เนี่ย การจะโตได้ด้วยตัวคนเดียวมันยากมาก มันต้องผ่านรุ่นพี่ ผ่านพวกพ้อง ผ่านการบอยคอต ผ่านการแบนกันเอง คบกันเองอย่างนี้ใช่ไหมคะ
อย่างเช่นใครที่นำเสนอความคิดที่แตกต่างหรืออันตราย เขาก็จะไม่จ้างงาน
ใช่ๆ ก็คือบีบปากท้องเลย แต่มันก็ทำอะไรบางคนไม่ค่อยได้มาก ก็อย่างที่บอก มันเกิดมาก็ลิเบอรัลแล้ว ถ้ามันอยากรวยมันก็ทำอย่างอื่นแล้วแหละตั้งแต่ต้น แต่คราวนี้ความเชื่อมันก็มีส่วนเรื่องนี้ด้วยไง พี่ค่อนข้างจะคิดว่าศิลปินรุ่นใหม่เขาก็ไม่เป็นแล้วนะ เขาก็ค่อนข้างจะยืนยันไอเดียของเขา หรืออย่างงานดนตรีเร็วๆ นี้นะคะ ก็เห็นศิลปินหลายๆ คนก็ยืนยันที่จะแสดงอะไรอย่างนี้ แล้วเขาก็ได้รับการต้อนรับจากผู้ชม
ในฐานะที่คุณก็มีลูก แล้วในม็อบ มันก็คนรุ่นลูกหลานเราทั้งนั้นเลย คุณมองเห็นอะไรในตัวคนรุ่นนี้บ้าง
พี่เห็นพลัง อันหนึ่งที่ invisible มาก น่ากลัวมากๆ แล้วพี่ไม่รู้ว่ารัฐตามทันไหม หรือว่าถ้าทันแล้วจะทำยังไงกับมันคือความสนุก คือแบบมันจะเล่นอะไรกันนักหนา เมื่อไหร่จะหยุด คือแตกต่างจากม็อบเมื่อหลายปีก่อนมาก หรือว่าม็อบตอนที่พี่อายุน้อยๆ พี่เป็นนักศึกษาเหมือนกันก็ยังไม่ได้เท่านี้นะ ก็ยังจะแบบเคร่งเครียด โหยหวน คร่ำครวญ แต่นี่ไม่ค่ะ ตลกอย่างเดียว แบกเป็ดอะไรอย่างนี้นึกออกไหม แบกเป็ด ลากเป็ดอะไรอย่างนี้ ทหารผ่านศึกอะไรอย่างนี้ สนุก
แต่มีเด็กที่มาม็อบแล้วถูกพ่อแม่ไล่ออกจากบ้านด้วยนะ
ค่ะ มันยากมากเลยในสังคมอำนาจนิยม นั่นหมายความว่าจริงๆ แล้ว เราแทบจะ... อันหนึ่งที่พี่โคตรโกรธนะ พี่เคยออกหนังสือเด็กด้วย เคยเลี้ยงเด็กน่ะ แต่อันนี้เราโกรธมากๆ ที่ผู้ใหญ่ไม่เคยทรีตเด็กเป็นมนุษย์ แต่ทรีตเขาเป็นสัตว์เลี้ยง เห็นไหมคะ โอเค ตัดหางปล่อยวัด เห็นเรื่องนี้ไหม “เธอ ฉันสั่งแล้ว เธอไม่พอใจ ฉันจะตัดหางปล่อยวัด” ไม่ได้! คุณพาเขามาในโลกนี้ ที่ที่เป็นของเขาที่เดียวในโลกคือสิ่งที่เรียกว่าบ้าน ก่อนที่เขาจะมีที่ทางของตัวเอง คือบ้านหลังนั้นที่อยู่ร่วมกับคุณ จะอยู่ร่วมเหมือนอะไรล่ะ ถ้าอยู่ร่วมอย่างเท่าเทียมกัน อยู่ร่วมเป็นสมาชิก คุณไม่มีสิทธิ์ไล่นะ แต่ทันทีที่คุณไล่เขา คุณทรีตเขาเป็นสัตว์เลี้ยง ซึ่งเศร้า เศร้ามาก แล้วพี่ก็ไม่คิดว่าพ่อแม่แฮปปี้ด้วย พี่คิดว่าเขาใช้พวกนี้เป็นเงื่อนไข emotional blackmail ถ้าเกิดแกไม่เชื่อฟังฉัน แกก็ออกไปอะไรอย่างนี้ ซึ่งไม่ได้สิ เรารักกัน เรารักกันมาก การเชื่อฟังไม่ได้เป็นการพิสูจน์รักหรืออะไรอย่างนั้น คือเราไม่ได้อยู่ด้วยกนไปจนตายนะแม่ วันนึงเธอไม่มีใคร เธอก็มีลูกแค่นั้น แล้วเราอยู่กันไปแค่ชั่วชีวิตทำไมอย่างอย่างนี้ โอเค อาจจะมีลูกที่ไปแล้วไม่กลับเลยก็ได้ แต่ทำไมเทรดแรง ทำไมแลกเปลี่ยนสิ่งที่รักที่สุดออกไปล่ะ ซึ่งพี่ไม่แน่ใจว่าประเด็นการเมืองสำคัญแค่ไหน พี่ไม่แน่ใจว่าเขาเชื่อมั่นในวิถีการเมืองขนาดนั้นไหม หรือแค่เอาแต่ใจตัว หรือแค่เป็นความรู้สึก insecure หรือแค่ฉันเป็นแม่ เธอต้องฟัง
สูญเสียพาวเวอร์ที่อยากคอนโทรล
แล้วคุณไปเอาพาวเวอร์ที่จะคอนโทรลนี้มาจากไหนล่ะ การให้กำเนิดไม่ได้ให้พาวเวอร์นั้นกับคุณ เปล่านะเว้ย แล้วตอนนี้มันเป็นเรื่อง clash ระหว่าง generation จริงๆ เรื่องของดิจิตอล เรื่องของแอนาล็อก มันเป็นเรื่องของ generation แบบ... พูดยากมากในมิติที่ซับซ้อนเกินไป
ในฐานะที่คุณเป็นคนที่เข้าใจความเห็นของทุกฝ่าย คุณอยากจะสื่อสารกับคนที่เป็นผู้ปกครอง เป็นพ่อแม่ที่ตอนนี้กำลังจะเกิดคอนฟลิกต์กับลูกหลานยังไง
อะไรต้องทำก็ต้องทำ ก็ลองคิดถึงช่วงวัยของเขา สมัยสาวๆ เขาก็ไปบาร์ เขาก็ไปดิสโก้ ไม่ใช่เขา ไม่หนีแม่เขานะ เออเดี๋ยวๆๆๆ พ่อแม่เด็กพวกนี้นะ ไม่ใช่ฉัน ก็หนีไปทำอะไรต่อมิอะไรด้วยกัน ก็แก่นแก้ว อ้าว นี่ก็เหมือนกัน แต่พอเป็นเรื่องนี้ปุ๊บเนี่ย คุณกลับบอกว่าเป็นเรื่องความรุนแรงโดยใช่เหตุ จริงๆ มันก็เหมือนเรื่องดิสโก้เธคค่ะ ใครอนุญาตให้ลูกไปกินเหล้าที่บาร์มั่ง ไม่ ก็ไปกินเหล้าบ้านเพื่อน ทุกคนก็ทำ บางคนก็แอบแชทกับผู้ชาย สมัยก่อนมีแต่เพจเจอร์ คุณก็แอบเพจเจอร์หาผู้ชาย
แต่เขาก็อาจจะกลัวว่าลูกเขาจะ โดนยิง โดนแก๊สน้ำตาเลยห้ามไป
ก็ไปกับเด็กสิ แล้วจริงๆ แล้วสิ่งที่คุณต้องทำ ถ้าเกิดคุณกลัวแก๊สน้ำตา กลัวการถูกทำร้าย คุณต้องเรียกร้องให้เขา ในฐานะพ่อแม่คุณต้องเรียกร้องว่า “เฮ้ย การชุมนุมของเด็กๆ โดยไม่มีอาวุธ โดยสงบสันติ โดยพูดถึงทุกอย่าง จะต้องปลอดภัย” เพราะว่าฝ่ายกระทำคือฝ่ายรัฐ ต้องเรียกร้องรัฐที่คุณจ่ายภาษีว่า เฮ้ย ถ้าจะอ้างอย่างนี้นะ ถ้าจะอ้างเรื่องความปลอดภัยนะ เป็นหน้าที่พ่อแม่ที่จะต้องเรียกร้องรัฐ ไม่เกี่ยวกับเด็ก ไม่เกี่ยวกัน

ความเคลื่อนไหวทางการเมืองมันก็เดินมาไกลพอสมควร คุณมองว่าจะเป็นยังไงต่อ
ตอบยาก คนถามพี่ พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ คือมันคงไม่เหมือนเดิม คือท่านนายกฯ ก็บอกถอยคนละก้าว แต่ก็ไม่เห็นท่านนายกฯ ถอย แล้วจริงๆ ม็อบมันไม่ได้ต้องการมานั่งคาเมืองหรอก หรือร้องเล่นเต้นระบำไปวันๆ มันต้องการการเจรจา เขามีข้อเรียกร้องสามข้อ รัฐเปิดเจรจาหรือยัง ยัง เจรจาสิ เขาบอกให้ท่านลาออก ท่านจะลาออกไหม ถ้าไม่ลาออก ท่านจะทำยังไงต่อ ปรับ ครม. อะไรอย่างนี้ วิถีทางการเมืองทั่วๆ ไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือนี่กี่เดือนมาแล้ว รัฐบาลทำอะไรหรือเปล่า ถอยคนละก้าว รัฐถอยที่ไหนล่ะ ยิงแก๊สน้ำตาตู้มๆ ตรงไหนถอย ตรงไหนเจรจาล่ะ ถ้าคุณยังไม่เจรจา เขาก็ออกมาอย่างนี้เรื่อยๆ
มองเห็นความหวังของประเทศนี้ไหม
เห็น พี่เห็นค่ะ เราเห็นประชากรที่มีคุณภาพที่สุดตั้งแต่เราเคยมีมา ก่อนหน้านั้นเราก็มีเด็กนักเรียนที่เป็นติ่งเกาหลีไป ที่เหมือนกับว่าอะไรที่เขาพูดกันเร็วๆ แล้วก็ใช้ศัพท์กันแปลกๆ แล้วก็มันก็ไม่ได้เอาไหน นู่นนี่นี่นั่น ถ้าเด็กมาอยู่ฝั่งการเมืองเมื่อไหร่คือเด็กคุณภาพที่สุดแล้ว
ซึ่งก็เป็นเด็กติ่งเกาหลีก่อนหน้านี้
ใช่ กรุ๊ปเดียวกัน ซึ่งน่าสนใจมาก นั่นหมายความว่าโลกมันดีขึ้นผ่านเด็กพวกนี้ ผ่านเด็กที่เข้ามาอยู่ในปัญหาการเมือง ฉันชอบอะไร ไม่ชอบอะไรแบบนั้น พวกประธานาธิบดีที่ไหนๆ ก็เป็น activist มาก่อนทั้งนั้น ถ้าเกิดว่าคุณสามารถเลี้ยงเด็กขึ้นมาเป็น activist ได้ดี สังคมเราจะต้องดีงามค่ะ ไม่ช้าก็เร็ว
คุณเขียนหนังสือเล่มแรก งานชิ้นแรกเกิดจากความเศร้าจากเหตุการณ์บ้านเมือง คำถามคือถ้าเด็กมีความหวังอย่างทุกวันนี้ ต้องการเปลี่ยนการเมืองให้ดีขึ้น ถ้าการเมืองดีขึ้น คุณจะเขียนหนังสืออีกไหม
เขียนสิคะ ก็เขียนเรื่องอื่นสิ ก็เขียนเรื่องผี (หัวเราะ) ก็ไปเขียนเรื่องไซไฟ มันจะมีเรื่องเขียนเสมอแหละ หรือว่าเล่มสองพี่ก็ไม่ได้เป็น trauma แบบนั้นแล้ว พลิกประเด็นมาถึงเรื่องอื่น หรือเล่มสาม ซึ่งดูเหมือนว่าพี่จะยุ่งเรื่องการเติบโตของผู้คนเยอะขึ้น ที่สังคมทรีตเด็กกลายเป็นบางอย่างที่จะตัดหางปล่อยวัดเมื่อไหร่ก็ได้ จะทิ้งไปเมื่อไหร่ก็ได้ จะดูแลแบบให้ขึ้นอยู่กับฉันก็ได้ ซึ่งมันไม่แฟร์ มันกดดันน่ะ มันน่ากลัว
สุดท้าย อยากให้ฝากอะไรถึงนายกฯ
เปิดเจรจาค่ะ เลิกยิงซักที รถน้ำอะไรไม่ช่วยค่ะ จากคำถามแรกๆ รัฐบาลตามทันไหม พี่ก็ว่าทันแต่ว่าคงงงน่ะ คือการตั้งแนวนั้นไม่เวิร์ค ยิ่งยิงแก๊สน้ำตา ยิ่งยิงรถน้ำยิ่งเพิ่มปริมาณม็อบ แล้วถ้าเผื่อว่าฉลาด คือเปิดเจรจาค่ะ แล้วดูว่าข้อเรียกร้องเขาอะไรบ้าง เขาทำอะไรได้บ้าง ทำอะไรไม่ได้บ้าง จะจัดการกันยังไง ซึ่งก็คงไม่ทำหรอก
TAG
แหม่ม วีรพร นิติประภา นักเขียนสองรางวัลซีไรต์ กับสายตาที่มองเห็นความหวังในตัวคนรุ่นใหม่
/
CONTRIBUTORS
RECOMMEND
/
ทันทีที่ Key Visual สถาปนิก’ 68 เผยแพร่ออกมา บทสนทนาปลุกสัญชาตญาณนักสืบในตัวทุกคนพร้อมใจกันทำงานแบบ Autopilot และระหว่างที่ตามหาเฉลยกันจริงจัง ทุกคนเริ่มหันมาตั้งคำถามต่อว่า Art Toys เกี่ยวข้องกับธีมงานอย่างไร รู้ตัวอีกทีวงสนทนาก็กระเพื่อมขยายกว้างขึ้น ส่งสัญญาณชัดว่า Key Visual ปีนี้เปิดฉากมาแบบสนุกเอาเรื่อง โดนเส้นกันสุดๆ
/
วัลลภ รุ่งกำจัด หรือ อุ้ม นักแสดงที่เชื่อมโยงความเป็นมนุษย์กับโลกของภาพยนตร์ ผ่านการสร้างชีวิตให้ตัวละครต่าง ๆ ได้ออกมาโลดแล่นแสดงความรู้สึกทางอารมณ์ให้กับผู้ชม แม้เขาจะไม่ได้เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงในวงกว้างเทียบเท่ากับนักแสดงกระแสหลัก แต่ในเวทีระดับโลก “อุ้ม” ได้พิสูจน์ตัวเองกับการเป็นนักแสดงที่มีความสามารถที่ยอมทุ่มเทหลาย ๆ สิ่ง ให้กับงานศิลปะด้านการแสดงในภาพยนตร์เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้อย่างสุดตัว
/
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้เราได้รู้จักกับเธอคนนี้ในชื่อของ พัด หรือที่ชอบเรียกติดปากกันว่า พัด ZWEED N’ ROLL เจ้าของเสียงทุ้มมีเสน่ห์ นักร้องและนักแต่งเพลงที่ฝากผลงานเพลงเศร้าเอาไว้ในวงการมากมาย อาทิ ช่วงเวลา, Diary, อาจเป็นฉัน และอีกมากมาย ไม่มีอะไรแน่นอนแม้กระทั่งตัวเราเอง ช่วงเวลาจึงได้พัดพาให้เรามาทำความรู้จักกับ “MAMIO” ในฐานะศิลปินใหม่จากค่าย Warner Music Thailand ซึ่งเป็นอีกตัวตนหนึ่งของคุณพัดที่ไม่เคยถูกปลดปล่อยออกมาเลยตลอดชีวิตการทำงานในวงการสิบกว่าปีที่ผ่านมา หรือถ้าจะให้ซื่อสัตย์กับตัวเองจริง ๆ ก็อาจจะเป็นทั้งชีวิตที่เกิดมาเลยเสียด้วยซ้ำ
/
Whispers เป็นหนึ่งในวงดนตรีที่สะท้อนการเติบโตของวงการ Hardcore ในประเทศไทยอย่างแท้จริง ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงกลุ่มเพื่อนที่หลงใหลในดนตรี เพราะนอกจากจะเป็นผู้เล่น พวกเขายังเป็นกำลังสำคัญที่คอยผลักดันซีนฮาร์ดคอร์ในบ้านเรามาโดยตลอด ประสบการณ์ที่สั่งสมทำให้เกิดเป็นสไตล์เฉพาะของ Whispers สร้างความแตกต่างและเป็นเอกลักษณ์ จนทำให้พวกเขาก้าวไปสู่เวทีระดับสากล ถึงแม้พวกเขาจะอยู่ใต้ดินของไทย แต่เสียงคำรามของพวกเขาก็ดังไปไกลถึงทวีปยุโรป มาพบกับเส้นทางดนตรีที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจและการเปลี่ยนแปลง กับวงฮาร์ดคอร์ระดับบท็อปของ Southeast Asia
/
ด้วยลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์และรูปแบบงานสักของเขา ที่เรารู้สึกแปลกประหลาดกว่างานสักอื่น ๆ (แปลกประหลาดในที่นี้คือความหมายในแง่ดีนะ) ก็เลยตัดสินใจส่งข้อความทักไปหา “พี่นัทครับ ผมขอสัมภาษณ์พี่ได้ไหม” “ได้ครับ” สั้น ๆ แต่จบ เรื่องราวทั้งหมดก็เลยเริ่มต้นขึ้นที่ร้าน CAVETOWN.TATTOO แถว ๆ ปิ่นเกล้า ซึ่งพี่นัทเป็นเจ้าของร้านแห่งนี้ บทสนทนาของเราเริ่มกันในช่วงเวลาบ่าย ๆ ของวันพฤหัส พอไปถึงร้านพี่นัทกำลังติดงานสักให้กับลูกค้าอยู่หนึ่งคน พอได้เห็นลายที่เขาสักต้องบอกว่าเท่มาก ๆ มันมีความเป็น Psychedelic บวกกับ Ornamental ผสมผสานกับเทคนิค Dotwork จนกลายเป็นงานศิลปะบนผิวหนังหลังฝ่ามือ เราถึงกับต้องถามคำถามโง่ ๆ กับลูกค้าที่ถูกสักว่า “เจ็บไหม” แน่นอนคำตอบที่ได้คือ “โคตรเจ็บ” เพราะจุดที่สักคือหลังฝ่ามือ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่หลายคนร่ำลือกันว่าโคตรเจ็บ ระหว่างที่รอพี่นัทไปพลาง ๆ น้องแมคช่างภาพที่มีรอยสัก Full Sleeve เต็มแขนขวา ก็เริ่มกดชัตเตอร์กล้องถ่ายรูปเก็บภาพระหว่างที่เขาสักไปด้วย พอสักเสร็จเรียบร้อยก็ปล่อยให้พี่เขาพักผ่อนกินน้ำ ปัสสาวะ (อ่านแยกคำนะอย่าอ่านติดกัน) ก่อนจะพูดคุย แต่เดี๋ยว ! ก่อนจะเริ่มบทสนทนา เราขอเกริ่นให้ฟังซักนิดนึงเกี่ยวกับชายคนนี้ก่อน
/
ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปีวงดนตรีสัญชาติไทยที่ชื่อ KIKI ได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในวงที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากทั้งในประเทศไทย ญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ ฮ่องกง ก็เพราะด้วยเสียงเพลงที่มีความเป็นเอกลักษณ์ และการนำเสนอแนวคิดที่ไม่เหมือนใคร รวมถึงความตั้งใจในการสร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนถึงตัวตนของพวกเขาได้อย่างชัดเจน
SIGN UP TO OUR NEWSLETTER
A Monthly update of the new issue from us
THANK YOU FOR YOUR SUBSCRIPTION
We use cookies, localStorage and other technologies (collectively, "cookies") to recognise your browser or device, learn more about your interests, and provide you with essential features and services and for additional purposes. ( see details )