LOOKING ON EVERYTHING ?
EXPLORE ON EVERYTHING

“ยูบาซาโตะ เดินผ่านตามแนวต้นสนขึ้นไปบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เพื่อไปก่อสร้างสถูปดิน และมักจะโดน ทีมงานช่างบ่นทุกวันเกี่ยวกับการก่อสร้าง ที่มีเวลาอยู่อย่างจํากัด เขาเพียงได้แต่ตอบไปว่า .. บุญกุศล นําพาและเวลามีเท่านี้ ขอให้ทําสิ่งดีๆ ให้เต็มที่ ต่อสถานที่บนภูเขานี้เถอะ อย่าบ่นไปเลย เราอาจจะพบกันแค่ประเดี๋ยวเดียว แต่สิ่งเหล่านี้จะอยู่ต่อไปอีกหลายร้อยปี ... ทีมงานทุกคนเพียงส่งรอยยิ้มที่เหนื่อยล้ากลับมา ก็เพราะต้องทนร้อนทนแดด และเปียกฝนสลับกันไป จากสภาวะโลกเดือดที่ทุกคนต่างพูดถึง แต่ก็จะมาจากใคร ก็จากเราเองกันทั้งนั้น ... แม้จะมาทํางานบนภูเขาก็จริง แต่เขาก็ยังคงคิดถึงเหตุการณ์ภัยน้ําท่วมดินโคลนถล่มที่ผ่านมา อีกทั้งความเสียหายต่อข้าวของที่ต้องย้ายออกจากบ้านเช่าและค่าใช้จ่ายหลังน้ําท่วมที่ค่อนข้างเยอะพอควร และยิ่งในสภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจแบบนี้...

หมอกเย็นๆ พัดมาจากหุบเขา บรรยากาศเคลิบเคลื้มสบายๆ คุณยายฟูจิโกะ ปรากฏกายยืนอยู่ตรงหน้าเขา เลยได้มีโอกาสสนทนากันในหลายๆเรื่อง ... คุณยายบอกทิ้งท้ายไว้ว่า ให้เขานั้นเชื่อมั่นในธรรมชาติ ... กลิ่นไม้สนยังคงแตะจมูกเป็นระยะๆ ขณะนั่งรับลมเย็นๆ อ่อนๆ ใต้ต้นสนแห่งนี้ เขาคิดว่าที่นั่งคุยได้นานขนาดนี้ บรรยากาศคงจะคล้ายคลึงกันกับไม้สนฮิโนกิบนเกาะที่บ้าน แต่ก็คงไม่หอมเท่า
ยูบาซาโตะ มองแสงแดดตกกระทบบนสระน้ําใส ที่อยู่ตรงหน้าท่ามกลางทิวสน ทําให้เขาคิดถึงเหตุกา รณ์หลายๆ เหตุการณ์ที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน มาบรรจบกันผ่านกองดินและกลิ่นไม้สนที่นี่ได้ อย่างไร และรู้สึกว่าคงจะมีเหตุอะไรสักอย่างได้มาสนทนากับคุณยายที่หุบเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ... สายลมพัดผ่านเส้นเสียงของใบสน ระหว่างนั้น สุเครสิ ชี้ให้เขาดู กระรอกด่อน บนต้นสนไซเปรส ... “
เรื่องราวบนข้อเขียนข้างต้น เป็นเนื้อหาประกอบนิทรรศการศิลปะนิทรรศการหนึ่งที่น่าสนใจที่เรามี โอกาสได้ไปชมมา นิทรรศการที่ว่านี้มีชื่อว่า Monte Cy-Press โดย ‘อุบัติสัตย์’ ศิลปินร่วมสมัยชาวไทย ผู้อาศัยและทํางานอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ เขาเป็นศิลปินนักกิจกรรม นักเคลื่อนไหวทางสังคม ผู้ให้ความสําคัญกับการศึกษาข้อมูลเชิงลึก ที่มีผลต่อกระบวนการสร้างสรรค์ โดยมุ่งสร้างความเข้าใจและความร่วมมือกับผู้คนในหลากหลายอาชีพ ไม่ว่าจะเป็น เกษตรกร ช่างฝีมือ นักดนตรี หรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และสื่อสารผ่านผลงานศิลปะจัดวางเฉพาะพื้นที่ (Site-Specific Installation) ที่สร้างขึ้นในหลากสื่อหลายวัสดุ
”Monte Cy-Press แปลตรงตัวว่า “ภูเขาไซเปรส” แต่ผมใส่นัยยะอีกอย่างด้วยการให้มีขีดระหว่างคําว่า Cy กับ Press ซึ่งได้ข้อมูลจากนักประวัติศาสตร์ว่า รากศัพท์ของ Monte คือ Amount ที่แปลว่า จํานวน/ปริมาณ ส่วนรากศัพท์ของ Cy แปลว่า สิ่งของที่อยู่ในห้อง และรากศัพท์ของ Press คือ บีบ อัดแน่น รวมกันแล้วจึงแปลว่า “ปริมาณของสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในห้อง” เหมือนกายภาพของงานชุดนี้
งานชุดนี้ผมเริ่มต้นด้วยการเขียนเรื่องราวขึ้นมา โดยสมมติให้ตัวละคร ยูบาซาโตะ เดินผ่านแนวต้นสนไซเปรสขึ้นไปบนภูเขาศักสิทธ์ิไปสร้างสถูปดิน เพื่อปกปักษ์คุ้มครองรักษาป่า ซึ่งอ้างอิงจากการเดินทางไปทํางานศิลปะบนภูเขาในชีวิตจริงของผม”
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา บ้านเราต้องเผชิญกับภัยพิบัติน้ําท่วมครั้งใหญ่ฉับพลัน ที่เกิดขึ้นทั้งในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และอีกหลายจังหวัดทางภาคเหนือ ซึ่งเป็นอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบ 80 ปี ของประเทศไทย สถานการณ์นี้เกิดขึ้นจากปัจจัยหลายประการ ส่วนหนึ่งเกิดจากภาวะโลกเดือด หรือ สถานการณ์ที่สภาพภูมิอากาศของโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง จนทําให้เกิดสภาพภูมิอากาศวิปริตแปรปรวนทั่วโลก เกิดพายุฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ประกอบกับการบุกรุก ตัดไม้ทําลายป่าในพื้นที่ภูเขาทางภาคเหนือและในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อเปลี่ยนเป็นพื้นที่ปลูกข้าวโพดหลายล้านไร่ ทําให้ไม่มีต้นไม้ใหญ่คอยซับน้ํา จนน้ําฝนที่ตกลงมาไหลทะลักสู่แม่น้ําและเอ่อท่วมบ้านเรือนสองฟากฝั่งอย่างรวดเร็ว รวมถึงดินโคลนจํานวนมหาศาลที่เกิดจากการพังหลายของหน้าดิน เพราะไม่มีรากต้นไม้ใหญ่ยึดเอาไว้ รวมถึงผลกระทบจากเขื่อนขนาดใหญ่บนลําน้ําโขงตอนบนในประเทศจีน



อุบัติสัตย์เองก็ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติน้ําท่วมด้วยเช่นกัน เขาจึงตระเวนเก็บดินโคลนที่ไหลมากับน้ําท่วม ทั้งจากในสตูดิโอบ้านเช่าของเขาเอง และจากสถานที่ต่างๆ ที่ประสบภัยน้ําท่วม มาสร้างเป็น ผลงานศิลปะจัดวางเฉพาะพืื้นที่ ด้วยการถมกองดินจนอัดเต็มแน่นพื้นที่ห้องแสดงงานขนาดย่อมห้อง หนึ่งใน Meeting Room Gallery กองดินที่ว่านี้ก่อตัวขึ้นอย่างเป็นระเบียบในระนาบเดียวกันในความสูงประมาณ 80 เซนติเมตร ซึ่งสัมพันธ์กับระดับน้ําท่วมภายในสตูดิโอบ้านเช่าของเขา โดยวัดจากถนนด้านนอกตัวบ้านนั่นเอง
“ตัวงานของผมสะท้อนสภาวะของตัวผมเอง และผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ภัยพิบัติน้ําท่วม ที่ต้องใช้ดินจากหลายที่เพราะสิ่งที่เราเผชิญนั้นไม่ใช่แค่วิกฤตน้ําท่วม แต่มีเหตุการณ์วิกฤตซ้อนกัน หลายชั้น (Polycrisis) หลังจากน้ําลดลงไปแล้วก็ต้องเผชิญกับดินโคลนที่ไหลเข้ามาอีก บางบ้านดินโคลนไหลเข้ามาในบ้านสูงถึงหลอดไฟเพดาน คนที่เผชิญภัยพิบัติไม่ได้มีแค่ผมคนเดียว บางคนถึงกับหมดตัว ไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ ยิ่งมาเกิดในสภาวะเศรษฐกิจซบเซาแบบนี้ ผมเองก็เกือบหมดตัวเหมือนกัน แต่แทนที่ผมจะมานั่งตัดพ้อกับชีวิต บ่นไปก็ไม่ได้อะไร เจ็บช้ําน้ําใจเปล่าๆ ไหนๆ เจอเหตุการณ์แล้ว ผมก็เอามาทําเป็นงานศิลปะเสียเลย”

“อันที่จริง งานชิ้นนี้ดูสวยเกินไปด้วยซ้ํา เพราะมันผ่านกระบวนการต่างๆ มีการผสมใยสน และไม้สนลงไปในดิน เพื่อให้ดินยึดเกาะกัน และมีกลิ่นของต้นสน ที่ผมระลึกถึงเมื่อตอนที่เดินทางไปทํางานศิลปะบนภูเขา และได้สนทนากับศิลปินท่านหนึ่งใต้ต้นสน โดยเธอบอกให้ผมเชื่อมั่นในธรรมชาติ ทั้งๆ ที่ตัวผมเองก็เพิ่งประสบภัยพิบัติจากธรรมชาติมาหมาดๆ สิ่งนี้ทําให้ผมคิดได้ว่า ธรรมชาติยุติธรรมเสมอ เพราะมันปฏิบัติกับทุกคนโดยไม่เลือกเชื้อชาติ ฐานะ ชนชั้น หรือวรรณะใดๆ ทุกคนได้รับผลกระทบอย่างเท่าเทียมกัน”
“มีตอนหนึ่งในเรื่องเล่าข้างต้น ที่ผมเขียนบอกว่า “ชี้ให้เขาดู กระรอกด่อน บนต้นสนไซเปรส” คําว่า “ด่อน” ภาษาอีสานแปลว่า “เผือก” ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงงานอีกชุดที่ผมทําในนิทรรศการ ‘ปลาไหลเผือกลี้ ภัยยามฟ้าสาง’ (white eel in the dawn of the exile) ที่พูดถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ที่ได้รับผลกระทบจากแผนพัฒนาลําน้ําโขง สถานการณ์ภัยพิบัติน้ําท่วมเองก็ส่งผลกระทบให้ผู้คน จากประเทศเพื่อนบ้านจํานวนมากลี้ภัยหลั่งไหลเข้ามาตามชายแดนในประเทศไทย ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับผลงาน ‘BURMICA’ (2022) ที่ผมพูดถึงชะตากรรมของประชาชนในพม่าได้เหมือนกัน หรือในผลงานชุด ‘เรือเหาะสิงหนวัติกุมาร’ (Singha Nava Kumara Airship) ที่แสดงใน มหกรรมศิลปะ ไทยแลนด์เบียนนาเล่ เชียงราย ผมก็เคยคาดเดาเอาไว้ว่า อีก 6 ปีข้างหน้า น้ําน่าจะท่วมสามเหลี่ยมทองคํา เพราะผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ อย่างสภาวะโลกเดือด การบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อปลูกข้าวโพด และผลกระทบจากเขื่อนแม่น้ําโขง แต่ผมคํานวณผิด เพราะเพียงแค่ 6 เดือน หลังจากงานไทยแลนด์ เบียนนาเล่ เชียงราย น้ําก็มาเลย แถมมาจนถึงเชียงใหม่ด้วย ใจจริงผมก็ไม่อยากให้น้ําท่วมนะ แต่ถ้าดูจากปัจจัยต่างๆ แล้ว ก็ไม่แปลกเลยที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมา”

ที่น่าสนใจก็คือ การทํางานในลักษณะนี้ของอุบัติสัตย์ เป็นงานศิลปะที่แทบไม่มีความเป็นไปได้ในการขายเลยแม้แต่น้อย เพราะคงเป็นเรื่องยาก ที่จะหานักสะสมคนไหนมาซื้อดินกลับไปถมบ้านตัวเอง (ถึงแม้มันจะดูสวยเอาการก็เถอะ) นอกจากนักสะสมคนนั้นจะมีพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเป็นของตัวเอง และรักที่จะเก็บสะสมผลงานของศิลปินรุ่นใหม่นั่นแหละนะ
“การทํางานแบบนี้คืออิสรภาพของผม ศิลปินบางคนเขาจะทํางานเป็นธีม ทั้งเรื่องการเมือง สิ่ง แวดล้อม หรือสุนทรียะ ความสวยงาม อย่างภาพวาดคน หรือทิวทัศน์ แต่ผมทํางานโดยไม่มีธีม ผมเจออะไรกระทบใจ กระทบความคิด ผมก็ทํา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริบทเกี่ยวกับความเป็นท้องถิ่นที่ผมอาศัยอยู่ เพราะมันเป็นเรื่องใกล้ตัวผมที่สุด”

เมื่อได้ชมผลงานในนิทรรศการนี้ของอุบัติสัตย์ ทําให้เราอดนึกไม่ได้ว่า หน้าที่ของศิลปะ นั้นหาใช่ การนําเสนอความสวยงาม เป็นอาหารตาอาหารใจแต่เพียงเท่านั้น หากแต่ศิลปะสามารถสะท้อนสภาพสังคม ตีแผ่ความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์ หรือแม้แต่กระตุ้นเตือนให้เราหันกลับมาตระหนักถึงปัญหาเกี่ยวกับวิกฤตสภาพแวดล้อม และหันมาใส่ใจกับโลกที่เราอาศัยอยู่ได้บ้าง ไม่มากก็น้อย.
จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ 22 พฤจิกายน - 7 ธันวาคม 2024
ขอบคุณภาพจากศิลปิน อุบัติสัตย์, Photo by Kamonpan Tivawong
Monte Cy-Press ศิลปะจากกองดินที่สะท้อนน้ําหนักของภัยพิบัติ โดย อุบัติสัตย์
/
นิทรรศการครั้งล่าสุดของวศินบุรี สุพานิชวรภาชน์ ที่มีความหมายมากกว่างานศิลปะ แต่พาเราเดินทางอย่างลึกซึ้งไปถึงรากเหง้าประวัติศาสตร์ชุมชนจังหวัดราชบุรี สิ่งที่หล่อหลอมสู่ตัวตนของศิลปิน รวมถึงความคิด ความทรงจำ และการเชื่อมระหว่างตัวเขากับสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นดิน โลหะ หรือเทคโนโลยี ที่ไม่ใช่แค่ส่วนประกอบงานศิลป์ แต่เป็นภาษาที่บอกเล่าถึงการเปลี่ยนแปลง และส่งต่อสู่ผลงานที่ทำให้เราฉุกคิดว่าทุกสิ่งอยู่ในกระบวนการ “กลายเป็น” อยู่เสมอ
/
ในอดีตที่ผ่านมา ในแวดวงศิลปะ(กระแสหลัก)ในบ้านเรา มักมีคํากล่าวว่า ศิลปะไม่ควรข้องแวะกับ การเมือง หากแต่ควรเป็นเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึก ความงาม สุนทรียะ และจิตวิญญาณภายในอัน ลึกซึ้งมากกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะในยุคสมัยไหน ศิลปะไม่เคยแยกขาดออกจาก การเมืองได้เลย ไม่ว่าจะในยุคโบราณ ที่ศิลปะถูกใช้เป็นเครื่องมือรับใช้ชนชั้นสูงและผู้มีอํานาจ หรือใน ยุคสมัยใหม่ที่ศิลปะถูกใช้เป็นเครื่องมือแสดงออกถึงอุดมการณ์ทางสังคมการเมือง หันมามองในบ้าน เราเอง ก็มีศิลปินไทยหลายคนก็ทํางานศิลปะทางการเมืองอย่างต่อเนื่องยาวนาน ในการสะท้อนและ บันทึกประวัติศาสตร์การเมืองไทยได้อย่างเข้มข้น จริงจัง
/
เหตุการณ์นี้เป็นอุทาหรณ์ให้เรารู้ว่า การก๊อปปี้ก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป เพราะอย่างน้อยที่สุด ก็ทําให้ เราได้รู้ว่าผลงานต้นฉบับของจริงในช่วงเวลาที่เสร็จสมบูรณ์นั้นมีความดีงามขนาดไหน ไม่ต่างอะไรกับศิลปินร่วมสมัยสัญชาติไทยอย่าง วิชิต นงนวล ที่หลงใหลศรัทธาในผลงานของศิลปิน ระดับปรมาจารย์ในยุคสมัยใหม่ของไทยอย่าง จ่าง แซ่ตั้ง ตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ ในวัยของนักเรียน นักศึกษา เรื่อยมาจนเติบโตเป็นศิลปินอาชีพ ความหลงใหลศรัทธาที่ว่าก็ยังไม่จางหาย หากแต่เพิ่มพูน ขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็สุกงอมออกดอกผลเป็นผลงานศิลปะในนิทรรศการ The Grandmaster : After Tang Chang ที่เป็นเสมือนหนึ่งการสร้างบทสนทนากับศิลปินระดับปรมาจารย์ผู้นี้
/
หากเราเปรียบสงคราม และอาชญากรรมที่กระทำต่อมนุษย์ อย่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การสังหารหมู่ และการล่าอาณานิคม เป็นเหมือนการสร้างบาดแผลและความแตกร้าวต่อมวลมนุษยชาติ ศิลปะก็เป็นหนทางหนึ่งในการเยียวยาซ่อมแซมบาดแผลและความแตกร้าวเหล่านั้น แต่การเยียวยาซ่อมแซมก็ไม่จำเป็นต้องลบเลือนบาดแผลและความแตกร้าวให้สูญหายไปเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น หากแต่การเหลือร่องรอยแผลเป็นและรอยแตกร้าวที่ถูกประสาน ก็เป็นเสมือนเครื่องรำลึกย้ำเตือนว่า สิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว และไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นอีกซ้ำเป็นครั้งที่สอง เช่นเดียวกับสิ่งที่ปรากฏในนิทรรศการ “Urgency of Existence” นิทรรศการแสดงเดี่ยวครั้งแรกในเอเชียของ คาแดร์ อัทเทีย (Kader Attia) ศิลปินชาวฝรั่งเศส - แอลจีเรีย ผู้มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เขาเป็นหัวหอกในการทำงานศิลปะผ่านสื่ออันแตกต่างหลากหลาย ที่นำเสนอแนวคิดหลังอาณานิคม และการปลดแอกอาณานิคม จากมุมมองของตัวเขาเอง ที่มีประสบการณ์ทางตรงและทางอ้อมของผู้ที่เคยถูกกดขี่และถูกกระทำจากลัทธิล่าอาณานิคมในศตวรรษที่ผ่านมา
/
ในช่วงปลายปี 2024 นี้ มีข่าวดีสำหรับแฟนๆ ศิลปะชาวไทย ที่จะได้มีโอกาสชมผลงานศิลปะร่วมสมัยของเหล่าบรรดาศิลปินทั้งในประเทศและระดับสากล ยกขบวนมาจัดแสดงผลงานกันในเทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ 2024 ที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 แล้ว โดยในเทศกาลศิลปะครั้งนี้นำเสนอผลงานศิลปะจาก 76 ศิลปิน 39 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ภายใต้ธีมหลัก “รักษา กายา (Nurture Gaia)” ที่ได้แรงบันดาลใจจากเทพี ไกอา (Gaia) ในตำนานเทพปรณัมกรีก หรือพระแม่ธรณีผู้ให้กำเนิดและหล่อเลี้ยงสรรพชีวิต เพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์อันสอดประสานกลมกลืนกันระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ
/
เมื่อพูดถึงชื่อ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล หรือ เจ้ย มิตรรักแฟนหนังหลายคนน่าจะรู้จักเขาในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทยผู้เปี่ยมไปด้วยความเป็นศิลปะที่สุด ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย แต่หมายรวมถึงในสากลโลก ยืนยันด้วยรางวัลสำคัญจากเทศกาลภาพยนตร์ระดับโลกหลายต่อหลายรางวัล ไม่ว่าจะเป็นรางวัลยอดเยี่ยมในการฉายสายรอง (Un Certain Regard) จากภาพยนตร์เรื่อง สุดเสน่หา (Blissfully Yours) (2002) และรางวัลขวัญใจคณะกรรมการ (Jury Prize) จากภาพยนตร์เรื่อง สัตว์ประหลาด! (Tropical Malady) (2004) จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ ในปี 2002 และ 2004, หรือภาพยนตร์เรื่อง แสงศตวรรษ (Syndromes and a Century) (2006) ของเขาก็ได้รับเลือกให้เข้าชิงรางวัลสิงโตทองคำในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเวนิส ในปี 2006 และคว้ารางวัลกรังปรีซ์จากเทศกาลภาพยนตร์ Deauville Asian Film Festival ในปี 2007, และภาพยนตร์เรื่อง รักที่ขอนแก่น (Cemetery of Splendor) (2015) ของเขาก็คว้ารางวัลยอดเยี่ยมจากเวที Asia Pacific Screen Awards ในปี 2015, ที่สำคัญที่สุด อภิชาติพงศ์ยังเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รับรางวัล ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมปาล์มทองคำ (Palm d’or) จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ ครั้งที่ 63 ในปี 2010 จากภาพยนตร์เรื่อง ลุงบุญมีระลึกชาติ (Uncle Boonmee Who Can Recall His Past Lives) (2010), และล่าสุด ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องล่าสุดของเขาอย่าง Memoria (2021) ยังคว้ารางวัล Jury Prize ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ครั้งที่ 74 ในปี 2021 มาครองได้อีกครั้ง อีกทั้งยังได้รับเสียงวิจารณ์เชิงบวกอย่างท่วมท้นจากสื่อมวลชนนานาชาติ
We use cookies, localStorage and other technologies (collectively, "cookies") to recognise your browser or device, learn more about your interests, and provide you with essential features and services and for additional purposes. ( see details )