LOOKING ON EVERYTHING ?
EXPLORE ON EVERYTHING

มากกว่าความสวยงามคือการนำเสนอผลงานที่เป็นตัวตนผ่านศิลปะลายสัก
ด้วยลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์และรูปแบบงานสักของเขา ที่เรารู้สึกแปลกประหลาดกว่างานสักอื่น ๆ (แปลกประหลาดในที่นี้คือความหมายในแง่ดีนะ) ก็เลยตัดสินใจส่งข้อความทักไปหา “พี่นัทครับ ผมขอสัมภาษณ์พี่ได้ไหม” “ได้ครับ” สั้น ๆ แต่จบ เรื่องราวทั้งหมดก็เลยเริ่มต้นขึ้นที่ร้าน CAVETOWN.TATTOO แถว ๆ ปิ่นเกล้า ซึ่งพี่นัทเป็นเจ้าของร้านแห่งนี้ บทสนทนาของเราเริ่มกันในช่วงเวลาบ่าย ๆ ของวันพฤหัส พอไปถึงร้านพี่นัทกำลังติดงานสักให้กับลูกค้าอยู่หนึ่งคน พอได้เห็นลายที่เขาสักต้องบอกว่าเท่มาก ๆ มันมีความเป็น Psychedelic บวกกับ Ornamental ผสมผสานกับเทคนิค Dotwork จนกลายเป็นงานศิลปะบนผิวหนังหลังฝ่ามือ เราถึงกับต้องถามคำถามโง่ ๆ กับลูกค้าที่ถูกสักว่า “เจ็บไหม” แน่นอนคำตอบที่ได้คือ “โคตรเจ็บ” เพราะจุดที่สักคือหลังฝ่ามือ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่หลายคนร่ำลือกันว่าโคตรเจ็บ ระหว่างที่รอพี่นัทไปพลาง ๆ น้องแมคช่างภาพที่มีรอยสัก Full Sleeve เต็มแขนขวา ก็เริ่มกดชัตเตอร์กล้องถ่ายรูปเก็บภาพระหว่างที่เขาสักไปด้วย พอสักเสร็จเรียบร้อยก็ปล่อยให้พี่เขาพักผ่อนกินน้ำ ปัสสาวะ (อ่านแยกคำนะอย่าอ่านติดกัน) ก่อนจะพูดคุย แต่เดี๋ยว ! ก่อนจะเริ่มบทสนทนา เราขอเกริ่นให้ฟังซักนิดนึงเกี่ยวกับชายคนนี้ก่อน

“ชณัฏฐ์ หวังบุญเกิด” หรือ นัท ที่หลาย ๆ คน อาจคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี เพราะเขาคือหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งปาร์ตี้ “Dudesweet” กับพี่โน้ต - พงษ์สรวง และยังเป็นเจ้าของร้านเหล้าที่เท่ที่สุดในช่วงยุคปี 2003 - 2009 คือร้านที่ชื่อว่า “Lullabar” และในปัจจุบันอีกหนึ่งความชอบก็คือการเป็น “ช่างสัก” โดยในแต่ละเส้นสายที่พี่นัทได้ใช้เครื่องสักวาดลงบนผิวหนัง ล้วนเป็นการบอกเล่าถึงแนวคิดผ่านหมึก ผ่านจุด ผ่านเส้น ผ่านสี ผ่านแสงและเงา ซึ่งให้สิ่งที่เป็นมากกว่ารอยสักธรรมดา แต่คือการบันทึกเรื่องราวบนผิวหนังให้กับผู้คนที่หลงใหลในศาสตร์ศิลปะแขนงนี้ ลวดลายในแต่ละชิ้นงานล้วนมีความพิเศษที่นำพาเข้าสู่โลกของความคิดสร้างสรรค์อย่างไม่มีขอบเขต และยังสามารถพลิกผันความคิดสร้างสรรค์ให้เข้าสู่ห้วงอารมณ์แห่งความรู้สึกที่ไร้ขีดจำกัดเมื่อเวลาพบเห็น มันคือการผสมผสานศิลปะรอยสักให้เข้ากับทักษะฝีมือเชิงช่างได้อย่างมีความหมายเฉพาะตัว เกริ่นกันมามากมายเราเข้าสู่บทสนทนาระหว่าง #IAMEVERYTHING กับช่างสักคนนี้กันดีกว่า
ก่อนเปิดเข็มสัก
ผมเรียนศิลปะมาตั้งแต่ปวช.ก็คือช่างศิลป์ลาดกระบัง เรียนทุกอย่างของศิลปะ ปั้น เพ้นท์ เซรามิค ดรออิ้ง สถาปัตย์ แต่ว่าเรียนแค่เบสิคเพราะมันคือการเตรียมเข้าศิลปากร แต่ตอนมหาลัยวิทยาลัยผมไปเข้าที่ มศว มันเป็นคณะคอมพิวเตอร์กราฟฟิค เรียน Graphic Design พอเรียนจบก็ไปทำงานเป็น Graphic Designer, Web Designer ในยุคแรก ๆ เราก็ไปทํางานตรงสายก่อนเพราะไม่ได้มีต้นทุนอะไร เสร็จแล้วช่วงนั้นก็ทําปาร์ตี้ “Dudesweet” เป็นผู้ก่อตั้งกับโน้ต – พงษ์สรวง ก็ทําเพราะความสนุก ความมันส์ เป็นที่ตั้งนั่นแหละ มันสนุกกับปาร์ตี้จนรู้สึกว่าอยากมีเวลาแบบนั้นทุกวันก็เลยไปเปิดร้าน “Lullabar” แถว ๆ เสาชิงช้า ก็ถือเป็นร้านที่เปิดเพลงนอกกระแสร้านแรก ๆ และก็มีวงเล่นสดอย่าง Desktop Error, Slur, The Jukks, ภูมิจิต, The Yers, The Girl’s friend from internet, Abuse The Youth, Stylish Nonsense, Brown Flying ประมาณนั้น ระหว่างทําร้านเหล้าก็ไปทําร้านเสื้อที่ออกแบบเอง ไปทําร้านเบอร์เกอร์ พอมีแรงบันดาลใจอะไรเกิดขึ้นกับเราก็ไปทำสิ่งนั้น



“Blackwork” or “Dotwork”
งานผมมันไม่เชิง Blackwork แต่ที่ทุกคนเรียกเนี่ย ก็เพราะว่าด้วยกระแส Blackwork มันกำลังมา ก็เลยโดนรวมไปด้วย จริง ๆ ผมไม่ได้โฟกัสเพราะบางงานผมก็รู้สึกว่าอยากใส่สีอย่างอื่นเข้าไปด้วย คือไม่ได้เน้นไม่ได้โฟกัสว่าต้องเป็น Blackwork เพียงอย่างเดียว แต่สำหรับ “Dotwork” เนี่ย จงใจฝึกมาตั้งแต่แรก เพราะว่าผมชอบเทกเจอร์ของงานถ่ายเอกสาร คือสมัยก่อนเวลาเข้าห้องสมุดแล้วเจอภาพสวย ๆ เราก็อยากเก็บเอากลับบ้าน ซึ่งวิธีเดียวในตอนนั้นที่ทำได้ก็คือ “การถ่ายเอกสาร” เพราะเราไม่มีเงินซื้อหรอก แล้วหนังสือก็หายากเป็นหนังสือนอก หรือเวลาเจอพวกภาพหน้าปกเทปสวย ๆ เราก็อยากเก็บ ซึ่งภาพพวกนี้แหละเมื่อมันเป็นงานถ่ายเอกสาร เวลาเราสแกนขยายภาพก็จะเห็นเม็ดสีของ Grain ภาพที่มันจะแตก ๆ พวกนั้น เราก็รู้สึกว่ามันสวยดี ก็เลยลองดึงเอา Element ตรงนั้นมาปรับใช้กับงาน



ความเป็นตัวตน
ผมใช้ลักษณะของการทํากราฟิกที่เรียกว่า “Digital Collage” มาปรับใช้กับการออกแบบรอยสัก ก็คือการใช้ภาพต่าง ๆ เอามาประกอบกันให้เป็นเรื่องราวเรื่องเล่าเพื่อให้เกิดความรู้สึกใหม่ ๆ เช่นเอาหัวอันโน้นมาแปะกับตัวแบบนี้ มันคือการยำภาพ ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากพวกโปสเตอร์ยุค 80 ที่เป็นยุค Analogue ทุนต่ำ ๆ อย่างพวกวงดนตรีอันเดอร์กราว เขาก็จะใช้วิธีการตัดแปะ คอลลาจ และก็ถ่ายเอกสาร ทำเป็นใบปลิวเพื่อโปรโมทคอนเสิร์ตหรือปาร์ตี้มันก็จะมีความดิบ ๆ แข็ง ๆ หน่อย แต่ว่ามันจะได้อีกอารมณ์หนึ่ง ซึ่งถ้าถามว่าทำไมถึงชอบสไตล์แบบนี้ คือถ้าดูงานสักเยอะ ๆ เราจะเห็นภาพรวมบางอย่างที่เป็นแพทเทิร์นซึ่งมันไม่ทิ้งกันมาหลายสิบปีละ แล้ว Object ที่นํามาใช้ มันก็ดึงมาใช้ซ้ำ ๆ ผมก็เลยเกิดคําถามว่าทําไมมันมีแค่นั้น เป็นอย่างอื่นไม่ได้เหรอ ก็เลยพยายามเลือก Object ที่แตกต่างมาเป็นงานสักบ้าง คือยุคนี้มันมีความหลากหลายมากขึ้น รูปแบบทางสังคมมันเปลี่ยนเยอะในหลาย ๆ อย่าง ทุกอย่างมันค่อนข้างฟรีขึ้น แต่ทําไมรูปแบบการสักมันยังอยู่ที่เดิม ผมก็เลยอยากทดลองจนมันออกมาเป็นงานแฟลชที่อาจจะดูบ้า ๆ บอ ๆ เพี้ยน ซึ่งผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าจะมีคนอยากได้มันไหม ปรากฏว่า เออ มันก็พอมีนะ (ยิ้ม) ส่วนวิธีการเลือก Object สำหรับงานแฟลช ก็จะมองว่าอะไรที่มันน่าเป็นรอยสักบ้างแล้วมันยังไม่ค่อยมี คือผมมองรอยสักว่า “มันทั้งสําคัญและไม่สําคัญในทีเดียวกัน” อย่างเช่น มักจะมีคอนเทนต์ที่ชอบเล่าว่า รอยสักที่บ่งบอกถึงชีวิตคุณ, รอยสักที่มีความหมาย, รอยสักที่มันติดตัวคุณไปตลอดกาล อันนั้นเรียกว่าสําคัญแต่มันก็ไม่จริงทั้งหมด ผมมองว่าต่อให้เป็นเรื่องราวที่ค่อนข้างสําคัญกับเรา พอเวลาผ่านไปอายุเราโตขึ้นมันก็อาจจะไม่สําคัญอีกต่อไป ฉะนั้นการเลือกตอนนั้นกับตอนนี้มันต่างกัน เราอาจจะต้องปล่อยวาง เราสนุกกับมันได้ ถ้าเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่มันเล่าอะไรตรงไปตรงมามันก็น่าเบื่อ นึกออกมั้ย อย่างถ้ารักแฟนแล้วสักชื่อแฟนมันก็ตรงไปไหม เราอาจจะใช้ Symbolic บางอย่างที่มันพัฒนาต่อได้มันสามารถสนุกได้อีกเยอะ
ถ้ำปล่อยของ
CAVETOWN.TATTOO โปรเจคนี้มันเริ่มมาเมื่อสองปีก่อน ผมอยากได้อิสระในการทํางาน เราไม่อยากเสียโอกาสในการพัฒนาตัวเอง เรามีอีกพาร์ทนึงที่อยากจะไปให้ถึง อยากจะทําให้ดี อยากจะพิสูจน์ตัว ซึ่งมันต้องมีพื้นที่เพื่อสร้างขึ้นมา มันไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน คือเราต้องทดลองทํา ฝึกฝน มันต้องใช้เวลาเพื่อจะพัฒนางานของตัวเอง ดังนั้นมันต้องมีสเปซ อารมณ์แบบ ช่วงนี้อยากทํางานตัวเองขอพักก่อน ซึ่งถ้าเป็นที่ร้านอื่นเขาคงคงไม่แฮปปี้เพราะว่าเขาเสียลูกค้า เราปฏิเสธลูกค้าเขาเสียลูกค้าไปมันไม่ดีทั้งสองฝ่าย เราเลยอยากสร้างพื้นที่ ๆ ทุกคนมีอิสระในการทํางาน ซึ่งตรงนี้เรามีหุ้นส่วน 3 คน มีผม เต็นท์ และเอก ทุกคนเป็นช่างสักมีงานของตัวเอง ฉะนั้นสเปซตรงนี้เราไม่ซีเรียส เพราะทุกคนมีรายได้ เราก็เอาเงินจากรายได้ของแต่ละคนมาบริหาร เราก็ได้พื้นที่ ๆ เราทํางานแฮปปี้ แล้วก็มีน้อง ๆ ที่มาทํางานด้วยกันเขาก็ได้อิสระเหมือนเรา เวลามีงานเข้ามาใครอยากทําไหม ถ้าไม่อยากทําก็ไม่เป็นไร เราก็ไม่บีบ หรือถ้าใครมีงานออกแบบที่อยากจะพัฒนาการทำงานเราก็ช่วยโปรโมท ซึ่งส่วนใหญ่ร้านสักที่เมืองนอกเขาก็จะเป็นกันอย่างนี้ โดยเฉพาะร้านที่เขาโฟกัสเรื่องความเป็นอัตลักษณ์ของช่างแต่ละคนในแต่ละสไตล์งาน และเราก็ไม่ระบุว่าร้านนี้ต้องเป็นสไตล์ไหน เพราะผมมองว่ามันจะไปตันในตอนการเติบโต ถ้าสมมุติผมทํางาน Blackwork วันหนึ่งผมอยากทดลองใส่สีเข้าไปบ้าง อ้าวซวยละ อยู่ร้านนี้ไม่ได้แล้ว ผมมองเรื่องสเปซการเติบโตกับการทดลองของช่างมากกว่า

คือร้านมันแค่ “สถานที่” ไปโฟกัสพวกคนที่ทํางานดีกว่าว่าเขาสไตล์ไหนเพราะเขามีสไตล์ที่ชัดเจนอยู่แล้ว หลัก ๆ เราจะให้ความสําคัญกับคุณภาพของงานที่ตอบสนองลูกค้า คุณภาพของอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน ส่วนการคัดเลือกช่างสักสิ่งที่ต้องมีคือ หนึ่ง ต้องมีความตั้งใจสําหรับการมาเป็นช่างสักมันไม่ใช่ตั้งใจเดือนสองเดือน ซึ่งการจะมีทักษะที่ดีมันใช้เวลาหลายปี ขนาดผมในทุกวันนี้ยังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะยังไม่หมดเลยครับ โดยเราจะรู้ได้ก็เกิดจากการดูผลงานของเขา เพราะด้วยงานสักมันเป็นงานมือแล้วเรารู้ว่าสเต็ปมันเป็นยังไง ความคลีนของงาน ความเรียบร้อยของงานมันบอกถึงความตั้งใจความใส่ใจของช่างคนนั้น และก็สไตล์กับทิศทางไอเดียของงานที่เขาอยากจะพัฒนา เพราะเราไม่ได้เลือกช่างที่เข้ามาเพื่อซัพพอร์ตลูกค้าอย่างเดียว เราอยากให้ช่างคนนั้นทํางานตัวเองจนลูกค้าเข้ามาหา โดยเราก็จะช่วยสนับสนุนเขา ช่วยดูว่าต้องแก้ไขตรงไหน และอะไรที่เราสอนได้ก็ช่วยกันสอน ไม่ว่าจะเป็นการเดินเส้น การถม การลงเงา แต่เรื่องการพัฒนางานทุกคนต้องสู้เอง ต้องขยันในการออกแบบ ต้องขยันในการออกสื่อ ซึ่งในยุคนี้แน่นอนสื่อคือสิ่งสําคัญ คือจะรอเราช่วยอย่างเดียวไม่ได้ทุกคนต้องเดินไปด้วยกัน และถ้าเทียบกับร้านอื่นแล้วการให้เปอร์เซ็นต์ของที่นี่ผมว่าน่าจะเยอะที่สุดแล้วนะเราแบ่งมานิดเดียวเลย เรียกว่าเป็นค่าข้าวของเครื่องใช้ ค่าไฟ ค่าดูแลสถานที่ เพราะว่าอย่างที่บอกเราไม่ใช่ Business Man ฉะนั้นเราไม่ซีเรียสเรื่องเงิน เราจะไม่บี้ให้น้องต้องรับงานนี้นะเพราะว่าร้านต้องการเงิน ผมอยากให้มันเป็น Work Space ที่มาทํางานกันแล้วก็แฮปปี้ มานั่งถกกันเรื่องปัญหาที่เกิด มานั่งคุยกันว่าจะพัฒนายังไง อยากให้มันเป็นแบบนั้นมากกว่า


และในอนาคตผมอยากจะพัฒนาพื้นที่ตรงนี้ให้มันเป็นเหมือน Store ที่ขายงานของ Local ดีไซน์เนอร์และอาร์ติส เราอยากจะซัพพอร์ตให้เป็นคอมมูนิตี้ของพวกเขา ให้เป็นสถานที่แลกเปลี่ยนไอเดียสำหรับคนทำงานศิลปะซึ่งกันและกัน อยากเป็นพื้นที่สนับสนุนคนที่มีผลงานแต่ไม่มีที่ทางให้แสดงออก ซึ่งที่ผ่านมานอกเหนือจากงานสักแล้ว เราก็ทำพวกงานโปรดักส์แบบต่าง ๆ จัดงานอีเว้นท์ จัดงานปาร์ตี้ ซึ่งทั้งหมดนี้เรามองว่ามันต่อยอดได้ อย่างที่เราเคย Tribute งานของ MAMAFAKA ที่เปลี่ยนจากกราฟฟิตี้มาเป็นรอยสัก ผมก็มองว่าทุกอย่างมันปรับเปลี่ยนได้ ซึ่งอย่างทางฝั่ง illustrator หรือ street art ที่มาแจมงานด้วย เขาก็ได้เห็นอีกมุมมองว่า ปกติเขาพ่นบนกําแพงผลงานมันก็อยู่ที่นั่น แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นรอยสักติดตัวคนผลงานของเขามันสามารถเดินไปไหนมาไหนได้ โชว์งานทั่วประเทศและข้ามประเทศได้ ก็เป็นอีกมุมมองหนึ่งที่เขาก็ชอบ

มุมมองปัจจุบันคิดว่างานสักเทียบเท่ากับงานศิลปะได้แล้วหรือยังสำหรับประเทศไทย
“ยังครับ” เพราะงานสักมันมีสเต็ปกว่างานอาร์ตประเภทอื่น คือถ้าเป็นงานเพ้นท์คุณก็หยิบเฟรมแล้วเพ้นท์ได้เลย แต่งานสักเราต้องให้ลูกค้ายินยอมมันจะมีสเต็ปอีกสเต็ปหนึ่ง ซึ่งถ้าเป็นงานอาร์ตจริง ๆ มันจะเกิดจากที่ศิลปินสะสมประสบการณ์และเรื่องราว จากนั้นก็มาเขียนลงบนผ้าใบหรือทำเป็นงานศิลปะแบบต่าง ๆ ตามสิ่งที่เขาจะตีความออกมา เสร็จแล้วก็นำไปจัดแสดงเพื่อขาย ถ้าลูกค้าชอบใจก็ซื้อ แต่ “งานสักยังไม่ใช่” เรายังมีการผสมผสานงานกับสิ่งที่ลูกค้าบรีฟความต้องการอยู่ เราตีความว่าช่างสักยังเป็น “ดีไซเนอร์” รอยสักยังเป็น “งานออกแบบ” อยู่ในปัจจุบัน แต่ว่าวิธีที่จะทําให้งานสักกลายเป็นงานศิลปะได้ก็คือ การคิดงานแฟลชออกมาในสไตล์ตัวเอง เล่าเรื่องราวของตัวเอง เขียนมาแล้วลูกค้าซื้อ และอยู่ได้ด้วยงานตัวเองทั้งหมด ถึงจะเรียกว่า “งานศิลปะ”
ซึ่งในต่างประเทศก็มีช่างสักหลาย ๆ คนที่ทําได้ และในประเทศไทยก็มีช่างสักส่วนหนึ่งที่เริ่มจะเปลี่ยนให้มันเป็นงานศิลปะ โดยขายงานตัวเองหรือสร้างงานแฟลชขึ้นมา ผมว่าสำหรับประเทศไทยมันกําลังเติบโตอยู่ แต่ว่ามันยังไม่ถึงจุดที่เรียกงานสักว่าเป็นงานศิลปะได้ร้อยเปอร์เซ็นต์จริง ๆ เพราะถ้าเรายังไม่มีงานที่ขายได้ตลอดเราก็ต้องพึ่งออเดอร์จากลูกค้าเพื่อให้มีชีวิตรอดด้วย ซึ่งถึงแม้จะไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เราก็แค่ขอเปอร์เซ็นต์ที่มันเยอะขึ้นเท่านั้นเอง อย่างน้อง ๆ ช่างสักสมัยใหม่ส่วนใหญ่ก็มีพื้นฐานจากการเรียนศิลปะมา เขาก็มีมุมมองต่องานสักที่แตกต่างจากเดิม บางคนจบภาพพิมพ์ บางคนจบเพ้นท์ บางคนทํา NFT โคตรเจ๋งเลย แต่งานพวกนั้นถ้าจะเปลี่ยนมาเป็นรอยสักมันไม่อยู่ในหมวดหมู่ไหนเลย “ถ้าลูกค้ายังโฟกัสที่แค่หมวดหมู่” ซึ่งผมว่ามันแปลกนะที่มันยังไม่มีที่อยู่ทั้ง ๆ ที่มันสวยมาก แต่ก็นั่นแหละการที่งานสักจะเป็นงานศิลปะได้จริง ๆ มันมีองค์ประกอบหลายอย่าง ทั้งจากลูกค้าที่ต้องยอมเปิดใจกับค่านิยมใหม่ ๆ ของลวดลายงานและคำว่ารอยสัก จากช่างสักที่ต้องผลิตผลงานในสไตล์ของตัวเองให้ชัดเจน และจากค่านิยมของคนไทยที่ต้องเลิกมองรอยสักในแบบเก่า ๆ

https://www.instagram.com/inksmith_bkk/?hl=en
https://www.facebook.com/cavetowntattoo/
.
Writer : Samattachai B.
Photographer : Mc Suppha-riksh Phattrasitthichoke
Nat Inksmith (ชณัฏฐ์ หวังบุญเกิด) มากกว่าความสวยงามคือการนำเสนอผลงานที่เป็นตัวตนผ่านศิลปะลายสัก
/
แค่ได้อ่านชื่อ ก็เชื่อว่าคิ้วของทุกคนคงต้องผูกกันเป็นปมด้วยความสงสัยแล้วว่า ‘บะหมี่ถ้วย ใช้ชื่อนี่เป็นชื่อศิลปินจริงดิ’, ‘มาทำเพลงเอาตลกหรือเปล่าเนี่ย’ บอกไว้ก่อนเลยว่า ไม่ ไม่ตลกเลย เพราะชีวิตที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังผลงานเพลงของ Cupnoodle หรือ “ซาช่า โจสท์” นั้น เต็มไปด้วยความพยายาม ความตั้งใจ จนบางครั้งก็ต้องยอมเสียสละบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้ได้ไขว่คว้าความฝันวัยเด็กในการเป็นศิลปิน ที่ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านนั้น เธอแทบจะผ่านประสบการณ์การลงมือทำมาหมดทุกอย่างแล้วเพื่อเข้าใกล้วงการดนตรีให้ได้มากที่สุด (ซึ่งเยอะจนเราเชื่อว่าคงเขียนเล่าได้ไม่ครบ) แต่แม้จะมุ่งมั่นออกตัววิ่งบนเส้นทางนี้ไปด้วยความรวดเร็วมากเท่าไหร่ ซาช่า ที่ ณ ตอนนั้นใช้ชีวิตอยู่ที่ลอนดอน ก็ยังคงไม่เห็นเส้นชัยของตัวเองสักที
/
ทันทีที่ Key Visual สถาปนิก’ 68 เผยแพร่ออกมา บทสนทนาปลุกสัญชาตญาณนักสืบในตัวทุกคนพร้อมใจกันทำงานแบบ Autopilot และระหว่างที่ตามหาเฉลยกันจริงจัง ทุกคนเริ่มหันมาตั้งคำถามต่อว่า Art Toys เกี่ยวข้องกับธีมงานอย่างไร รู้ตัวอีกทีวงสนทนาก็กระเพื่อมขยายกว้างขึ้น ส่งสัญญาณชัดว่า Key Visual ปีนี้เปิดฉากมาแบบสนุกเอาเรื่อง โดนเส้นกันสุดๆ
/
วัลลภ รุ่งกำจัด หรือ อุ้ม นักแสดงที่เชื่อมโยงความเป็นมนุษย์กับโลกของภาพยนตร์ ผ่านการสร้างชีวิตให้ตัวละครต่าง ๆ ได้ออกมาโลดแล่นแสดงความรู้สึกทางอารมณ์ให้กับผู้ชม แม้เขาจะไม่ได้เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงในวงกว้างเทียบเท่ากับนักแสดงกระแสหลัก แต่ในเวทีระดับโลก “อุ้ม” ได้พิสูจน์ตัวเองกับการเป็นนักแสดงที่มีความสามารถที่ยอมทุ่มเทหลาย ๆ สิ่ง ให้กับงานศิลปะด้านการแสดงในภาพยนตร์เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้อย่างสุดตัว
/
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้เราได้รู้จักกับเธอคนนี้ในชื่อของ พัด หรือที่ชอบเรียกติดปากกันว่า พัด ZWEED N’ ROLL เจ้าของเสียงทุ้มมีเสน่ห์ นักร้องและนักแต่งเพลงที่ฝากผลงานเพลงเศร้าเอาไว้ในวงการมากมาย อาทิ ช่วงเวลา, Diary, อาจเป็นฉัน และอีกมากมาย ไม่มีอะไรแน่นอนแม้กระทั่งตัวเราเอง ช่วงเวลาจึงได้พัดพาให้เรามาทำความรู้จักกับ “MAMIO” ในฐานะศิลปินใหม่จากค่าย Warner Music Thailand ซึ่งเป็นอีกตัวตนหนึ่งของคุณพัดที่ไม่เคยถูกปลดปล่อยออกมาเลยตลอดชีวิตการทำงานในวงการสิบกว่าปีที่ผ่านมา หรือถ้าจะให้ซื่อสัตย์กับตัวเองจริง ๆ ก็อาจจะเป็นทั้งชีวิตที่เกิดมาเลยเสียด้วยซ้ำ
/
Whispers เป็นหนึ่งในวงดนตรีที่สะท้อนการเติบโตของวงการ Hardcore ในประเทศไทยอย่างแท้จริง ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงกลุ่มเพื่อนที่หลงใหลในดนตรี เพราะนอกจากจะเป็นผู้เล่น พวกเขายังเป็นกำลังสำคัญที่คอยผลักดันซีนฮาร์ดคอร์ในบ้านเรามาโดยตลอด ประสบการณ์ที่สั่งสมทำให้เกิดเป็นสไตล์เฉพาะของ Whispers สร้างความแตกต่างและเป็นเอกลักษณ์ จนทำให้พวกเขาก้าวไปสู่เวทีระดับสากล ถึงแม้พวกเขาจะอยู่ใต้ดินของไทย แต่เสียงคำรามของพวกเขาก็ดังไปไกลถึงทวีปยุโรป มาพบกับเส้นทางดนตรีที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจและการเปลี่ยนแปลง กับวงฮาร์ดคอร์ระดับบท็อปของ Southeast Asia
/
ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปีวงดนตรีสัญชาติไทยที่ชื่อ KIKI ได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในวงที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากทั้งในประเทศไทย ญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ ฮ่องกง ก็เพราะด้วยเสียงเพลงที่มีความเป็นเอกลักษณ์ และการนำเสนอแนวคิดที่ไม่เหมือนใคร รวมถึงความตั้งใจในการสร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนถึงตัวตนของพวกเขาได้อย่างชัดเจน
We use cookies, localStorage and other technologies (collectively, "cookies") to recognise your browser or device, learn more about your interests, and provide you with essential features and services and for additional purposes. ( see details )