คิดนอกกรอบกับผู้อยู่เบื้องหลัง สองแบรนด์ดัง LALALOVE และ CHADA | IAMEVERYTHING.CO

LOOKING ON EVERYTHING ?

EXPLORE ON EVERYTHING

คิดนอกกรอบกับผู้อยู่เบื้องหลังสองแบรนด์ดัง
LALALOVE และ CHADA

ในยุคสมัยที่การอัปเดตเทรนด์ใหม่ๆ สำคัญไม่แพ้การรักษาความเป็นตัวเอง สองแบรนด์ดัง LALALOVE และ CHADA ใช้พลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ในการฉีกกรอบกฎเกณฑ์เดิมๆ เพื่อสร้างสีสันให้วงการแฟชั่นและความงามทั้งในและต่างประเทศ เรื่องราวของพวกเขาจะสร้างแรงบันดาลใจดีๆ ให้กับใครหลายๆ คน

“ตัวตนของ LALALOVE คือความขี้เล่น สนุกสนาน มีเอกลักษณ์ เราทำ Sustainable Fashion (กระบวนการผลิตเสื้อผ้าแฟชั่นอย่างยั่งยืน) มาตั้งแต่ปีแรกที่เริ่มแบรนด์เลย เสื้อยืดทำจากผ้า Organic Cotton จากญี่ปุ่น ซึ่งเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วตอนที่เริ่มแบรนด์นั้น มันยังไม่มีเทรนด์ของการไม่ใช้หลอด หรือการหันมาใช้วัสดุกระดาษ ฯลฯ
มาถึงตอนนี้ มันกลายเป็นความ Contrast ที่ว่า เราเป็นแบรนด์สตรีทที่บวกความยั่งยืนเข้าไปด้วย เรามีการออกแบบชุดว่ายน้ำที่ดูแฟชั่นจ๋ามาก แต่ในส่วนของผ้าเป็นเส้นใยที่ทำจากขวดพลาสติกที่เป็นขยะอยู่ในทะเล เราพยายามทำอะไรที่มันดีต่อโลก และจะทำไปเรื่อยๆ”

  สำหรับคุณลินดา เจริญลาภ เจ้าของแบรนด์ LALALOVE เธอเชื่อว่าไม่มีคำว่า “ชอบที่สุด” ในโลกของคนที่ทำงานด้านแฟชั่น “บางครั้งดีไซน์คอลเล็คชั่นใหม่ออกมาสักประมาณสามเดือนก็เริ่มรู้สึกเบื่อจนต้องมีการพัฒนาขึ้นใหม่อีกแล้ว” คุณลินดากล่าว “เรามีการอัปเดตตลอดเวลา เราต้อง Keep it going”

   ราวสิบปีแล้วที่ LALALOVE ก้าวเข้าสู่ตลาดเสื้อผ้าแฟชั่น โดยเริ่มต้นที่ประเทศอังกฤษก่อนที่จะขยายไปที่อิตาลี ผลตอบรับดีกลายเป็นแรงกระตุ้นให้คุณลินดาเปิดบริษัทอย่างเต็มตัว เธอเรียนรู้จากประสบการณ์และพัฒนาแบรนด์ของเธอขึ้นทุกปีจนเป็นที่นิยมอย่างต่อเนื่อง “เราจะ Keep it going แบบนี้ไปเรื่อยๆ คือให้มันเติบโตอย่างสวยงาม และเป็นธรรมชาติ เราไม่ได้รีบร้อนที่จะเติบโตจนเกินไป คือเรามีกำลังคนประมาณนี้ เราก็ทำ ประมาณนี้” คุณลินดากล่าว “นั่นคือความยั่งยืน ค่อยๆ พัฒนาไปด้วยกันกับทีมของเรา ไม่ได้คาดหวังล่วงหน้าเป็น 10 - 20 ปี เป้าหมายของเราอยู่แค่ว่าต้องพัฒนาไปอย่าง มีความสุข และอารมณ์ดี แบบนั้นคือ LALALOVE ค่ะ”

   “สตรีทแวร์จะไม่หายไปหรอก แต่จะพัฒนามากขึ้นไปอีก” คุณลินดากล่าว ในยุคของโลกโซเชียลมีเดีย เธอมองว่าทุกคนมีความมั่นใจในการแต่งตัวมากขึ้น ไม่มีอะไรผิดไม่มีอะไรถูก นั่นคือสิ่งที่ทำให้สตรีทแวร์ยังคงอยู่ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในโลกแฟชั่น เธอมั่นใจว่า LALALOVE จะสามารถยืนหยัดเป็นตัวเลือกในใจของคนที่รักแฟชั่นได้อย่างมั่นคง “เราไม่ได้มองว่าลูกค้าเราเป็นใครมากนัก แต่เราดูที่เรารักที่จะทำอะไรมากกว่า” ลินดากล่าว “จุดสำคัญที่สุดคือต้องทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม อีกทั้งเป็นตัวของตัวเอง”

   เมื่อถามคุณลินดาว่า LALALOVE จะเป็นยังไงในปี 2090? เธอตอบอย่างมั่นใจว่า “แบรนด์ LALALOVE คงกลายเป็นเจเนอเรชันที่ 3 แต่ LALALOVE ก็จะยังเป็น LALALOVE นี่แหละ ทั้งคอนเซ็ปต์ ความมั่นคงในสไตล์ และเอกลักษณ์ของเรา เพราะจริงๆ ความขี้เล่นสนุกสนาน อยู่คู่กับมนุษย์ทุกยุคทุกสมัยอยู่แล้ว แต่ตอนนั้นคงต้องมีการพัฒนาในเรื่องเทคโนโลยีและดิจิทัล จากตอนนี้ที่เราเน้นความยั่งยืน เมื่อถึงปี 2090 ก็คงต้องใช้คำว่า ความยั่งยืนที่มาพร้อมเทคโนโลยี เอาปัจจัยสองอย่างนี้มาผสมผสานกัน”

  “สนีกเกอร์ที่ชอบคือ Nike Air VaporMax มีหลายคู่มาก เพราะชอบมาก เป็นแฟนตัวจริงเลยค่ะ มีประมาณ 7 - 8 คู่ มีทุกสี เพราะใส่สบาย และตอนนี้จะมีที่ออกใหม่เลยคือ Nike Air Max 2090 ชอบสีสันที่เลือกใช้ของคู่นี้มาก แล้วก็ใส่สบายแถมยังเก๋อีกด้วย

  เราให้คุณลินดาจับคู่เสื้อผ้า LALALOVE กับ Nike Air Max 2090 ซึ่งดูจะเป็นโจทย์ที่ง่ายและทำให้เธอสนุกมาก “เซ็ตที่ 1 ใส่เสื้อแจ็คเก็ตบอมเบอร์แบบโอเวอร์ไซส์กับเสื้อผ้าแนวสปอร์ตข้างใน แล้วใส่กับ Nike Air Max 2090 ก็จะแซ่บ สวยค่ะ, เซ็ตที่ 2 ใส่ Trench Coat ตัวเดียวใหญ่ๆ กับรองเท้า Nike Air Max 2090 ก็สวยเหมือนกัน, เซ็ตที่ 3 ใส่เสื้อฮาวายตัวใหญ่ๆ กับชุดเดรสข้างใน แล้วก็ใส่กับรองเท้า Nike Air Max 2090 อันนี้ก็เหมาะสำหรับผู้หญิงค่ะ”

“CHADA (ชาฎา) เป็นแบรนด์ที่นำเสนอสีไทยโทน โดยสินค้าไลน์แรกของเราเป็นน้ำยาทาเล็บ” สองสาว ก้อย-พรชนก จิระเกียรติวัฒนา และ บิว-จุฬาพร อิกิติสิริ เล่าถึงแบรนด์ของพวกเธอ “เราไปเจองานวิจัยของอาจารย์ไพโรจน์ พิทยเมธี ซึ่งเป็นงานวิจัยที่ทำให้เราได้รู้จักกับสีไทยโทน เราหยิบงานวิจัยนี้มาเพื่อที่จะเผยแพร่สู่วงกว้าง แล้วมาตีโจทย์ว่ามันสามารถนำเสนอเป็นสินค้าอะไรได้บ้าง ก็สรุปกันว่า น่าจะทำเป็นสีของน้ำยาทาเล็บเพราะเป็นสินค้าที่สามารถนำเสนอความเป็นสีไทยโทนได้ดี” ด้วยความหลากหลายของสีไทยโทนซึ่งมีมากกว่า 300 เฉดสี CHADA เลือก 80 เฉดสีมาใช้กับน้ำยาทาเล็บ และยังมีโครงการที่จะนำสีอื่นๆ มาใช้กับสินค้าใหม่ๆ ในอนาคตอีกด้วย

   หลังจากก่อตั้งมาราว 2 ปี เฉดสีที่ CHADA เลือกใช้ทำให้แบรนด์ได้รับความสนใจมาอย่างต่อเนื่อง “เราทำคอลเล็คชั่นพิเศษโดยได้แรงบันดาลใจจากนางในวรรณคดี 5 นาง แล้วจัดเซตสีให้เข้ากับคาแรคเตอร์และเรื่องราวของแต่ละนาง ซึ่งก็จะแตกต่างกันไป โดยนำเสนอในมุมที่ดูทันสมัยขึ้น ซึ่งนางในวรรณคดีแต่ละคนที่เราเลือกมาจะเป็นคนที่สวยมากของยุค สวยมากขนาดที่ว่าผู้ชายต้องมาแย่งกันเพื่อที่จะได้หัวใจของหญิงเหล่านั้น(ฮา) อย่างเช่น เซตสีที่เป็นนางมัทนา เค้าจะเป็นตำนานของดอกกุหลาบ ทีนี้เราก็มาตีความว่าดอกกุหลาบจะมีหลายเฉด เราเลยนำเสนอเป็นโทนชมพูถึงสีแดงเข้ม” คุณบิวเล่า “ในส่วนของสีก็จะบ่งบอกถึงนิสัยใจคอของเขาด้วย อย่างนางเอื้อยหรือปลาบู่ทอง ที่เรารู้จักกัน ก็โดดเด่นเรื่องความกตัญญู ความอ่อนหวาน เราก็จะจัดเซตสีให้เป็นสีพาสเทลให้ดูเป็นผู้หญิงเรียบร้อย หรือถ้ายกตัวอย่างนางรจนา เค้าก็จะมีสติปัญญาล้ำเลิศ เราก็ตีความและนำเสนอด้วยสีโทนม่วงๆ ค่ะ” คุณก้อยเสริม

   เมื่อความเป็นไทยถูกนำเสนอในรูปแบบที่ทันสมัยและสร้างสรรค์ CHADA ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าความเป็นไทยนั้นอยู่เหนือกาลเวลา “แรงบันดาลใจของแต่ก่อนมันยังคงอยู่ในปัจจุบัน เฉดสีของไทยได้รับความนิยมในวงการความงามมาก เพราะมีการพิสูจน์มาประมาณหนึ่งแล้วว่า สีไทยเป็นสีของเอเชีย คนเอเชียมักจะชอบสีโทนไทยค่ะ จากที่เราได้จำหน่ายสีทาเล็บไป มันก็ไม่ใช่แค่คนไทยเท่านั้น กัมพูชา พม่า เวียดนามก็ติดต่อเข้ามา รวมถึงยังมีฝั่งแอฟริกาใต้ก็ยังสนใจเราเหมือนกัน” คุณก้อยกล่าว

   เมื่อพูดถึงความนอกกรอบของแบรนด์ คุณก้อยเล่าว่า “แรงบันดาลใจหรือเรื่องราวที่เราหยิบมาใช้มันมีความเป็นไทยอยู่ เวลาหยิบองค์ประกอบต่างๆ มาออกแบบหรือทำให้เป็นไทย เราก็พยายามทำให้มันหลุดจากกรอบเดิมๆ ถ้าเราไม่ใช้ช้าง ม้า ยักษ์ วัดวาอาราม บ้านทรงไทย แล้วเราจะต้องใช้อะไรให้คนรู้ว่าเราเป็นไทย และนี่คือความท้าทาย”

  หลังจากการค้นหาสิ่งที่จะสื่อถึงความเป็นไทยและแสดงอัตลักษณ์ของแบรนด์ได้อย่างลงตัว ในที่สุดคำตอบ ก็คือชื่อของแบรนด์ CHADA ที่ตอบโจทย์ทั้งในเชิงความหมายและภาพลักษณ์ “ตอนแรกที่คุยกัน เรายังไม่รู้หรอกว่าจะต้องใช้ชื่ออะไร แล้วบิวก็เสนอขึ้นมาว่า ‘ชฎา’ ไหม เราก็คิดตรงกัน เพราะ 1. ชฎาก็มีความเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงมงกุฏของไทย มันเป็นสัญลักษณ์ที่คนไทยรู้กันอยู่แล้วว่ามันเป็นของไทย 2. ความเป็นมงกุฏนี่มันเหมือนเป็นการพรีเซ็นต์คำว่า Beauty เพราะจากภาพจำของทุกคน สาวที่ได้สวมชฎาคือสวยทุกคน เรียกว่ามงลงน่ะค่ะ” ก้อยเล่า “ทีนี้ตามความเชื่อคือ ชฎามีครู มีความเป็นของสูงในความเชื่อของไทย การนำสัญลักษณ์ชฎามาใช้เราก็กลัวจะมีประเด็นอ่อนไหวของคนไทยเหมือนกัน เราจึงคิดต่อว่าจะนำสัญลักษณ์ของชฎามาลดทอนให้มีความเป็น Silhouette (ภาพเงา) ในโลโก้ ให้มันดูร่วมสมัยขึ้นแต่ก็ยังเห็นได้ว่าเป็นชฎา ส่วนชื่อแบรนด์ที่เป็นภาษาไทยของเราก็ไม่ได้ใช้คำว่า ชฎาตรงๆ เรานำมาปรับเป็น ชาฎา แทนค่ะ”

   เมื่อถามถึงสีทาเล็บในปี 2090 คุณก้อยตอบว่า “คนส่วนใหญ่ที่ทาเล็บมักจะเป็นผู้หญิง เราเลยตั้งคำถามว่าผู้หญิงในปี 2090 จะเป็นยังไง แล้วเราก็คิดว่า ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ผู้หญิงมีความมั่นใจขึ้น มีอิสระเสรีมากขึ้น เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น และมีจุดยืน เราก็เชื่อว่าจากวันนี้จนถึงปี 2090 ผู้หญิงก็คงจะมีตัวตนที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ และเราก็คิดว่าสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยในมนุษย์คือ สามัญสำนึก เช่นเรื่องอารมณ์ ความรู้สึก ความอยาก ความชอบ จึงทำให้เราสรุปสีเล็บของ 2090 ได้ว่าเป็น "Color of your wish” คือ สีเล็บที่ปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ โดยที่ไม่ต้องทาใหม่แต่สามารถปรับได้ตามอารมณ์ ปรับได้ตามดินฟ้าอากาศ แต่สุดท้ายก็ยังจะคงอยู่ในพื้นฐานของสีไทยโทน”

   เมื่อถามถึงเสน่ห์ของสนีกเกอร์ คุณบิวตอบว่า “ในแง่ของอุตสาหกรรมแฟชั่น รองเท้าสนีกเกอร์มีเสน่ห์มาก คนใส่สนีกเกอร์กันเยอะขึ้น เดี๋ยวนี้ไม่ได้ใส่เล่นแค่กีฬา แต่คนใส่เพื่อความสวยงามก็มีด้วย” ส่วนคุณก้อยตอบว่า “คนไม่ได้ซื้อสนีกเกอร์เพื่อแต่งตัวอย่างเดียวแล้ว คนสะสมก็เยอะค่ะ ถ้าพูดถึงสนีกเกอร์จาก NIKE ที่ชอบใส่ ก็ชอบ Nike Air VaporMax เพราะใส่สบาย ถ้าไปเมืองนอกเราก็จะหยิบคู่นี้ไปด้วยทุกครั้ง เวลาถ่ายรูปก็ดูขายาว ขาสวยด้วย” และเมื่อถามถึง Nike Air Max 2090 คุณบิวตอบว่า “จริงๆ แล้วชอบ Air Max อยู่แล้ว ก็รู้สึกว่ามันใส่สบายมาก เป็นรองเท้าที่เบา ใส่เดินแล้วสบายเพราะมีความยืดหยุ่น” ส่วนคุณก้อยตอบว่า “ส่วนตัวชอบสนีกเกอร์สีขาว เพราะสนีกเกอร์สีขาวมีกี่คู่ก็เข้ากับทุกชุด แล้วพอมาเจอ 2090 ด้วยความขาวที่ซ่อนชิ้น Material ที่ต่างกันทำให้มันดูมีเสน่ห์ขึ้น พอแต่งตัวแล้วก็รู้สึกสนุกขึ้น”

   การเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยทำให้คนต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา การมอบความสุขเล็กๆ น้อยๆ ให้กับตัวเองจึงเป็นเหมือนการเติมพลังให้พร้อมที่จะออกไปผจญกับโลกภายนอก ซึ่งความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน บางคนชอบการแต่งตัว บางคนสนใจอาหารการกิน “สำหรับเรา ความสวยความงาม คือความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยให้เราผ่อนคลาย” บิวกล่าว “แต่แบรนด์ CHADA ไม่เคยปิดกั้น เราชอบรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นของลูกค้าหรือคนที่มองเข้ามา เพราะเราสามารถนำความเห็นพวกนี้ไปพัฒนาแบรนด์ต่อได้ คิดว่าเป็นไดเร็คชั่นที่ยังสนุกได้อีกเยอะค่ะ” ก้อยเสริม

  จากความคิดสร้างสรรค์และความเชื่อมั่นในเอกลักษณ์ที่ชัดเจน LALALOVE และ CHADA ได้นำแบรนด์ของพวกเขาให้เติบโตอย่างยั่งยืนในแบบของตนเอง แม้ทั้งสองแบรนด์จะมีแนวทางที่แตกต่าง แต่แนวคิดหนึ่งซึ่งพวกเขามีร่วมกันนั่นก็คือ ยิ่งสนุกกับสิ่งที่ทำมากเท่าไหร่ ภาพฝันแห่งอนาคตก็ยิ่งใกล้เข้ามาและชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อพูดถึงอนาคต ในปีนี้ ไนกี้ได้นำเสนอรองเท้า Air Max 2090 รองเท้าแห่งอนาคตซึ่งมีรากฐานมาจากรองเท้าแอร์แมกซ์ 90 ที่มีจิตวิญญาณแบบเดียวกัน โดยสีสันของ Nike Air Max 2090 นั้นเป็นสีสันที่เป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า โดยที่รองเท้ารุ่นนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากยานพาหนะแห่งอนาคตในปี 2090 ที่ทีมดีไซเนอร์ของไนกี้ได้จินตนาการไว้ Nike Air Max 2090 วางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม เป็นต้นไป ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Nike.com 

    TAG
  • LALALOVE
  • CHADA
  • NIKE AIR MAX 2090
  • NIKE
  • people
  • interview

คิดนอกกรอบกับผู้อยู่เบื้องหลัง สองแบรนด์ดัง LALALOVE และ CHADA

PEOPLE/INTERVIEW
March 2020
CONTRIBUTORS
By NIKE
EVERYTHING TEAM
RECOMMEND
  • PEOPLE/INTERVIEW

    ทำความรู้จักกับ DJ. IYY กับแนวทางเฉพาะตัวในสาย Tech House

    เพียงแค่ผลักประตูเข้าไปในคลับดีเจแห่งหนึ่ง แสง Laser จาก Beam light ก็พุ่งเข้าใส่พร้อมกับเสียงเบสของบีต Tech House เข้ามาเร้าอารมณ์ความรู้สึกจนอยากจะขยับไปตามเสียงที่ได้ยิน ซึ่งท่ามกลางการเกิดขึ้นของดีเจหน้าใหม่ที่ไม่ซ้ำกันในช่วงนี้ เราก็พบว่าเสียงดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ในแนว House และ Techno ของดีเจคนหนึ่งสามารถปลดปล่อยผู้คนให้เข้าสู่จังหวะการเคลื่อนไหวที่สนุกสนานและมีพลังงานได้อย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เขาคือ “DJ IYY” ไอคอนแห่งวงการดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ “Tech House” ในปัจจุบัน

    EVERYTHING TEAMMarch 2024
  • PEOPLE/INTERVIEW

     “Dramatic Tempo” ศิลปะจังหวะละครชีวิตของ YoSecrete ฐิติภัทร งามสงวน

    ในช่วงเวลาบ่ายที่สายลมอ่อน ๆ แดดบาง ๆ ผสานกับเสียงการกระทบกันของคลื่นน้ำแถวริมทะเลบางแสน รถ Honda Ct125 คันหนึ่งได้เข้ามาจอดเทียบ เราได้เห็นชายใส่แว่นสีชาก้าวลงจากรถและถอดหมวกกันน็อคออก พร้อมกับส่งเสียงทักทายว่า “สวัสดีครับ ผม YoSecrete”

    EVERYTHING TEAMFebruary 2024
  • DESIGN/INTERVIEW

    A Primer for Forgetting นิทรรศการที่สำรวจด้านตรงข้ามระหว่างความทรงจำและการหลงลืม

    ในโลกที่ให้คุณค่ากับความทรงจำ และด้อยค่าความหลงลืม แต่คุณค่าของทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีสองด้านเสมอ บางครั้งความทรงจำอาจเป็นการแบกรับประสบการณ์อันทุกข์ยากเลวร้ายเอาไว้ ในขณะที่ความหลงลืมกลับทำหน้าที่ปลดเปลื้องความทุกข์ยากนั้น มีนิทรรศการศิลปะร่วมสมัยนิทรรศการหนึ่งที่พูดถึงมุมกลับของความทรงจำและความหลงลืมนี้ได้อย่างน่าสนใจ นิทรรศการนั้นมีชื่อว่า A Primer for Forgetting ซึ่งเป็นนิทรรศการคู่ของสองศิลปินต่างแนวทางอย่าง นิพันธ์ โอฬารนิเวศน์ และ ลัทธพล ก่อเกียรติตระกูล ที่เป็นเหมือนสองด้านของเหรียญที่อยู่ตรงข้าม แต่ก็มีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน

    Panu Boonpipattanapong5 months ago
  • PEOPLE/INTERVIEW

    ศิลปะแห่งความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งมีชีวิตต่างสายพันธุ์ ของ วันทนีย์ ศิริพัฒนานันทกูร ศิลปินผู้ถูกคัดเลือกให้แสดงผลงานในงาน แสดงศิลปะร่วมสมัยระดับโลก Frieze London

    Frieze London เป็นหนึ่งในงานแสดงศิลปะร่วมสมัยที่สําคัญที่สุดในโลก ที่จัดขึ้นในกรุง ลอนดอน ซึ่งในปี 2023 ซึ่งเป็นวาระครบรอบ 20 ปีของ Frieze London ได้มีการจัดโครงการ พิเศษอย่าง Artist-to-Artist ที่ให้ศิลปินชื่อดังระดับโลกอย่างเช่น โอลาฟัวร์ เอลีย์เออซัน (Olafur Eliasson), เทรซี เอมิน (Tracey Emin), วูล์ฟแกง ทิลมันส์ (Wolfgang Tillmans) หรือแม้แต่ศิลปินไทยชื่อก้องโลกอย่าง ฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวนิช (Rirkrit Tiravanija) ให้มานําเสนอ ศิลปินรุ่นใหม่ที่น่าจับตาจากทั่วโลกมาจัดแสดงผลงานนิทรรศการแสดงเดี่ยวในงานนี้เป็น ครั้งแรก และหนึ่งในศิลปินรุ่นใหม่ที่ฤกษ์ฤทธิ์เสนอชื่อให้จัดแสดงนิทรรศการเดี่ยวในงาน แสดงศิลปะร่วมสมัย Frieze London ในปีนี้ ก็คือศิลปินร่วมสมัยชาวไทยผู้มีชื่อว่า วันทนีย์ ศิริพัฒนานันทกูร (Wantanee Siripattananuntakul) นั่นเอง

    Panu Boonpipattanapong5 months ago
  • PEOPLE/INTERVIEW

    “RedLife ทำให้เราใจเต้นแรงจริงๆ” คุยกับ เป๋ง-ชานนท์ ยอดหงษ์ อาร์ตไดเรกเตอร์สไตล์จัด แห่ง DogKillMen ผู้อัดฉีดความเดือดพล่านให้กับ RedLife

    "เป๋ง-ชานนท์ ยอดหงษ์" คืออาร์ตไดเรกเตอร์สไตล์จัดแห่ง DogKillMen ผู้อยู่เบื้องหลังปกอัลบั้มของวงดนตรีระดับประเทศ ไม่ว่าจะเป็น Big Ass, Bodyslam และ Bomb at Track และล่าสุด เป๋งยังได้กระโดดเข้ามาเป็นอาร์ตไดเรกเตอร์แห่ง ‘RedLife’ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้ก้าวเข้ามาสู่วงการภาพยนตร์ โดยเป๋งรับผิดชอบในการออกแบบโลโก้ โปสเตอร์ ไปจนถึงเป็นมันสมองสำคัญในการอัดฉีดสไตล์มันๆ ให้กับหนังเรื่องนี้

    BrandThink Cinema6 months ago
  • PEOPLE/INTERVIEW

    The Emerging Star – “TAMP” ศิลปินหนุ่มหน้าใหม่แห่งค่าย NEW WAV. Entertainment

    ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา กระแสความเฟื่องฟูของวงการดนตรีไทยนั้นกำลังกลับได้ความนิยมอีกครั้ง จนเรียกได้ว่าหันไปทางไหนก็มีวงดนตรี ศิลปินกลุ่ม หรือศิลปินเดี่ยวหน้าใหม่เกิดขึ้นมากมาย สร้างความเนื้อเต้นปะปนไปกับความดีใจให้กับคนฟังไทยที่ได้เห็นอุตสาหกรรมนี้ได้เติบโตขึ้นอีกครั้ง และท่ามกลางบรรยากาศความคึกคักเหล่านั้น “TAMP” ศิลปินหนุ่มจากค่าย NEW WAV. Entertainment ที่เพิ่งเดบิวต์เปิดตัวไปเมื่อกลางปี 2023 ที่ผ่านมา ก็เป็นดาวรุ่งอีกดวงหนึ่งที่กำลังจะฉายแสงออกมาให้เราได้เห็น

    EVERYTHING TEAM6 months ago
SIGN UP TO OUR NEWSLETTER
A Monthly update of the new issue from us
THANK YOU FOR YOUR SUBSCRIPTION

We use cookies, localStorage and other technologies (collectively, "cookies") to recognise your browser or device, learn more about your interests, and provide you with essential features and services and for additional purposes. ( see details )