LOOKING ON EVERYTHING ?
EXPLORE ON EVERYTHING
Photographer:
Mc Suppha-riksh Phattrasitthichoke
Writer:
Noinae Sritawan
Special Thanks:
Sudjit Sananwai


“VERNADOC เป็นแนวทางการศึกษาของสถาปนิกเพื่อเรียนรู้สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น ด้วยการพาตัวเราไปยังที่ที่มีมรดกสถาปัตยกรรมน่าสนใจ แล้วเรียนรู้ผ่านการทำงานที่เรียกว่าการสำรวจรังวัด เพื่อเก็บข้อมูลของอาคารนั้น ด้วยเทคนิคดั้งเดิมของสถาปนิก คือดินสอ ไม้บรรทัด ตลับเมตร ในการวัด และวาดทุกอย่างลงบนกระดาษ หลังจากนั้นจึงลงหมึกด้วยปากกาเขียนแบบ (Technical Pen)” - ผศ.สุดจิต (เศวตจินดา) สนั่นไหว, อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และประธาน VERNADOC Thailand
“จุดเริ่มต้นมาจากการที่เราได้มีโอกาสเรียนรู้เทคนิคจากฟินแลนด์ ผ่าน Mr. Markku Mattila ผู้ก่อตั้ง VERNADOC ซึ่งอันที่จริงวิธีนี้ที่ประเทศเขาทำสืบทอดกันมากว่าร้อยปีในหมู่ของสถาปนิก และนักศึกษาฟินแลนด์อยู่แล้ว ในชื่อว่า Mittausleiri (Documenting Camp) แต่เขาเป็นคนแรกที่เอามาทดลองจัดค่ายนานาชาติเป็นครั้งแรกในชื่อ VERNADOC 2005 ซึ่งมีผู้ร่วมค่ายจาก 5 ประเทศรวมไทยด้วยในครั้งแรก เราเห็นเทคนิคนี้มันน่าสนใจ น่าจะเอามาเผยแพร่ในประเทศไทย เพราะการพานักศึกษาลงทำงานในพื้นที่ 1-2 อาทิตย์ นอกจากจะได้เรียนรู้ตัวสถาปัตยกรรม ยังได้รู้จักพื้นที่ตรงนั้น เข้าใจเงื่อนไขบริบท รวมทั้งผู้คนที่นั่น สุดท้ายก็จะนำไปสู่ความเข้าใจในภาพรวมของสถาปัตยกรรมนั้นๆ ซึ่งเป็นวิธีที่ดีมากสำหรับการเรียนรู้”


ผศ.สุดจิต เล่าว่า ”เราคาดหวังว่าผลงานจากการ Drawing ที่เกิดขึ้น ซึ่งเน้นความแม่นยำจากการสำรวจ เพื่อบอกเล่าสภาพอาคารตามข้อเท็จจริง เมื่อนำกลับไปให้ชุมชน เจ้าของอาคารได้เห็น ได้ชื่นชมแล้วจะเกิดความภาคภูมิใจ เพราะเทคนิคในการเขียนแบบของเราต่างจากการเขียนแบบทางสถาปัตย์ทั่วไป ที่ปกติจะต้องมีการใส่ระยะ (Dimension) ด้วยตัวอักษร หรือใส่สัญลักษณ์ (Symbolic) เพื่อระบุ ชนิด และรายละเอียดของวัสดุ ซึ่งมันค่อนข้างยากสำหรับคนทั่วไปในการทำความเข้าใจ แต่พอเรามาใส่ วัสดุ พื้นผิว และแสงเงาเข้าไปแทนสิ่งยุ่งยากเหล่านั้น มันช่วยทำให้คนเข้าใจภาพที่เขียนแค่สองมิติในลักษณะแบบสามมิติได้ โดยที่ไม่ต้องมีพื้นฐานทางด้านสถาปัตย์ ก็เป็นความคาดหวังว่า ด้วยผลงานที่ดูเรียบง่ายแต่มีคุณค่าทางศิลปะ มันจะสามารถนำมาใช้สำหรับการปลุกจิตสำนึกอนุรักษ์ได้”
“สถาปัตยกรรมที่เราเห็นว่ามีคุณค่า น่าศึกษา ส่วนใหญ่มักจะเป็นอาคารที่อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการสูญสลาย ไม่ว่าโดยภัยธรรมชาติ หรือโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของมนุษย์เอง เราคาดหวังว่า Drawing จากฝีมือของเด็กๆ หรือภาพเขียนที่เห็นนี้ มันอาจจะช่วยให้เขาระลึกขึ้นได้ว่า อย่าเพิ่งทำลายมัน และให้กลายเป็นความคิดที่จะปรับปรุงมันแทน”



VERNADOC ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 ในหลากหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทยเราพัฒนาเป็นค่ายอาสาสมัครที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผลงานครั้งสำคัญอีกชิ้นหนึ่งนั้นเป็น อาคารศุลกสถาน (เก่า) หรือโรงภาษีร้อยชักสาม ถนนเจริญกรุง กรุงเทพมหานคร เป็นอาคารที่ตั้งอยู่ริมน้ำอย่างโดดเด่นที่สร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ราวปี พ.ศ. 2429 แล้วเสร็จในปี 2433 เพื่อใช้ในกิจการของกรมศุลกากร และต่อมาก็ถูกเปลี่ยนเป็นสถานีตำรวจดับเพลิงบางรัก ซึ่งขึ้นกับกองตำรวจดับเพลิงและสถานีตำรวจน้ำ ซึ่งหากใครเคยได้เดินเข้าไปในตัวอาคารจะเห็นว่ามีความชำรุดทรุดโทรม เพราะถูกทิ้งร้างไว้ยาวนาน วัสดุเสื่อมกร่อนตามกาลเวลา แต่ยังสามารถรับรู้ได้ถึงความยิ่งใหญ่ในอดีตจากความใหญ่โตของโครงสร้างอาคาร ตลอดจนหอนาฬิกาขนาดใหญ่ ที่ถือเป็นความสวยงามในแบบของสถาปัตยกรรมในสมัยนั้น ซึ่งควรค่าแก่การอนุรักษ์อย่างยิ่ง โดยในครั้งนี้ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ร่วมกับ VERNADOC Thailand ได้ลงพื้นที่เพื่อจัดค่าย RSU VERNADOC ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2018 ด้วยการสนับสนุนจาก Banana Studio และ Ucity ซึ่งมีแผนจะฟื้นฟูสถาปัตยกรรมแห่งนี้อย่างจริงจัง

“ทาง Ucity ซึ่งเขาได้สัมปทานในการพัฒนาพื้นที่อาคารศุลกสถาน เขามีไอเดียในการอนุรักษ์อาคารตามหลักวิธี โดยเฉพาะเรื่องของการมีส่วนร่วมกับชุมชน เขาเห็นด้วยกับการเปิดโอกาสให้คนเข้ามาเรียนรู้ จึงสนับสนุนให้เราจัดค่ายและพานักศึกษามาลงสำรวจพื้นที่ และนำผลงานมาเผยแพร่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่ผู้ประกอบการหรือคนในสังคมเห็นค่า เด็กได้ประโยชน์ในการเรียนรู้พื้นที่จริง และเด็กจะได้เห็นวันที่อาคารนั้นถูกปรับปรุง เปิดใช้อีกครั้ง เขาจะได้ร่วมภาคภูมิใจว่าเขาได้เห็นมันตั้งแต่วันที่มันไม่มีแนวโน้มว่าจะเป็นอะไรด้วยซ้ำ และมันจะเป็นประสบการณ์ของเขาในวิชาชีพสถาปนิกต่อไป”
ถือเป็นอีกครั้งที่โครงการ VERNADOC ได้มีส่วนร่วมช่วยฟื้นฟูสถาปัตยกรรมให้กลับมามอบคุณค่าและความหมายแก่สังคมและบริบทโดยรอบ และยังทำให้เราได้เห็นว่า การมีจิตอนุรักษ์นั้นสามารถสร้างคุณค่าให้สรรพสิ่งได้อย่างเหนือกาลเวลา


ผศ.สุดจิต (เศวตจินดา) สนั่นไหว
“อาจารย์ตุ๊ก” เป็นอาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ผู้ที่อยู่ในฐานะประธานโครงการ VERNADOC Thailand โดยในปี ค.ศ. 2005 นับเป็นเหตุการณ์แรกสำหรับการก่อตั้งโครงการ VERNADOC ในประเทศไทย โดยอาจารย์ตุ๊กได้เข้าร่วมประชุมประจำปีของคณะกรรมการวิชาการนานาชาติว่าด้วยสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น (CIAV) ที่ประเทศญี่ปุ่น และได้มีโอกาสพบปะหารือกับ Markku Mattila สถาปนิกชาวฟินแลนด์ที่เป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งโครงการ VERNADOC จากนั้นอาจารย์ตุ๊กจึงได้เล็งเห็นว่า VERNADOC เป็นโครงการที่เปรียบเสมือนเครื่องมือที่ใช้ในการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมพื้นถิ่นในประเทศ ซึ่งสถาปัตยกรรมยุคดั้งเดิมหรือตึกอาคารที่มีการก่อสร้างมายาวนานนับร้อยปี มักจะมีคุณค่าทางจิตใจในทางใดทางหนึ่งต่อผู้คนในพื้นที่รวมถึงนักอนุรักษ์อีกหลายท่านที่เห็นความสำคัญในสถาปัตยกรรมต่างๆ นอกจากนั้นในบริบทของการเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย อาจารย์ตุ๊กได้ให้สัมภาษณ์ถึงประโยชน์ของโครงการว่า VERNADOC เป็นโครงการที่นักศึกษาวิชาสถาปัตย์จะได้เรียนรู้เพราะได้ลงพื้นที่สำรวจจริง ได้ศึกษาความเป็นมาของตัวอาคาร อีกทั้งได้เรียนรู้บริบทสังคมรอบข้าง ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ดีในการต่อยอดในวิชาชีพสถาปนิกต่อไป และสิ่งสำคัญคือ โครงการ VERNADOC มีส่วนในการปลุกจิตสำนึกอนุรักษ์ให้กับทุกๆ คนที่ได้มาสัมผัส เพื่อให้หลายคนได้ตระหนักถึงคุณค่าและช่วยฟื้นฟูสถาปัตยกรรมในประเทศอย่างจริงจัง
RSU VERNADOC 2018 : OLD CUSTOMS HOUSE
/
ในตอนนี้เราขอนำเสนอผลงานออกแบบบ้านอันโดดเด่นอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ความน่าสนใจอยู่ตรงที่การเป็นที่อยู่อาศัยของคนสองรุ่น ที่แบ่งพื้นที่ของบ้านร่วมกัน รวมถึงผสานการอยู่อาศัยใช้ชีวิตในบ้านเข้ากับการทำงานในพื้นที่เชิงพาณิชย์ได้อย่างลงตัว บ้านหลังนี้เป็นผลงานการออกแบบของบริษัทสถาปนิก A A D design (Ayutt and Associates design) ที่ประสบความสำเร็จในงานสถาปัตยกรรมหลากหลายโครงการอันเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และบูรณาการทางการออกแบบ อาร์ต อยุทธ์ มหาโสม ผู้ก่อตั้งและเจ้าของบริษัทสถาปนิก A A D design กล่าวถึงที่ความเป็นมาเป็นไปของบ้านหลังนี้ว่า
/
ในตอนนี้เราขอนำเสนอผลงานออกแบบบ้านอันโดดเด่นอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้เป็นบ้านที่มีชื่อว่า Lane House ที่น่าสนใจด้วยการผสานการดูแลรักษาสุขภาพ และวิถีการใช้ชีวิตในบ้านได้อย่างลงตัว โดยเติมเส้นทางการออกกำลังกายเข้าไปภายในพื้นที่ของบ้าน เพื่อให้การออกกำลังกายกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน รวมถึงจัดวางตัวบ้านในรูปแบบตัว U โอบรับสวนกลางบ้าน ทำให้เกิดพื้นที่ใช้สอยอันเป็นประโยชน์สูงสุด และเชื่อมต่อธรรมชาติกับพื้นที่อยู่อาศัยเข้าไว้ด้วยกัน บ้านหลังนี้เป็นผลงานการออกแบบของบริษัทสถาปนิก Core Cluster บริษัทลูกในเครือ A A D design (Ayutt and Associates design) ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบสถาปัตยกรรม การตกแต่งภายใน และภูมิสถาปัตยกรรม โดยผสานทุกองค์ประกอบเข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ จนกลายเป็นแนวคิดที่สมบูรณ์ ตอบสนองความต้องการด้านการใช้งานของผู้ใช้ได้อย่างลงตัว ภายใต้ปรัชญาที่ว่า “สถาปัตยกรรมที่ดีจะนำมาซึ่งความสุขและความพึงพอใจแก่ผู้ที่มีปฏิสัมพันธ์กับพื้นที่” โดย อาร์ต อยุทธ์ มหาโสม หัวเรือใหญ่ของเครือ A A D design
/
ในตอนนี้เราขอนําเสนอผลงานออกแบบบ้านอันโดดเด่นอีกครั้ง ภายใต้การออกแบบของสถาปนิก สัญชาติไทยอย่าง IDIN Architects บริษัทสถาปนิกผู้หลงใหลในงานสถาปัตยกรรมยุคโมเดิร์น ซึ่ง บ้านหลังนี้ถึงแม้จะเป็นบ้านชั้นเดียวสําหรับพักอาศัย หากเป็นบ้านชั้นเดียวที่ถูกยกขึ้นสูงจากพื้นดิน ถึง 7 เมตร โดยปล่อยพื้นที่ด้านล่างให้เป็นสวนและลานโล่งเลี้ยงสัตว์เลี้ยง ราวกับเป็นบ้านเรือนไทย ยกพื้นใต้ถุนสูงที่เราคุ้นเคย แต่รายละเอียดของตัวบ้านกลับเป็นสถาปัตยกรรมที่เต็มเปี่ยมไปด้วย ความโมเดิร์น ด้วยโครงสร้างของบ้านอันเป็นคอนกรีตดิบกระด้าง ห่มคลุมฟาซาดแผงระแนงไม้อัน เรียบเนียนกริบเปี่ยมสไตล์ จนดูไปก็คล้ายกับพิพิธภัณฑ์ศิลปะอยู่ไม่หยอก โดย เป้ จีรเวช หงสกุล ผู้ ก่อตั้งและเจ้าของบริษัท กล่าวถึงความเป็นมาของบ้านหลังนี้ว่า
/
ถึงแม้ในตอนนี้เราจะขอนำเสนอผลงานออกแบบบ้านอีกครั้ง แต่บ้านหลังนี้ก็แตกต่างจากบ้านธรรมดาทั่วๆ ไป เพราะเป็นสถานที่ที่เป็นแนวความคิดแบบ บ้าน+น้ำ ที่สร้างขึ้นเพื่อครอบครัวที่ชื่นชอบการใช้ชีวิตอยู่กับน้ำ ด้วยการสร้างความเชื่อมโยงระหว่าง งาน+ความชอบ+การผักผ่อน+การฝึก+การสอน+ธรรมชาติ ด้วยการยกพื้นที่สำหรับดำน้ำมาไว้ในตัวบ้าน เพื่อให้คนที่รักการดำน้ำมาทำกิจกรรมกัน ทั้งการฝึกซ้อม การเรียนการสอน ทบทวนการดำน้ำ รวมถึงโชว์รูมจำหน่ายอุปกรณ์ดำน้ำ ภายในตัวบ้านชั้นล่าง ส่วนชั้นบนคือพื้นที่ส่วนตัวที่เป็นเหมือนบ้านของเจ้าของที่อาศัยอยู่บนห้วงน้ำ
/
ในตอนนี้เราขอนำเสนอผลงานออกแบบบ้านอันโดดเด่นอีกครั้ง ของสถาปนิกสัญชาติไทยอย่าง NTHAA กับผลงานออกแบบบ้านที่แฝงตัวแนบเนียนกับธรรมชาติอย่าง “บ้านฤดูฝน” วิลล่าพักตากอากาศ ในพื้นที่เขตบ้านยางปู่โต๊ะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ในขนาดพื้นที่ใช้สอย 142 ตารางเมตร ที่ออกแบบสำหรับการเข้าพักทุกช่วงฤดู เพื่อให้ผู้พักอาศัยได้สัมผัสกับประสบการณ์ของ “ฤดูแห่งการฟื้นฟูทางธรรมชาติและสุนทรียแห่งฝน” โดย เบล ณัฐพัชร์ ธนปุณยนันท์ หนึ่งในสถาปนิกผู้ออกแบบบ้านจากสตูดิโอสถาปัตยกรรม NTHAA กล่าวถึงความเป็นมาของบ้านหลังนี้ว่า
/
ถึงแม้วงการสื่อสารมวลชนโดยทั่วไปจะจับตาและสนใจในงานออกแบบสถาปัตยกรรมโครงการใหญ่ๆ อย่างการออกแบบสํานักงาน, พิพิธภัณฑ์, วิหาร, ศาสนสถาน ไปจนถึงอาคารรัฐสภาต่างๆ หากยังมี งานสถาปัตยกรรมที่โครงการไม่ใหญ่นัก แต่ถือว่าเป็นปัจจัยสําคัญอันจําเป็นสําหรับมนุษย์ที่สุดอย่าง หนึ่ง นั่นก็คือ ที่อยู่อาศัยที่เราเรียกกันว่า “บ้าน” นั่นเอง
We use cookies, localStorage and other technologies (collectively, "cookies") to recognise your browser or device, learn more about your interests, and provide you with essential features and services and for additional purposes. ( see details )

