LOOKING ON EVERYTHING ?
EXPLORE ON EVERYTHING
เมื่อพูดถึงเกาหลีใต้ หลายคนอาจจะนึกถึง เคป็อป หรือซีรีส์เกาหลี แต่ในความเป็นจริง เกาหลีใต้ไม่ได้มีสิ่งที่น่าสนใจเพียงแค่นั้น หากแต่ เคอาร์ต หรือวงการศิลปะเกาหลีก็มีอะไรที่โดดเด่นน่าสนใจเหมือนกัน ดังเช่นที่เรามีโอกาสได้ไปชมนิทรรศการศิลปะที่น่าสนใจของศิลปินเกาหลีใต้ ที่บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาจัดแสดงในบ้านเรา

นิทรรศการที่ว่านี้มีชื่อว่า Out of Frame ที่จัดแสดงผลงานของ อี จุน-ฮยัง (Lee Joon-hyung) ศิลปินร่วมสมัยชาวเกาหลีใต้ ที่เป็นการสำรวจและตีความใหม่ทางศิลปะ ด้วยการรื้อภาพวาดของเขาออกเป็นชิ้นๆ จนเหลือแต่เพียงผืนผ้าใบและกรอบไม้ และนำเอากรอบไม้เหล่านั้นมาประกอบเป็นแพโดยสารล่องไปในแม่น้ำฮันอันกว้างใหญ่ในกรุงโซล เพื่อจับภาพการล่องไปในแม่น้ำและถ่ายทอดออกมาเป็นภาพวาดสีหมึกบนผืนผ้าใบอีกครั้ง ผลงานชุดนี้ของเขาต้องการย้ำเตือนความท้าทายที่เขาต้องเผชิญหน้าตลอดเวลา และสะท้อนผ่านผลงานศิลปะของเขาอีกครั้ง
โดยการล่องในแม่น้ำฮันด้วยแพที่สร้างจากกรอบไม้ที่เขาถอดรื้อจากภาพวาดของเขา เขาติดตั้งกล้องหลายตัวรอบๆ แพ เพื่อบันทึกภาพกระแสน้ำของแม่น้ำฮันที่กระทบกับตัวแพ ศิลปินได้จับภาพของแม่น้ำฮันซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกรุงโซลและเกาหลีเอาไว้

ในเวลาอีกกว่า 10 ปีต่อมา ศิลปินวาดภาพของแม่น้ำฮันขึ้นใหม่ โดยใช้สีหมึกแบบดั้งเดิม และใช้ต้นแบบจากภาพที่เขาบันทึกเอาไว้ด้วยกล้องบนแพเมื่อสิบปีก่อน ผลงานที่จัดแสดงในครั้งนี้นำเสนอภาพคลื่นสีดำที่ชวนให้นึกถึงกระแสน้ำที่เขาเผชิญขณะกำลังข้ามแม่น้ำฮัน ที่ส่งผ่านความรู้สึกตึงเครียดและความเคลื่อนไหวของแพที่เขาโดยสารออกมาผ่านผลงานจิตรกรรมของเขา
ด้วยกระบวนการนี้ อี จุน-ฮยัง สื่อถึงแรงปรารถนาที่จะออกไปจากกรอบ และไม่หยุดยั้งที่จะจินตนาการและทดลองกับวิธีการใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งการปฏิเสธสีน้ำมันอันเป็นกระบวนการทำงานศิลปะจากตะวันตกและหันมาใช้หมึกสีดำอันเป็นกระบวนการทำงานศิลปะของตะวันออกแทน

โดย อี จุน-ฮยัง กล่าวถึงที่มาที่ไปของผลงานชุดนี้ของเขาว่า
“โดยปกติผมเป็นคนทำงานจิตรกรรม แต่มีวิธีทำงานจิตรกรรมมากมายในศิลปะร่วมสมัย ทั้งงานจิตรกรรมที่เป็นภาพแทนความเป็นจริง (Representational painting) และงานจิตรกรรมนามธรรม (Abstract painting) ทำให้งานจิตรกรรมค่อนข้างขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมของสื่อทางศิลปะ ไม่ต่างอะไรกับภาพถ่าย วิดีโอ หรืออินเตอร์เน็ต ดังนั้นผมจึงหาวิธีการใหม่ๆ ในการทำงานจิตรกรรม นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมทำงานชุดนี้ขึ้นมา”
“ในความเป็นจริง ผมไม่ได้ตั้งใจทำงานชุดนี้ขึ้นมา แต่เป็นเหตุบังเอิญมากกว่า ด้วยความที่ผลงานจิตรกรรมของผมหลายชิ้นมีขนาดใหญ่กว่าสตูดิโอใต้ดินที่ผมทำงานอยู่ จึงไม่มีทางที่จะเอางานกลับเข้าไปข้างในสตูดิโอได้อีก ผมเลยตัดสินใจรื้อโครงสร้างของเฟรมผ้าใบของงานจิตรกรรมของผมออกทีละชิ้น เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญขึ้นในความคิดของผม ว่าอะไรคือวัตถุดิบของเฟรมผ้าใบวาดภาพ ถึงแม้ผมจะวาดภาพมานาน แต่ผมก็ไม่รู้ว่าวัตถุดิบเหล่านี้คืออะไร ผมจึงเริ่มต้นศึกษาค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับเฟรมผ้าใบวาดภาพ ตั้งแต่ชื่อของไม้ที่ใช้ทำเฟรม ก็คือไม้สน ที่มีเนื้อไม้นุ่ม แข็งแรง ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ดีที่จะใช้ทำเรือ หรือแพ เพราะมันมีน้ำหนักเบา ผมจึงตัดสินใจทำแพขึ้นมาจากไม้ที่รื้อจากเฟรมผ้าใบด้วยตัวเองขึ้นมา”




“หลังจากนั้นผมก็เอาแพไปลองล่องในแม่น้ำฮัน ในกรุงโซลดู ผมประหลาดใจมากที่มันสามารถลอยในน้ำได้ดีมาก ผมล่องแพลำนี้ไปรอบๆ แม่น้ำฮัน เพื่อพยายามใช้พาหนะนี้ในการเดินทาง ในฐานะศิลปิน ไม่ต่างอะไรกับการทำงานศิลปะแสดงสด หลังจากนั้นผมก็ทำการบันทึกการเดินทางครั้งนี้ด้วยการถ่ายทำจากกล้องวิดีโอที่ติดเอาไว้กับแพ ทั้งด้านหน้าและด้านหลังของตัวแพ เพื่อเป็นการเก็บข้อมูล และเมื่อได้ดูภาพเหล่านี้ ผมค่อนข้างเซอร์ไพรส์ว่าภาพที่บันทึกเอาไว้ค่อนข้างออกมาดีกว่าที่ผมคาดเอาไว้ ผมก็ลองเล่นฟุตเตจจากวิดีโอที่ถ่ายทำมา เพื่อเลือกหาภาพนิ่งที่่น่าสนใจ”
ถึงแม้ภาพวาดเหล่านี้จะมีที่มาจากภาพถ่ายกระแสน้ำของแม่น้ำฮันที่บันทึกจากกล้องบนแพ หากแต่มันก็มีความเบลอ เลือนราง ไม่ชัดเจน ราวกับมีหมอกทาบทับอยู่ จนดูเหมือนกับภาพวาดนามธรรมก็ไม่ปาน


“ถึงแม้จะเป็นภาพถ่าย แต่ภาพที่ได้มาค่อนข้างมีความเป็นนามธรรม ซึ่งเป็นอะไรที่่น่าสนใจมากสำหรับผม ผมรู้สึกว่าต้องวาดภาพนี้ขึ้นมาใหม่เป็นงานจิตรกรรม ด้วยความที่ภาพวาดนี้มีที่มาจากภาพถ่าย ทำให้มันมีความเป็นนามธรรมและความเป็นภาพแทนความเป็นจริงในเวลาเดียวกัน สำหรับผม สิ่งนี้มีประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ศิลปะ อย่างเช่นผลงานของ แกร์ฮาร์ด ริตช์เตอร์ (Gerhard Richter) เพราะภาพวาดของเขามีทั้งคุณสมบัติของความเป็นนามธรรมและความเป็นภาพแทนความเป็นจริงไปพร้อมๆ กัน (โดยเฉพาะภาพวาดจากภาพถ่ายของเขาที่มีความเบลอ เลือนราง สั่นเทาจนคล้ายกับภาพวาดนามธรรม) ผมคิดว่าภาพวาดของ แกร์ฮาร์ด ริตช์เตอร์ กับภาพวาดของผม อยู่บนพรมแดนระหว่างความเป็นนามธรรมและความเป็นภาพแทนความเป็นจริง”

“รูปแบบของภาพวาดของผมขึ้นอยู่กับภาพถ่ายที่ผมเลือกมาใช้เป็นแบบ ด้วยการเลือกภาพจากฟุตเตจวิดีโอที่ผมถ่ายมา บางภาพที่ผมเลือกมา ผมสนใจในความเป็นนามธรรมในภาพ และผมก็วาดภาพจากภาพถ่ายนั้นขึ้นมา ด้วยการใช้หมึกจีนหรือหมึกเกาหลี ซึ่งมีความหมายสำหรับผมมาก เพราะผมคิดว่า สิ่งที่มีสีสันนั้นหลอกลวงสายตาผู้คน บางครั้งผมมองเห็นสีแดง มันทำงานกับอารมณ์ความรู้สึกภายในของผมจนเกินไป แต่ขาวกับดำนั้นไม่ใช่สีสัน และปราศจากอารมณ์ ทำให้สีขาวและดำเหมาะสำหรับแนวคิดในการนำเสนอผลงานในรูปแบบนี้ของผม นั่นเป็นเหตุผลที่ผมเลือกที่จะใช้สีขาวดำในผลงานชุดนี้”

“ผมคิดว่าในภาพที่ผมวาดตามขนบทั่วๆ ไป คุณสมบัติอันโดดเด่นในภาพวาดของผมคือฝีแปรง แต่ในผลงานชุดนี้ ผมใช้แค่สีขาวกับดำ ซึ่งไปได้ดีกับแนวคิดและกระบวนการทำงานชุดนี้ และผมตั้งใจวาดภาพให้มีความเบลอและฟุ้งกระจาย เพื่อซ่อนฝีแปรงเอาไว้ เพราะการมีฝีแปรงหมายถึงการแสดงออกถึงบุคลิกเฉพาะตัวของศิลปิน เช่นเดียวกับสีสันที่ปรากฏในภาพวาด ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะผมไม่ต้องการแสดงบุคลิกเฉพาะตัวหรืออารมณ์ความรู้สึกออกมาในผลงานชุดนี้ ผมต้องการแสดงเพียงแค่แนวคิดของภาพวาดเท่านั้น”
“งานชุดนี้ของผมคือการสำรวจว่า งานจิตรกรรมและภาพถ่ายมีความแตกต่างกันอย่างไร เป็นการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมของสื่อทางศิลปะ งานจิตรกรรมค่อนข้างเป็นสื่อแบบดั้งเดิม ที่ยังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของสื่อทางศิลปะอย่าง ภาพถ่าย, ระบบดิจิทัล, อินเตอร์เน็ต หรือ เอไอ ในงานชุดนี้ผมเจาะจงสำรวจวิธีการที่เราจะวาดภาพด้วยหนทางใหม่ เหมือนเป็นการหาความหมายใหม่ของงานจิตรกรรม”
“ด้วยความที่เฟรมผ้าใบ (Frame) คือทั้งหมดทั้งมวลของภาพวาด ในขณะเดียวกันคือ วิธีการมอง วิธีการคิด เช่นเดียวกัน ดังนั้น Out of Frame คือการที่ผมต้องการออกจากวิธีการมองและวิธีการคิดแบบเดิมๆ ในอีกแง่หนึ่ง งานชุดนี้ของผมก็ไม่ต่างอะไรกับ ภาพเกสตัลท์ (Gestalt image : แนวคิดเชิงจิตวิทยาเกี่ยวกับการอธิบายการรับรู้ภาพของมนุษย์ ในการจัดระเบียบในสมองคนเพื่อสร้างความเข้าใจต่อภาพบางอย่าง) ที่ใช้สำรวจการรับรู้เกี่ยวกับภาพของคนในสังคม”
ด้วยความที่ภาพวาดนี้มีที่มาจากกระบวนการล่องในแม่น้ำด้วยแพที่สร้างขึ้นจากเฟรมผ้าใบของเขา ทำให้เราอดสงสัยไม่ได้ว่า กระบวนการที่ว่านี้เป็นงานศิลปะแสดงสดของเขาด้วยหรือไม่
“การล่องแพในแม่น้ำฮันของผม ไม่ใช่การทำงานศิลปะแสดงสด หากแต่เป็นการทดลองทำเพื่อหาวิธีการในการทำงานจิตรกรรม ดังนั้นผมจึงมองตัวเองว่าเป็นจิตรกรมากกว่าเป็นศิลปินแสดงสด หรือแม้แต่ศิลปินร่วมสมัยก็ตามที”


ในขณะเดียวกัน ความเลือนราง ไร้ฝีแปรงที่ชัดเจน ก็ทำให้ภาพวาดชุดนี้ให้ความรู้สึกที่คล้ายกับภาพวาดดิจิทัล หรือภาพวาดโดยเอไออยู่ไม่หยอกเหมือนกัน
“ผมไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้นนะ มีการตีความมากมายในศิลปะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานศิลปะร่วมสมัย บางครั้งก็น่าสนใจ แต่บางครั้งก็ตลกดี ผมไม่สนใจว่าคนจะตีความผลงานของผมออกมาอย่างไร ปล่อยให้ผู้ชมตัดสินใจด้วยตัวเองก็แล้วกัน”
“ในอนาคตผมมีความคิดว่าจะทำงานที่เชื่อมโยงกับบริบทและประวัติศาสตร์ของกรุงเทพฯ โดยทำแพจากเฟรมผ้าใบที่นี่ และเอาไปล่องในแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยเหมือนกัน” อี จุน-ฮยัง กล่าวทิ้งท้าย



อีกหนึ่งบุคคลที่เป็นตัวตั้งตัวตีของนิทรรศการครั้งนี้ก็คือภัณฑารักษ์ของนิทรรศการชาวเกาหลีใต้ ซอ จูโน (Seo Juno) ผู้อำนวยการของ O’NewWall ศูนย์ศิลปะร่วมสมัยในกรุงโซล เกาหลีใต้ กล่าวถึงแรงบันดาลใจเบื้องหลังนิทรรศการครั้งนี้ว่า
“บางครั้งผมรู้สึกว่าวงการศิลปะของเกาหลีและเอเชียมักจะตามหลังโลกศิลปะตะวันตก ผมจึงคิดว่าเราควรจะสร้างกลุ่มก้อนของศิลปินในเอเชีย เพราะถึงแม้ผมจะไม่ต้องการนำหน้าใคร แต่ผมก็ไม่ต้องการตามหลังใครด้วยเหมือนกัน ผมคิดว่าชุมชนศิลปะในเอเชียเราสามารถพูดคุยและทำความรู้จักซึ่งกันและกันได้ ด้วยเหตุนี้ ผมจึงเดินทางไปในหลายที่ในเอเชีย ทั้งเมียนมา, กัมพูชา, ลาว, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, จีน, ญี่ปุ่น หรือแม้แต่ประเทศไทยก็ตาม ผมอยากเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนในวงการศิลปะในประเทศที่ผู้คนกินข้าว และมีวัฒนธรรมข้าว (Rice Culture) ร่วมกัน เพราะการปลูกข้าว ทำให้เรามีชุมชนและวัฒนธรรมคล้ายคลึงกัน ผมพยามยามสร้างชุมชนนี้ขึ้นมาในแวดวงศิลปะเอเชีย นิทรรศการนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ โดยนิทรรศการ Out of Frame เคยถูกจัดแสดงในแกลเลอรี HRD Fine Art ในเมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ไปแล้วในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ถึงแม้ที่ผ่านมา ญี่ปุ่นและเกาหลีจะมีความขัดแย้งในประวัติศาสตร์ แต่เราก็พยายามใช้ศิลปะในการสร้างให้เกิดสันติภาพ และชุมชนแห่งการสร้างสรรค์ เช่นเดียวกันกับที่เราทำในกรุงเทพฯ ประเทศไทย”

จัดแสดงที่ แกลเลอรีแผนสำเร็จ ตั้งแต่วันที่ 19 - 28 กรกฎาคม 2567
เวลาเข้าชม 14:00 - 19:00 น (ปิดวันจันทร์)
Out of Frame การล่องแพในแม่น้ำเพื่อสำรวจหาเส้นทางใหม่ๆ แห่งการทำงานจิตรกรรมของ Lee Joon-hyung
/
ในอดีตที่ผ่านมา ในแวดวงศิลปะ(กระแสหลัก)ในบ้านเรา มักมีคํากล่าวว่า ศิลปะไม่ควรข้องแวะกับ การเมือง หากแต่ควรเป็นเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึก ความงาม สุนทรียะ และจิตวิญญาณภายในอัน ลึกซึ้งมากกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะในยุคสมัยไหน ศิลปะไม่เคยแยกขาดออกจาก การเมืองได้เลย ไม่ว่าจะในยุคโบราณ ที่ศิลปะถูกใช้เป็นเครื่องมือรับใช้ชนชั้นสูงและผู้มีอํานาจ หรือใน ยุคสมัยใหม่ที่ศิลปะถูกใช้เป็นเครื่องมือแสดงออกถึงอุดมการณ์ทางสังคมการเมือง หันมามองในบ้าน เราเอง ก็มีศิลปินไทยหลายคนก็ทํางานศิลปะทางการเมืองอย่างต่อเนื่องยาวนาน ในการสะท้อนและ บันทึกประวัติศาสตร์การเมืองไทยได้อย่างเข้มข้น จริงจัง
/
เหตุการณ์นี้เป็นอุทาหรณ์ให้เรารู้ว่า การก๊อปปี้ก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป เพราะอย่างน้อยที่สุด ก็ทําให้ เราได้รู้ว่าผลงานต้นฉบับของจริงในช่วงเวลาที่เสร็จสมบูรณ์นั้นมีความดีงามขนาดไหน ไม่ต่างอะไรกับศิลปินร่วมสมัยสัญชาติไทยอย่าง วิชิต นงนวล ที่หลงใหลศรัทธาในผลงานของศิลปิน ระดับปรมาจารย์ในยุคสมัยใหม่ของไทยอย่าง จ่าง แซ่ตั้ง ตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ ในวัยของนักเรียน นักศึกษา เรื่อยมาจนเติบโตเป็นศิลปินอาชีพ ความหลงใหลศรัทธาที่ว่าก็ยังไม่จางหาย หากแต่เพิ่มพูน ขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็สุกงอมออกดอกผลเป็นผลงานศิลปะในนิทรรศการ The Grandmaster : After Tang Chang ที่เป็นเสมือนหนึ่งการสร้างบทสนทนากับศิลปินระดับปรมาจารย์ผู้นี้
/
“ยูบาซาโตะ เดินผ่านตามแนวต้นสนขึ้นไปบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เพื่อไปก่อสร้างสถูปดิน และมักจะโดน ทีมงานช่างบ่นทุกวันเกี่ยวกับการก่อสร้าง ที่มีเวลาอยู่อย่างจํากัด เขาเพียงได้แต่ตอบไปว่า .. บุญกุศล นําพาและเวลามีเท่านี้ ขอให้ทําสิ่งดีๆ ให้เต็มที่ ต่อสถานที่บนภูเขานี้เถอะ อย่าบ่นไปเลย เราอาจจะ พบกันแค่ประเดี๋ยวเดียว แต่สิ่งเหล่านี้จะอยู่ต่อไปอีกหลายร้อยปี ... ทีมงานทุกคนเพียงส่งรอยยิ้มที่ เหนื่อยล้ากลับมา ก็เพราะต้องทนร้อนทนแดด และเปียกฝนสลับกันไป จากสภาวะโลกเดือด ที่ทุกคน ต่างพูดถึง แต่ก็จะมาจากใคร ก็จากเราเองกันทั้งนั้น ... แม้จะมาทํางานบนภูเขาก็จริง แต่เขาก็ยังคง คิดถึงเหตุการณ์ภัยน้ําท่วมดินโคลนถล่มที่ผ่านมา อีกทั้งความเสียหายต่อข้าวของที่ต้องย้ายออกจาก บ้านเช่าและค่าใช้จ่ายหลังน้ําท่วมที่ค่อนข้างเยอะพอควร และยิ่งในสภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจแบบนี้...
/
หากเราเปรียบสงคราม และอาชญากรรมที่กระทำต่อมนุษย์ อย่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การสังหารหมู่ และการล่าอาณานิคม เป็นเหมือนการสร้างบาดแผลและความแตกร้าวต่อมวลมนุษยชาติ ศิลปะก็เป็นหนทางหนึ่งในการเยียวยาซ่อมแซมบาดแผลและความแตกร้าวเหล่านั้น แต่การเยียวยาซ่อมแซมก็ไม่จำเป็นต้องลบเลือนบาดแผลและความแตกร้าวให้สูญหายไปเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น หากแต่การเหลือร่องรอยแผลเป็นและรอยแตกร้าวที่ถูกประสาน ก็เป็นเสมือนเครื่องรำลึกย้ำเตือนว่า สิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว และไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นอีกซ้ำเป็นครั้งที่สอง เช่นเดียวกับสิ่งที่ปรากฏในนิทรรศการ “Urgency of Existence” นิทรรศการแสดงเดี่ยวครั้งแรกในเอเชียของ คาแดร์ อัทเทีย (Kader Attia) ศิลปินชาวฝรั่งเศส - แอลจีเรีย ผู้มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เขาเป็นหัวหอกในการทำงานศิลปะผ่านสื่ออันแตกต่างหลากหลาย ที่นำเสนอแนวคิดหลังอาณานิคม และการปลดแอกอาณานิคม จากมุมมองของตัวเขาเอง ที่มีประสบการณ์ทางตรงและทางอ้อมของผู้ที่เคยถูกกดขี่และถูกกระทำจากลัทธิล่าอาณานิคมในศตวรรษที่ผ่านมา
/
ในช่วงปลายปี 2024 นี้ มีข่าวดีสำหรับแฟนๆ ศิลปะชาวไทย ที่จะได้มีโอกาสชมผลงานศิลปะร่วมสมัยของเหล่าบรรดาศิลปินทั้งในประเทศและระดับสากล ยกขบวนมาจัดแสดงผลงานกันในเทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ 2024 ที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 แล้ว โดยในเทศกาลศิลปะครั้งนี้นำเสนอผลงานศิลปะจาก 76 ศิลปิน 39 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ภายใต้ธีมหลัก “รักษา กายา (Nurture Gaia)” ที่ได้แรงบันดาลใจจากเทพี ไกอา (Gaia) ในตำนานเทพปรณัมกรีก หรือพระแม่ธรณีผู้ให้กำเนิดและหล่อเลี้ยงสรรพชีวิต เพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์อันสอดประสานกลมกลืนกันระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ
/
เมื่อพูดถึงชื่อ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล หรือ เจ้ย มิตรรักแฟนหนังหลายคนน่าจะรู้จักเขาในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทยผู้เปี่ยมไปด้วยความเป็นศิลปะที่สุด ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย แต่หมายรวมถึงในสากลโลก ยืนยันด้วยรางวัลสำคัญจากเทศกาลภาพยนตร์ระดับโลกหลายต่อหลายรางวัล ไม่ว่าจะเป็นรางวัลยอดเยี่ยมในการฉายสายรอง (Un Certain Regard) จากภาพยนตร์เรื่อง สุดเสน่หา (Blissfully Yours) (2002) และรางวัลขวัญใจคณะกรรมการ (Jury Prize) จากภาพยนตร์เรื่อง สัตว์ประหลาด! (Tropical Malady) (2004) จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ ในปี 2002 และ 2004, หรือภาพยนตร์เรื่อง แสงศตวรรษ (Syndromes and a Century) (2006) ของเขาก็ได้รับเลือกให้เข้าชิงรางวัลสิงโตทองคำในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเวนิส ในปี 2006 และคว้ารางวัลกรังปรีซ์จากเทศกาลภาพยนตร์ Deauville Asian Film Festival ในปี 2007, และภาพยนตร์เรื่อง รักที่ขอนแก่น (Cemetery of Splendor) (2015) ของเขาก็คว้ารางวัลยอดเยี่ยมจากเวที Asia Pacific Screen Awards ในปี 2015, ที่สำคัญที่สุด อภิชาติพงศ์ยังเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รับรางวัล ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมปาล์มทองคำ (Palm d’or) จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ ครั้งที่ 63 ในปี 2010 จากภาพยนตร์เรื่อง ลุงบุญมีระลึกชาติ (Uncle Boonmee Who Can Recall His Past Lives) (2010), และล่าสุด ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องล่าสุดของเขาอย่าง Memoria (2021) ยังคว้ารางวัล Jury Prize ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ครั้งที่ 74 ในปี 2021 มาครองได้อีกครั้ง อีกทั้งยังได้รับเสียงวิจารณ์เชิงบวกอย่างท่วมท้นจากสื่อมวลชนนานาชาติ
We use cookies, localStorage and other technologies (collectively, "cookies") to recognise your browser or device, learn more about your interests, and provide you with essential features and services and for additional purposes. ( see details )