LOOKING ON EVERYTHING ?
EXPLORE ON EVERYTHING



ผ่านพ้นไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับนิทรรศการ “วันเด็กชั่งชาติ” (Propaganda Children’s day) ซึ่งจัดโดย ‘Headache Stencil’ สตรีทอาร์ตติสสาย Stencil graffiti คนสำคัญของบ้านเราที่จัดนิทรรศการศิลปะเพื่อชักชวนให้คนที่สนใจในวาทกรรม ‘ชังชาติ’ อันถูกใช้เป็นเครื่องมือกล่าวหาใครก็ตามที่วิพากษ์วิจารณ์สังคมในขณะนี้ ได้ทบทวน วิเคราะห์ และตั้งคำถามถึงสิ่งที่เป็นอยู่ในสังคม โดยจัดขึ้นที่ The Jam Factory เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งตรงกับวันเด็กแห่งชาติพอดี everything ได่มีโอกาสคุยแบบสั้นๆ กับเขาถึงที่มาที่ไปและความตั้งใจในการจัดนิทรรศการครั้งนี้
‘Headache Stencil’ เริ่มต้นเท้าความถึงความทรงจำถึงงานวันเด็กของตัวเองให้ฟังว่า “วันเด็กของผมเอง ที่จำได้คือรู้สึกว่ามันจะเป็นวันที่พ่อแม่อาจจะซื้อของเล่นให้เราง่ายขึ้น อ้อนเอาอะไรได้ง่ายขึ้น พอๆ กับวันเกิด แต่พอเวลาผ่านมาผมว่าพอวันเด็กมาถึงมันก็กลายเป็นว่ามีอยู่สองที่ที่ผู้ใหญ่จะพาเด็กไปคือไปห้างสรรพสินค้ากับไปถ่ายรูปกับปืนกับรถถัง...


“ดังนั้นความเป็นมาของงานนี้ก็คือ ตอนแรกพวกเราผมวางแผนจะทำงานแบบโร้ดทริปกับเพื่อนๆ ศิลปิน แต่ระหว่างนั้น สังคมมันมีการพูดกันถึงคำว่า ‘ชังชาติ’ เยอะมาก ซึ่งเราก็สงสัยว่ามันมีความหมายอะไรกันแน่ เรารู้สึกว่าคำนี้มันกลายเป็นเครื่องมือหรือเป็นข้ออ้างในการกล่าวหาคนที่วิพากษ์วิจารณ์บ้านเมือง ประจวบเหมาะกับว่ากำลังจะมีงานวันเด็กแห่งชาติพอดี เราก็เลยคิดว่า เออ เราทำงานศิลปะให้เด็กๆ ยุคนี้ดูดีกว่า เพราะว่าเด็กสมัยนี้ส่วนใหญ่แล้ว พอพูดหรือวิจารณ์อะไรขึ้นมาก็ถูกผู้ใหญ่เหมารวมเรียกว่าเป็นเด็กชังชาติไปทุกที” ‘Headache Stencil’ เริ่มต้นเล่าถึงความเป็นมาของงานแสดงศิลปะ street stencil graffiti ที่ตั้งชื่องานว่า ‘วันเด็กชั่งชาติ’
“ที่เราใช้คำว่า ‘ชั่งชาติ’ ก็มาจากคำว่า ‘ชังชาติ’ นี่แหละแต่เรารู้สึกว่าตอนนี้บ้านเมืองเรามันหนักอึ้งและโหดร้ายเหลือเกิน เราเลยชวนทุกคนมาลองชั่งกันดูว่าเรื่องราวต่างๆ ที่เราสอนเด็กๆ นั้นน่ะ มันหนักมันเบาขนาดไหน หรือจริงๆ เป็นเพราะผู้ใหญ่นี่แหละที่ทำให้มันหนัก นี่เป็นที่มาของการสร้างงานนี้ขึ้นมา

“ที่เราใช้คำว่า ‘ชั่งชาติ’ ก็มาจากคำว่า ‘ชังชาติ’ นี่แหละแต่เรารู้สึกว่าตอนนี้บ้านเมืองเรามันหนักอึ้งและโหดร้ายเหลือเกิน เราเลยชวนทุกคนมาลองชั่งกันดูว่าเรื่องราวต่างๆ ที่เราสอนเด็กๆ นั้นน่ะ มันหนักมันเบาขนาดไหน หรือจริงๆ เป็นเพราะผู้ใหญ่นี่แหละที่ทำให้มันหนัก นี่เป็นที่มาของการสร้างงานนี้ขึ้นมา
“เมื่อได้คอนเซ็ปต์แล้วว่าเราจะทำ ‘วันเด็กชั่งชาติ’ มาแล้วเราก็มาคิดกันว่า รูปแบบงานมันจะเป็นยังไง และโดยส่วนตัวมันจะเป็น exhibition ของเราด้วย เพราะเราก็ไม่ได้ทำนิทรรศการที่พูดถึงเรื่องสังคมการเมืองมาพักใหญ่ๆ แล้ว ครั้งนี้ก็เลยจะเป็นการแสดงงานเราด้วย เราก็คิดถึงวันเด็กที่เรารู้จัก เราก็จะนึกถึงภาพที่เด็กๆ จะไปถ่ายรูปกับรถถัง กับปืน ถ่ายรูปกับเครื่องบินอะไรต่างๆ ซึ่งเราก็สงสัยว่าทำไมเราให้เด็กไปดู ไปถ่ายรูปกับอาวุธอะไรพวกนี้วะ แต่พอทีวีมีภาพปืนเสือกเบลอ ไม่ยอมให้เห็น แต่วันเด็กให้ไปถ่ายรูปได้ เราสงสัยว่ามันคืออะไรกันแน่ระหว่างปลูกฝังให้เด็กรักชาติหรือปลูกฝังให้เด็กใช้ความรุนแรง นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่ง ซึ่งจริงๆ มันก็ยังมีเรื่องราวอีกมากที่เราถูกสอนมาตั้งแต่เด็กแล้วพอโตมาก็ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร





“ในงาน เมนหลักของเราจะเป็นรถถังที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นพื้นที่แสดงงาน ข้างในตัวรถถังก็จะเป็นพื้นที่แสดงงานของผม ส่วนภายนอกผมก็จะชวนเพื่อนๆ มาแสดงงาน มาแจม เช่น gongkan, nev3r.bkk, october29_wtf, himbad, ndtm_abyssboy, dee.sweetdrug แล้วก็อีกหลายคน ซึ่งทุกคนก็ยินดีมาร่วมงาน พอผมส่งรูปรถถังขาวๆ ไปให้ดู พวกเขาก็อยากมาเล่นด้วย อยากมาช่วยทำให้รถถังของผมมีสีสัน ผมกล้าพูดเลยว่า รถถังของผมเป็นรถถังที่ใช้เงินตัวเองสร้างขึ้นมา ไม่ไปเอาเงินภาษีของใครมาซื้อ ไม่มีเงินทอน ไม่มีคอร์รัปชัน มันเป็นรถถังที่ไม่ทำให้ใครเห็นแล้วรักความรุนแรง”
หลังจากที่คิดคอนเซ็ปต์และรูปแบบของการแสดงงานตลอดจนสถานที่ได้แล้ว ในฐานะสตรีทอาร์ตติสที่ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ไร้การสนับสนุนจากหน่วยงานหรือองค์กรใด ‘Headache Stencil’ ก็เริ่มโพสต์อีเวนต์ของเขาลงโซเชียลมีเดีย เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ ผลปรากฏว่าได้รับความสนใจอย่างน่าชื่นใจ


“ทันที่ที่ผมโพสต์งานไป ก็มีเด็กมัธยมที่มากดติดตามผมเยอะมากขึ้น โดยปกติคนที่ฟอลโลว์ผมก็จะเป็นผู้ใหญ่ เป็นวัยรุ่น เป็นเพื่อนๆ ผม แต่พอโพสต์งาน ‘วันเด็กชั่งชาติ’ ไป ผมก็มีคนติดตามที่เป็นเด็กมากขึ้น ซึ่งมันน่าตื่นเต้นที่พวกเด็กๆ จะมาดูงานของผม เพราะที่จริงแล้วกลุ่มเป้าหมายของผมคือผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ที่เคยเป็นเด็กมาก่อนนี่แหละ ผมอยากให้พวกผู้ใหญ่ที่เคยผ่านงานวันเด็กมาได้ลองคิดว่า กี่ปีกี่ปี ปัญหาต่างๆ ก็เหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนไป เพราะอะไร อะไรหล่อหลอมมันขึ้นมา โดยเนื้อหามันมีหลายเรื่องมากครับ ไม่ใช่แค่เรื่องรัฐบาล แต่มันยังมีเรื่องสังคม ศาสนา การศึกษา และอื่นๆ

“ผมคิดว่ารูปแบบวันเด็กมันก็ยังเหมือนเดิมนะครับ วันเด็กก็ยังมีความสำคัญอยู่ แต่ผมตั้งคำถามว่าทำไมเราต้องเสียเงินขนอาวุธมาตั้งให้เด็กดู ทำไมเราไม่ลองทำรูปแบบอื่น เช่นเอาเงินก้อนนั้นไปมอบให้โรงพยาบาล ให้วิศวกร ให้สถาปนิก แล้วให้พวกเขาเอาเงินไปสร้างงานให้เด็กๆ ได้ดู ให้เด็กได้สนใจการแพทย์ วิทยาศาสตร์ หรืออะไรก็ตามที่จะเป็นประโยชน์กับชาติ เพราะการที่เด็กไปถ่ายรูปกับรถถัง แล้วยังไง 20 ปีข้างหน้า เด็กจะสร้างรถถังได้ไหม แต่ถ้าให้เด็กไปเห็นงานของหมอ 20 ปีข้างหน้าเราอาจจะได้หมอเก่งๆ มาช่วยผู้คนก็ได้ ผมว่ารูปแบบของการจัดงานวันเด็กมันไม่มีประโยชน์ ผมยังไม่เห็นว่าการขับรถถังเข้าเมืองมาให้เด็กดูมันจะมีประโยชน์เลย เอาจริงๆ ผมมองว่ารถถังมันถูกใช่แค่สองเคสคือปฏิวัติกับงานวันเด็ก ผมยังไม่เห็นมันจะใช้ทำอย่างอื่น
“ผมว่าถ้าผู้ใหญ่ในหลายๆ หน่วยงาน ในองค์กรสาขาอาชีพต่างๆ ที่พอจะมีเงินเหลือไม่ต้องไปพึ่งเงินรัฐ น่าจะเอาเงินมาจัดกิจกรรมวันเด็กแบบอื่นๆ ให้เด็กบ้าง เพราะไม่อย่างนั้นเราก็จะเหลือแค่ห้างให้เด็กไปเต้น กับรถถังให้เด็กไปถ่ายรูป ไม่มีชอยส์อื่นให้เด็กเลย ถ้าเรามีงานอื่นๆ ด้วย อนาคตที่มืดมนของเราก็อาจจะมีความหวังสว่างขึ้นมาบ้าง เพราะยอมรับตามตรงว่าเราคงหวังอะไรในอีก 20 ปีข้างหน้านี่ไม่ได้แล้ว” ‘Headache Stencil’ สรุปปิดท้าย
“เขาหาว่าเราชังชาติ เราจึงออกมาทำงานศิลปะ” ความในใจของ Headache Stencil กับการจัดงานนิทรรศการ “วันเด็กชั่งชาติ”
/
ในอดีตที่ผ่านมา ในแวดวงศิลปะ(กระแสหลัก)ในบ้านเรา มักมีคํากล่าวว่า ศิลปะไม่ควรข้องแวะกับ การเมือง หากแต่ควรเป็นเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึก ความงาม สุนทรียะ และจิตวิญญาณภายในอัน ลึกซึ้งมากกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะในยุคสมัยไหน ศิลปะไม่เคยแยกขาดออกจาก การเมืองได้เลย ไม่ว่าจะในยุคโบราณ ที่ศิลปะถูกใช้เป็นเครื่องมือรับใช้ชนชั้นสูงและผู้มีอํานาจ หรือใน ยุคสมัยใหม่ที่ศิลปะถูกใช้เป็นเครื่องมือแสดงออกถึงอุดมการณ์ทางสังคมการเมือง หันมามองในบ้าน เราเอง ก็มีศิลปินไทยหลายคนก็ทํางานศิลปะทางการเมืองอย่างต่อเนื่องยาวนาน ในการสะท้อนและ บันทึกประวัติศาสตร์การเมืองไทยได้อย่างเข้มข้น จริงจัง
/
เหตุการณ์นี้เป็นอุทาหรณ์ให้เรารู้ว่า การก๊อปปี้ก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป เพราะอย่างน้อยที่สุด ก็ทําให้ เราได้รู้ว่าผลงานต้นฉบับของจริงในช่วงเวลาที่เสร็จสมบูรณ์นั้นมีความดีงามขนาดไหน ไม่ต่างอะไรกับศิลปินร่วมสมัยสัญชาติไทยอย่าง วิชิต นงนวล ที่หลงใหลศรัทธาในผลงานของศิลปิน ระดับปรมาจารย์ในยุคสมัยใหม่ของไทยอย่าง จ่าง แซ่ตั้ง ตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ ในวัยของนักเรียน นักศึกษา เรื่อยมาจนเติบโตเป็นศิลปินอาชีพ ความหลงใหลศรัทธาที่ว่าก็ยังไม่จางหาย หากแต่เพิ่มพูน ขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็สุกงอมออกดอกผลเป็นผลงานศิลปะในนิทรรศการ The Grandmaster : After Tang Chang ที่เป็นเสมือนหนึ่งการสร้างบทสนทนากับศิลปินระดับปรมาจารย์ผู้นี้
/
“ยูบาซาโตะ เดินผ่านตามแนวต้นสนขึ้นไปบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เพื่อไปก่อสร้างสถูปดิน และมักจะโดน ทีมงานช่างบ่นทุกวันเกี่ยวกับการก่อสร้าง ที่มีเวลาอยู่อย่างจํากัด เขาเพียงได้แต่ตอบไปว่า .. บุญกุศล นําพาและเวลามีเท่านี้ ขอให้ทําสิ่งดีๆ ให้เต็มที่ ต่อสถานที่บนภูเขานี้เถอะ อย่าบ่นไปเลย เราอาจจะ พบกันแค่ประเดี๋ยวเดียว แต่สิ่งเหล่านี้จะอยู่ต่อไปอีกหลายร้อยปี ... ทีมงานทุกคนเพียงส่งรอยยิ้มที่ เหนื่อยล้ากลับมา ก็เพราะต้องทนร้อนทนแดด และเปียกฝนสลับกันไป จากสภาวะโลกเดือด ที่ทุกคน ต่างพูดถึง แต่ก็จะมาจากใคร ก็จากเราเองกันทั้งนั้น ... แม้จะมาทํางานบนภูเขาก็จริง แต่เขาก็ยังคง คิดถึงเหตุการณ์ภัยน้ําท่วมดินโคลนถล่มที่ผ่านมา อีกทั้งความเสียหายต่อข้าวของที่ต้องย้ายออกจาก บ้านเช่าและค่าใช้จ่ายหลังน้ําท่วมที่ค่อนข้างเยอะพอควร และยิ่งในสภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจแบบนี้...
/
หากเราเปรียบสงคราม และอาชญากรรมที่กระทำต่อมนุษย์ อย่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การสังหารหมู่ และการล่าอาณานิคม เป็นเหมือนการสร้างบาดแผลและความแตกร้าวต่อมวลมนุษยชาติ ศิลปะก็เป็นหนทางหนึ่งในการเยียวยาซ่อมแซมบาดแผลและความแตกร้าวเหล่านั้น แต่การเยียวยาซ่อมแซมก็ไม่จำเป็นต้องลบเลือนบาดแผลและความแตกร้าวให้สูญหายไปเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น หากแต่การเหลือร่องรอยแผลเป็นและรอยแตกร้าวที่ถูกประสาน ก็เป็นเสมือนเครื่องรำลึกย้ำเตือนว่า สิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว และไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นอีกซ้ำเป็นครั้งที่สอง เช่นเดียวกับสิ่งที่ปรากฏในนิทรรศการ “Urgency of Existence” นิทรรศการแสดงเดี่ยวครั้งแรกในเอเชียของ คาแดร์ อัทเทีย (Kader Attia) ศิลปินชาวฝรั่งเศส - แอลจีเรีย ผู้มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เขาเป็นหัวหอกในการทำงานศิลปะผ่านสื่ออันแตกต่างหลากหลาย ที่นำเสนอแนวคิดหลังอาณานิคม และการปลดแอกอาณานิคม จากมุมมองของตัวเขาเอง ที่มีประสบการณ์ทางตรงและทางอ้อมของผู้ที่เคยถูกกดขี่และถูกกระทำจากลัทธิล่าอาณานิคมในศตวรรษที่ผ่านมา
/
ในช่วงปลายปี 2024 นี้ มีข่าวดีสำหรับแฟนๆ ศิลปะชาวไทย ที่จะได้มีโอกาสชมผลงานศิลปะร่วมสมัยของเหล่าบรรดาศิลปินทั้งในประเทศและระดับสากล ยกขบวนมาจัดแสดงผลงานกันในเทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ 2024 ที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 แล้ว โดยในเทศกาลศิลปะครั้งนี้นำเสนอผลงานศิลปะจาก 76 ศิลปิน 39 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ภายใต้ธีมหลัก “รักษา กายา (Nurture Gaia)” ที่ได้แรงบันดาลใจจากเทพี ไกอา (Gaia) ในตำนานเทพปรณัมกรีก หรือพระแม่ธรณีผู้ให้กำเนิดและหล่อเลี้ยงสรรพชีวิต เพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์อันสอดประสานกลมกลืนกันระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ
/
เมื่อพูดถึงชื่อ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล หรือ เจ้ย มิตรรักแฟนหนังหลายคนน่าจะรู้จักเขาในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทยผู้เปี่ยมไปด้วยความเป็นศิลปะที่สุด ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย แต่หมายรวมถึงในสากลโลก ยืนยันด้วยรางวัลสำคัญจากเทศกาลภาพยนตร์ระดับโลกหลายต่อหลายรางวัล ไม่ว่าจะเป็นรางวัลยอดเยี่ยมในการฉายสายรอง (Un Certain Regard) จากภาพยนตร์เรื่อง สุดเสน่หา (Blissfully Yours) (2002) และรางวัลขวัญใจคณะกรรมการ (Jury Prize) จากภาพยนตร์เรื่อง สัตว์ประหลาด! (Tropical Malady) (2004) จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ ในปี 2002 และ 2004, หรือภาพยนตร์เรื่อง แสงศตวรรษ (Syndromes and a Century) (2006) ของเขาก็ได้รับเลือกให้เข้าชิงรางวัลสิงโตทองคำในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเวนิส ในปี 2006 และคว้ารางวัลกรังปรีซ์จากเทศกาลภาพยนตร์ Deauville Asian Film Festival ในปี 2007, และภาพยนตร์เรื่อง รักที่ขอนแก่น (Cemetery of Splendor) (2015) ของเขาก็คว้ารางวัลยอดเยี่ยมจากเวที Asia Pacific Screen Awards ในปี 2015, ที่สำคัญที่สุด อภิชาติพงศ์ยังเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รับรางวัล ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมปาล์มทองคำ (Palm d’or) จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ ครั้งที่ 63 ในปี 2010 จากภาพยนตร์เรื่อง ลุงบุญมีระลึกชาติ (Uncle Boonmee Who Can Recall His Past Lives) (2010), และล่าสุด ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องล่าสุดของเขาอย่าง Memoria (2021) ยังคว้ารางวัล Jury Prize ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ครั้งที่ 74 ในปี 2021 มาครองได้อีกครั้ง อีกทั้งยังได้รับเสียงวิจารณ์เชิงบวกอย่างท่วมท้นจากสื่อมวลชนนานาชาติ
We use cookies, localStorage and other technologies (collectively, "cookies") to recognise your browser or device, learn more about your interests, and provide you with essential features and services and for additional purposes. ( see details )