LOOKING ON EVERYTHING ?
EXPLORE ON EVERYTHING

“RedLife ทำให้เราใจเต้นแรงจริงๆ”
คุยกับ เป๋ง-ชานนท์ ยอดหงษ์ อาร์ตไดเรกเตอร์สไตล์จัด แห่ง DogKillMen ผู้อัดฉีดความเดือดพล่านให้กับ RedLife
"เป๋ง-ชานนท์ ยอดหงษ์" คืออาร์ตไดเรกเตอร์สไตล์จัดแห่ง DogKillMen ผู้อยู่เบื้องหลังปกอัลบั้มของวงดนตรีระดับประเทศ ไม่ว่าจะเป็น Big Ass, Bodyslam และ Bomb at Track และล่าสุด เป๋งยังได้กระโดดเข้ามาเป็นอาร์ตไดเรกเตอร์แห่ง ‘RedLife’ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้ก้าวเข้ามาสู่วงการภาพยนตร์ โดยเป๋งรับผิดชอบในการออกแบบโลโก้ โปสเตอร์ ไปจนถึงเป็นมันสมองสำคัญในการอัดฉีดสไตล์มันๆ ให้กับหนังเรื่องนี้
แม้จะคร่ำหวอดอยู่ในวงการดนตรีมาจนเชี่ยวชาญ แต่ในฐานะอาร์ตไดเรกเตอร์มือใหม่แห่งวงการภาพยนตร์ เราอยากชวนคุณไปคุยกับเป๋งว่าอะไรคือความสนุกที่เขาได้พบ ในการกระโดดเข้ามาในโลกของภาพยนตร์ครั้งนี้

ย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น ความสนใจด้านดีไซน์ของคุณเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่
น่าจะตั้งแต่เด็กๆ เลย เราจำได้ว่าที่บ้านไม่ได้มีของเล่นเยอะ แต่สิ่งที่มีเยอะคือปากกากับกระดาษ ด้วยความที่แม่ทำงานธนาคาร เขาเลยมักจะขนกระดาษที่ใช้ไปแค่หน้าเดียวกลับมาที่บ้าน แล้วคอยสนับสนุนเรื่องสี ดินสอ และปากกา พอได้วาดรูปเล่นไปเรื่อยๆ เราก็ค่อนข้างทำได้โดดเด่นกว่าเพื่อนในห้อง บวกกับเราชอบดูหนังฟังเพลง อ่านการ์ตูนอยู่แล้วด้วย มันเลยซึมซับการออกแบบไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยมปลาย เราก็ได้เป็นตัวแทนไปประกวดวาดรูปตลอด
แต่พอเวลาผ่านไป ด้วยความที่ยุคของเราไม่มีสื่อมาบอกว่า งานออกแบบสามารถประกอบอาชีพได้ เราก็เลยเบนสายไปเรียนวิศวะ แต่สุดท้ายมันก็ไปไม่รอดนะ เราเลยกลับมาถามตัวเองว่า จริงๆ แล้วชอบอะไร ซึ่งคำตอบคือการวาดรูป
แปลว่ามันก็มีช่วงเวลาที่คุณห่างหายจากการวาดรูปไปเหมือนกัน
เราไม่ได้เป็นคนที่จริงจังกับการวาดรูปอยู่แล้ว อย่างไปประกวดจริงๆ ก็ไม่เคยได้รางวัลนะ แค่ทำแล้วมันสนุก สุดท้ายก็ลองไปปรึกษาคนอื่นๆ ดูเลยได้รู้ว่ามันมีคณะเกี่ยวกับการวาดรูปและการออกแบบด้วย เราเลยตัดสินใจไปเรียน แล้วก็พบว่ามันสนุก
สนุกยังไงบ้าง
สนุกเพราะมันไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นอะไรก็ได้ มันสามารถปลดปล่อยความเพ้อเจ้อของเราได้ ทำให้ความเพ้อเจ้อกลายเป็นรูปธรรม มันเหมือนว่าเรากำลังวิ่งเล่นอยู่ตลอดเวลา

จากเด็กที่เคยวาดรูปเก่งในโรงเรียน พอต้องมาเรียนศิลปะแล้วเป็นอย่างไรบ้าง
เรากลายเป็นคนที่ห่วยที่สุดในห้องทันทีเมื่อต้องมาเจอกับคนที่เคยเรียนรู้อะไรต่างๆ มาก่อน แต่โชคดีมากที่ได้มาเจออาจารย์คนหนึ่งซึ่งเขาเห็นความคิดสร้างสรรค์บางอย่างในตัวเรา เขาบอกว่า คุณอย่าไปท้อกับเรื่องทักษะพื้นฐานนะ อดทนไว้ เดี๋ยวพอปีสาม วิชาที่เรียนก็จะเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์หมดแล้ว เราก็เลยอดทนรอ เราสนุกกับการวาดรูปนะเพียงแต่มันไม่ได้ออกมาดี เพราะเราอยู่กับการโดนอวย ถูกเชียร์จากเพื่อนๆ มาโดยตลอด ซึ่งพอขึ้นปีสามและได้เจอกับวิชาที่มีเรื่องความคิดสร้างสรรค์เข้ามา เราก็เลยได้รู้ว่า นี่แหละคือเรา
ช่วงปีสามที่คุณได้เจอเส้นทางใหม่ วิธีคิดงานของคุณเป็นอย่างไร
เราชอบคิดว่า ถ้าคนอื่นทำแบบหนึ่งแล้วมันดี เราก็จะไม่ทำ เพราะรู้ว่าทำไปก็สู้เขาไม่ได้ ลองไปทำอีกแบบเลยดีกว่า เราจะรู้สึกอย่างนี้อยู่เสมอ ส่วนหนึ่งมันอาจเป็นเพราะเราโดนสอนมาตั้งแต่เด็กๆ ด้วยว่า ‘คนอื่นเขาแต่งตัวยังไง อย่าไปแต่งตัวตาม’ อะไรที่เขาฮิตก็ไม่ต้องไปซื้อตาม อย่าไปเหมือนคนอื่น พอโตขึ้นก็เลยลองคิดลองเปลี่ยนดูว่า ถ้าเราทำอีกแบบหนึ่งจะได้ไหม

ในช่วงแรกๆ ที่คุณพยายามหาแนวทางของตัวเอง มันอาจมีจุดที่ยังไม่มั่นใจในทิศทางที่เดินไป แล้วอะไรคือจุดที่คุณสามารถบอกได้ว่าพอใจกับสไตล์ของตัวเองแล้ว
ขอเลือกตอบเป็นตัวเอง ณ ช่วงเวลานี้ได้ไหม เพราะเราเพิ่งค้นพบว่า ถ้าเมื่อไหร่ที่รู้สึกว่ามันดีแล้ว แปลว่าเรากำลังทำในสิ่งที่เคยมีต้นแบบมาก่อน แต่ถ้าเมื่อไหร่เราตั้งคำถามว่ามันดีไหม ไม่ค่อยมั่นใจ นั่นแปลว่าเรากำลังเดินมาในทิศทางใหม่ ตอนนี้มันเลยไม่ค่อยกังวลว่านี่คือดีที่สุดหรือสวยที่สุดหรือยัง เพราะเราจะชอบงานที่เมื่อทำเสร็จเราจะตั้งคำถามกับมัน
จากวันที่คุณได้ค้นพบว่า ตัวเองสนุกกับความคิดสร้างสรรค์ เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่า คุณพาตัวเองมาสู่เส้นทางของการออกแบบปกอัลบั้มเพลงได้อย่างไร
จริงๆ ตอนที่เราทำตัวจบก็เป็นงานเกี่ยวกับดนตรีนะ แต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไรขนาดนั้น พูดตรงๆ คือเราออกแบบอะไรก็ได้ที่ได้เงิน เพื่อจะมีเงินไปเที่ยวและซื้อเสื้อผ้า สนุกไปวันๆ แต่สักพักพอเริ่มเห็นเพื่อนที่ทำงานเก่งๆ เท่ๆ ได้ออกสื่อ เราก็รู้สึกว่า ‘ฉิบหายละ กูต้องทำอะไรเท่ๆ บ้าง’ พอมาลองคิดว่า จริงๆ เราชอบฟังเพลง โตมาก็บ้าซื้อเทปซื้อซีดีมาตลอด แล้วมันก็เท่ด้วยได้ทำงานกับศิลปิน แต่เราไม่มีพอร์ต ก็เลยไปขอออกแบบโปสเตอร์คอนเสิร์ต ได้ตังค์มาบ้างไม่ได้บ้างก็ไม่เป็นไร ขอแค่เขาให้ใส่ ‘designed by เป๋ง ชานนท์’ ก็พอ จนทำไปสักพักก็มีวงดนตรีที่แกรมมี่ติดต่อเข้ามาจนได้ทำปกอัลบั้ม

วงดนตรีที่ติดต่อมานั้นคือวงอะไร
Ebola ครับ ซึ่งเป็นวงที่เราชอบมากๆ อยู่แล้วด้วย แต่ด้วยความที่เป็นปกแรกซึ่งไม่เคยมีใครสอน เราก็อาศัยความมั่วซั่วเยอะอยู่เหมือนกัน

ปกอัลบั้มที่ดีสำหรับคุณต้องเป็นแบบไหน
ยากมากเลย สำหรับเรามันคือการสร้างสิ่งใหม่ๆ ถ้าตัดพื้นฐานออกไป เราคิดว่าปกที่ดีมันต้องเล่า key message บางอย่างของศิลปิน เพียงแต่เราคิดว่ามันควรจะสร้างแรงกระเพื่อมบางอย่างให้กับงานออกแบบ เพราะว่าปกอัลบั้มมันฟรีสไตล์กว่างานโฆษณามาก ไม่มีโจทย์ที่ครอบคลุมขนาดนั้น เราเลยรู้สึกว่า ปกอัลบั้มที่ดีมันคือการสร้างสิ่งใหม่ๆ ที่สามารถทำให้ใครสักคนอยากลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง เช่น อยากจะเป็นนักออกแบบ หรือได้ค้นพบแนวทางใหม่ในการออกแบบ

จากออกแบบปกอัลบั้มเพลง สู่การออกแบบโปสเตอร์ RedLife ทราบมาว่า นี่เป็นการออกแบบโปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตคุณด้วย
นิสัยส่วนตัวของเราคือ เวลาที่ได้เจออะไรที่ไม่เคยทำมาก่อนแล้วมันจะอยากทำมากๆ อยากลอง เหมือนเด็กที่ได้เจอสนามเด็กเล่นใหม่ จริงๆ ตอนแรกเราแค่ตื่นเต้นที่จะได้ทำงานเกี่ยวกับหนัง แต่ว่ายังไม่ตื่นเต้นกับหนังเรื่องนี้นะ
คุณไปโดนเส้นหนังเรื่องนี้ตอนไหน
ตอนที่ได้ดู จริงๆ ตอนที่อ่านบทก็รู้สึกว่า เฮ้ย ทางว่ะ แต่พอได้ดูหนังจริงๆ ปรากฏว่า อินฉิบหาย ปกติเวลาทำงานเราจะมีทีมที่ช่วยๆ กันทำ แต่พองานนี้เราบอกเลยว่า ‘พวกมึงไปทำชิ้นอื่นเลย กูขอทำงานนี้ กูขอทำ’ น้องๆ ในทีมยังบอกเลยว่า เราเหมือนเด็กหวงของเล่น อีกอย่างคือ เราโชคดีด้วยที่ผู้กำกับเขาบรีฟมาง่ายๆ ว่า ‘เป๋งคิดตามวิธีของตัวเองได้เลย’ คือไม่ต้องทำตามวิธีการที่เขาออกแบบโปสเตอร์หนังกัน มันเลยไม่ได้รู้สึกแปลกแยกหรือต้องมาเริ่มต้นอะไรใหม่มาก
แล้วกับโลโก้ของ RedLife คุณได้ไอเดียมาจากไหน
เราลองไปดูโลเคชันที่หนังถ่าย ไปเดินมองกำแพงต่างๆ จนรู้สึกว่า เวลาที่ใครสักคนโดนบีบอัดจากอะไรบางอย่าง สิ่งที่เขาจะทำคือการระบายออกมา ด่าทอ และขีดเขียนกำแพง ซึ่งที่เขาต้องไปเขียนบนกำแพงก็เพราะมันไม่มีพื้นที่ให้ปลดปล่อย โลโก้ที่เราออกแบบมันเลยอาจผิดจากสูตรหนังเรื่องอื่นๆ อยู่บ้างเพราะมันไม่ได้อิมแพคหรือใช้ฟอนต์เด่นๆ เพราะเราอยากให้โลโก้ของหนังระบายอารมณ์ออกมาเหมือนการเขียนคำพูดบนกำแพง



แล้วกับโปสเตอร์ที่ออกแบบล่ะ คุณอยากให้คนที่ได้เห็นรู้สึกอย่างไรกับโปสเตอร์ของหนังเรื่องนี้
อย่างแรกคือ เราอยากให้รู้สึกว่ามันแตกต่างไปจากโปสเตอร์หนังไทยที่มีอยู่ อยากให้รู้สึกว่า มันมีอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ อยากให้มันสะดุดตา เราเป็นคนที่ชอบทำงานเพื่อเรียกร้องความสนใจอยู่แล้ว
หลังจากที่ได้ออกแบบโปสเตอร์หนังเรื่องแรกไป คุณเริ่มติดใจงานนี้บ้างหรือยัง
สนุกครับ เป็นการสร้างสีสันใหม่ให้กับตัวเอง พอได้มาทำตรงนี้มันก็ส่งผลให้วิธีการดูหนังของเราเปลี่ยนไปเหมือนกันนะ ได้สังเกตและโฟกัสกับวิธีการทำงานมากกว่าจะสนใจแค่เนื้อเรื่องและความบันเทิง เราเข้าใจพี่ๆ คนทำหนังหลายคนที่บอกว่า ตั้งแต่มาทำหนังก็ดูหนังไม่สนุกอีกเลย เพราะมันจะเห็นตลอดว่าภาพหลังกล้องเป็นยังไง เพียงแต่เรายังไม่ได้ถึงขั้นนั้น เรายังอยู่ในช่วงที่ได้เรียนรู้เรื่องใหม่ๆ

จากคนที่คร่ำหวอดในการออกแบบปกอัลบั้มเพลง พอต้องมาเป็นมือใหม่ในวงการออกแบบโปสเตอร์ภาพยนตร์ในวัยนี้ คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง
เราคิดว่ามันเป็นช่วงเวลาที่กำลังพอดีนะ เพราะเรามีประสบการณ์และวุฒิภาวะมาประมาณหนึ่งแล้ว เคยคิดเหมือนกันว่า ถ้าได้งานนี้มาในช่วงเวลาอื่นแล้วเราจะทำได้ไหม จะทำออกมาเป็นยังไง หรือถ้าช้ากว่านี้ ไฟในตัวเรามันจะหายไปหรือเปล่า แต่เพราะเรายังได้ทำสิ่งใหม่ๆ ตลอด ไฟของเราเลยยังไม่มอด และยังคงถูกจุดติดอยู่เรื่อยๆ
ซึ่ง RedLife ก็ถือเป็นการจุดไฟ?
โห จุดแรงมาก เราสนุกกับการทำงานนี้มาก RedLife ทำให้เราใจเต้นแรงจริงๆ (ยิ้ม)
“RedLife ทำให้เราใจเต้นแรงจริงๆ” คุยกับ เป๋ง-ชานนท์ ยอดหงษ์ อาร์ตไดเรกเตอร์สไตล์จัด แห่ง DogKillMen ผู้อัดฉีดความเดือดพล่านให้กับ RedLife
/
ทันทีที่ Key Visual สถาปนิก’ 68 เผยแพร่ออกมา บทสนทนาปลุกสัญชาตญาณนักสืบในตัวทุกคนพร้อมใจกันทำงานแบบ Autopilot และระหว่างที่ตามหาเฉลยกันจริงจัง ทุกคนเริ่มหันมาตั้งคำถามต่อว่า Art Toys เกี่ยวข้องกับธีมงานอย่างไร รู้ตัวอีกทีวงสนทนาก็กระเพื่อมขยายกว้างขึ้น ส่งสัญญาณชัดว่า Key Visual ปีนี้เปิดฉากมาแบบสนุกเอาเรื่อง โดนเส้นกันสุดๆ
/
วัลลภ รุ่งกำจัด หรือ อุ้ม นักแสดงที่เชื่อมโยงความเป็นมนุษย์กับโลกของภาพยนตร์ ผ่านการสร้างชีวิตให้ตัวละครต่าง ๆ ได้ออกมาโลดแล่นแสดงความรู้สึกทางอารมณ์ให้กับผู้ชม แม้เขาจะไม่ได้เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงในวงกว้างเทียบเท่ากับนักแสดงกระแสหลัก แต่ในเวทีระดับโลก “อุ้ม” ได้พิสูจน์ตัวเองกับการเป็นนักแสดงที่มีความสามารถที่ยอมทุ่มเทหลาย ๆ สิ่ง ให้กับงานศิลปะด้านการแสดงในภาพยนตร์เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้อย่างสุดตัว
/
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้เราได้รู้จักกับเธอคนนี้ในชื่อของ พัด หรือที่ชอบเรียกติดปากกันว่า พัด ZWEED N’ ROLL เจ้าของเสียงทุ้มมีเสน่ห์ นักร้องและนักแต่งเพลงที่ฝากผลงานเพลงเศร้าเอาไว้ในวงการมากมาย อาทิ ช่วงเวลา, Diary, อาจเป็นฉัน และอีกมากมาย ไม่มีอะไรแน่นอนแม้กระทั่งตัวเราเอง ช่วงเวลาจึงได้พัดพาให้เรามาทำความรู้จักกับ “MAMIO” ในฐานะศิลปินใหม่จากค่าย Warner Music Thailand ซึ่งเป็นอีกตัวตนหนึ่งของคุณพัดที่ไม่เคยถูกปลดปล่อยออกมาเลยตลอดชีวิตการทำงานในวงการสิบกว่าปีที่ผ่านมา หรือถ้าจะให้ซื่อสัตย์กับตัวเองจริง ๆ ก็อาจจะเป็นทั้งชีวิตที่เกิดมาเลยเสียด้วยซ้ำ
/
Whispers เป็นหนึ่งในวงดนตรีที่สะท้อนการเติบโตของวงการ Hardcore ในประเทศไทยอย่างแท้จริง ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงกลุ่มเพื่อนที่หลงใหลในดนตรี เพราะนอกจากจะเป็นผู้เล่น พวกเขายังเป็นกำลังสำคัญที่คอยผลักดันซีนฮาร์ดคอร์ในบ้านเรามาโดยตลอด ประสบการณ์ที่สั่งสมทำให้เกิดเป็นสไตล์เฉพาะของ Whispers สร้างความแตกต่างและเป็นเอกลักษณ์ จนทำให้พวกเขาก้าวไปสู่เวทีระดับสากล ถึงแม้พวกเขาจะอยู่ใต้ดินของไทย แต่เสียงคำรามของพวกเขาก็ดังไปไกลถึงทวีปยุโรป มาพบกับเส้นทางดนตรีที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจและการเปลี่ยนแปลง กับวงฮาร์ดคอร์ระดับบท็อปของ Southeast Asia
/
ด้วยลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์และรูปแบบงานสักของเขา ที่เรารู้สึกแปลกประหลาดกว่างานสักอื่น ๆ (แปลกประหลาดในที่นี้คือความหมายในแง่ดีนะ) ก็เลยตัดสินใจส่งข้อความทักไปหา “พี่นัทครับ ผมขอสัมภาษณ์พี่ได้ไหม” “ได้ครับ” สั้น ๆ แต่จบ เรื่องราวทั้งหมดก็เลยเริ่มต้นขึ้นที่ร้าน CAVETOWN.TATTOO แถว ๆ ปิ่นเกล้า ซึ่งพี่นัทเป็นเจ้าของร้านแห่งนี้ บทสนทนาของเราเริ่มกันในช่วงเวลาบ่าย ๆ ของวันพฤหัส พอไปถึงร้านพี่นัทกำลังติดงานสักให้กับลูกค้าอยู่หนึ่งคน พอได้เห็นลายที่เขาสักต้องบอกว่าเท่มาก ๆ มันมีความเป็น Psychedelic บวกกับ Ornamental ผสมผสานกับเทคนิค Dotwork จนกลายเป็นงานศิลปะบนผิวหนังหลังฝ่ามือ เราถึงกับต้องถามคำถามโง่ ๆ กับลูกค้าที่ถูกสักว่า “เจ็บไหม” แน่นอนคำตอบที่ได้คือ “โคตรเจ็บ” เพราะจุดที่สักคือหลังฝ่ามือ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่หลายคนร่ำลือกันว่าโคตรเจ็บ ระหว่างที่รอพี่นัทไปพลาง ๆ น้องแมคช่างภาพที่มีรอยสัก Full Sleeve เต็มแขนขวา ก็เริ่มกดชัตเตอร์กล้องถ่ายรูปเก็บภาพระหว่างที่เขาสักไปด้วย พอสักเสร็จเรียบร้อยก็ปล่อยให้พี่เขาพักผ่อนกินน้ำ ปัสสาวะ (อ่านแยกคำนะอย่าอ่านติดกัน) ก่อนจะพูดคุย แต่เดี๋ยว ! ก่อนจะเริ่มบทสนทนา เราขอเกริ่นให้ฟังซักนิดนึงเกี่ยวกับชายคนนี้ก่อน
/
ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปีวงดนตรีสัญชาติไทยที่ชื่อ KIKI ได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในวงที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากทั้งในประเทศไทย ญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ ฮ่องกง ก็เพราะด้วยเสียงเพลงที่มีความเป็นเอกลักษณ์ และการนำเสนอแนวคิดที่ไม่เหมือนใคร รวมถึงความตั้งใจในการสร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนถึงตัวตนของพวกเขาได้อย่างชัดเจน
We use cookies, localStorage and other technologies (collectively, "cookies") to recognise your browser or device, learn more about your interests, and provide you with essential features and services and for additional purposes. ( see details )