From Woodstock to Vietnam protests: ดนตรี สงคราม LSD และ การแสวงหาสันติภาพ ใน Revolutions: Records and Rebels | IAMEVERYTHING.CO

LOOKING ON EVERYTHING ?

EXPLORE ON EVERYTHING

You Say You Want A Revolution?
เพราะดนตรีคือพลัง และแฟชั่นคือเครื่องปลอบประโลมจิตใจ ทริปการไปเยี่ยมเยือนเมลเบิร์นครั้งนี้ของเรายังเคว้างคว้างไม่หยุด อากาศขมุกขมัวด้านนอก ทำให้แสงอาทิตย์ร่ำลาจากเราไปไว้เหลือเกิน โชคดีที่เรามาทันนิทรรศการ Revolutions: Records and Rebels พอดี ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์ของหน้าหนาวนี้ สำหรับใครที่เป็นแฟนๆ ดนตรีในยุค 60s หรือแม้กระทั่งคนที่สนใจในเรื่องของประวัติศาสตร์สงครามต่างๆ งานนี้ที่จัดขึ้นที่ Melbourne Museum ตั้งแต่เดือนเมษายน

Revolutions: Records and Rebels เกิดขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากสภาพสังคม การปฏิวัติทางการเมือง สงคราม และ ดนตรี ในยุคที่ประชาชนเชื่อในเรื่องสิทธิเสรีภาพในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย การเมืองที่กลายเป็นเรื่องของความขบถ และความไม่ถูกต้องหากพูดออกมาอย่างโจ่งแจ้งเกินไป ที่นับวันยิ่งรุนแรง ถูกจำกัดและไม่สามารถพูดถึงได้ในวงกว้าง การเข้ามาของทหารอเมริกันในยุคสงครามเวียดนาม นอกจากจะเป็นสงครามที่ส่งผลกระทบในหลายๆ เรื่องแล้ว การต่อสู้ในอุดมการณ์การปกครองระหว่างประชาธิปไตยและคอมมิวนิสต์ในครั้งนี้ ยังก่อให้เกิดวัฒนธรรมของดนตรีที่จะเป็นรากฐานให้กับดนตรีในยุคต่อๆ มา

งานนี้เป็นการรวบรวม เศษเสี้ยวของประวัติศาสตร์ของดนตรี แฟชั่น และภาพยนตร์ที่เกิดขึ้นในช่วงปี 1966 – 1970 ไปจนถึง 1966 – 1972 จำนวนราวๆ 500 ชิ้น ที่ถูกเคลื่อนย้ายและจัดส่งมาอย่างทะนุถนอม ซึ่งทางทีมงานมีความเข้มงวดในการขนส่งเป็นอย่างมาก เพื่อให้เสื้อผ้าไปจนถึงสิ่งของทุกชิ้นอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มากที่สุดจาก Victoria and Albert Museum ในกรุงลอนดอน สู่เมลเบิร์น ดังนั้นสิ่งที่เราจะได้เห็นในนิทรรศการนี้คือ เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้จริงที่บรรดาศิลปินไม่ว่าจะเป็น The Beatles ที่ถ่ายปกอัลบั้ม Sgt Peppers Lonely Hearts Club Band ที่ดีไซน์โดย Manuel Cuevas ดีไซเนอร์ชาวเม็กซิกัน เสื้อผ้าของ Twiggy, Mick Jagger หรือ Jane Fonda แมกกาซีน โปสเตอร์ประท้วงเรียกร้องเสรีภาพในช่วงนั้น ลายมือของ John Lennon ผู้ล่วงลับกับเพลง Revolutions และ Lucy In The Sky With Diamonds ไปจนถึงคลิปวีดีโอของ Bob Dylan กับเนื้อเพลง The Times They Are a-Changin ในปี 1964 และ แผงยาคุมของสาวๆ ในสมัยนั้น

เมื่อเดินมาจนถึงครึ่งทาง เราจะพบห้องโล่งขนาดย่อมๆ ที่กำลังฉายภาพคอนเสิร์ต Woodstock พร้อมกับเบาะ Bean Bag จำนวนหนึ่ง ให้ทุกคนได้เอนหลังผ่อนคลาย Woodstock ไม่ใช่สัญลักษณ์แห่งการเฉลิมฉลอง หรือเป็นงานรื่นเริงเพียงอย่างเดียว แต่ในช่วงที่บรรยากาศบ้านเมืองอยู่ในแวดล้อมของสงครามเวียดนาม สงครามเย็น เทศกาลนี้จึงกลายเป็นเสมือนภาพตัวอย่างสำคัญของกระแสวัฒนธรรมปรปักษ์ (counterculture) หรือวัฒนธรรมที่สวนทางกับวัฒนธรรมกระแสหลัก กลุ่มคนที่นิยมความมีอิสระเสรี มีทัศนคติเรื่องความรัก ความสงบ และมีสโลแกนอย่าง “Peace, Love, Not War” ซึ่งคำว่า “สันติ” (Peace) ก็เชื่อมโยงไปถึงกระแสคัดค้านสงครามเวียดนามที่โหมแรงอย่างหนักในค.ศ. 1969 ในฐานะกระแสการเคลื่อนไหวต่อต้านสงครามและความรุนแรง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นยุคของ “ฮิปปี้” ในยุค 60s

ในช่วงเวลานี้นี่เอง ที่เราได้เข้าใจ ในทุกๆ บทเพลงจากยุคนั้น พวกเขาบันทึกความรู้สึกโกรธอย่างน่าประหลาดต่อสิ่งต่างๆ ซึ่งไม่ได้เป็นแค่เป็นบทเพลงหรืองานรื่นเริงที่ตั้งขึ้นมาลอยๆ เพื่อต่อต้านสงครามเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นบทลงโทษหรือการแสดงตัวตนของความไม่เห็นด้วย แก่ผู้ที่สร้างสงครามขึ้นมาและไม่ยอมทำให้มันจบลงเสียที โดยเฉพาะสงครามเวียดนาม

ตามทางเดิน เราจะได้เห็นคำพูดและวลีต่างๆของ บุคคลที่มีอิทธิพลในยุคนั้น ไม่ว่าจะเป็น Andy Warhol ศิลปินชาวอเมริกันผู้ใช้ 'ศิลปะ' ขับเคลื่อนบริบทสังคม ซึ่งอะไรต่างๆที่เกี่ยวกับเขาผู้นี้ยังทรงอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบัน, Jim Haynes ผู้ที่มีบทบาทอย่างมากในช่วงที่กระแสวัฒนธรรมปรปักษ์กำลังเป็นที่ถกเถียง

เราใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งในการเดินดูและซึมซับช่วงเวลาของยุคนั้นผ่านวัตถุต่างๆที่ได้ผ่านตา และดนตรีที่ผ่านโสตประสาทของเราไป น่าเสียดาย ในใจเราอยากให้นิทรรศการนี้ใหญ่กว่านี้อีกสักนิด สิ่งที่เราฉุกคิดได้หลังจากชมนิทรรศการนี้ คือเราจะเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์สามารถเกิดขึ้นได้ จะเพราะดนตรีก็ดี แฟชั่นก็ดี สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องหล่อหลอมจิตใจและสังคมได้เสมอในทุกยุคสมัย ในเมื่อการแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาไม่ใช่คำตอบของทุกสิ่ง ก็เห็นจะมีแต่พลังบวกจากดนตรีและศิลปะ ที่ทำให้เราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำและช่องว่างทางสังคม สงครามที่ไม่ได้มาในรูปแบบของการต่อสู้ ไม่มีการเผชิญหน้าระหว่างคู่กรณีโดยเปิดเผย ได้อย่างสงบสุข

ตอนนี้นิทรรศการได้ขยายเวลาแสดงไปจนถึงวันที่ 6 ตุลาคมนี้ ที่ Melbourne Museum บัตรราคา 36 เหรียญ หากเป็นบัตรแบบ Flexi-Ticket หรือซื้อหน้างาน และ 29 เหรียญสำหรับใครที่อยากระบุเวลาการเข้าชม ส่วนใครที่เป็นนักศึกษาอยู่ที่ออสเตรเลียอยู่แล้ว ราคาบัตรถูกลงครึ่งนึงเลยนะ

ใครมีโอกาสได้ไปเมลเบิร์นช่วงนี้ ก็อย่าลืม Buy the ticket, Take the ride

    TAG
  • Revolutions
  • Records
  • rebels
  • the beatles
  • exhibition

From Woodstock to Vietnam protests: ดนตรี สงคราม LSD และ การแสวงหาสันติภาพ ใน Revolutions: Records and Rebels

CULTURE&LIFESTYLE/EXHIBITION
6 years ago
CONTRIBUTORS
EVERYTHING TEAM
RECOMMEND
  • DESIGN/EXHIBITION

    Re/Place การปิดทับอดีตเพื่อเปิดเผยความจริงทางการเมือง ของ วิทวัส ทองเขียว

    ในอดีตที่ผ่านมา ในแวดวงศิลปะ(กระแสหลัก)ในบ้านเรา มักมีคํากล่าวว่า ศิลปะไม่ควรข้องแวะกับ การเมือง หากแต่ควรเป็นเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึก ความงาม สุนทรียะ และจิตวิญญาณภายในอัน ลึกซึ้งมากกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะในยุคสมัยไหน ศิลปะไม่เคยแยกขาดออกจาก การเมืองได้เลย ไม่ว่าจะในยุคโบราณ ที่ศิลปะถูกใช้เป็นเครื่องมือรับใช้ชนชั้นสูงและผู้มีอํานาจ หรือใน ยุคสมัยใหม่ที่ศิลปะถูกใช้เป็นเครื่องมือแสดงออกถึงอุดมการณ์ทางสังคมการเมือง หันมามองในบ้าน เราเอง ก็มีศิลปินไทยหลายคนก็ทํางานศิลปะทางการเมืองอย่างต่อเนื่องยาวนาน ในการสะท้อนและ บันทึกประวัติศาสตร์การเมืองไทยได้อย่างเข้มข้น จริงจัง

    Panu BoonpipattanapongFebruary 2025
  • DESIGN/EXHIBITION

    The Grandmaster : After Tang Chang บทสนทนากับ จ่าง แซ่ตั้ง ศิลปินระดับปรมาจารย์แห่งศิลปะสมัยใหม่ไทย โดย วิชิต นงนวล

    เหตุการณ์นี้เป็นอุทาหรณ์ให้เรารู้ว่า การก๊อปปี้ก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป เพราะอย่างน้อยที่สุด ก็ทําให้ เราได้รู้ว่าผลงานต้นฉบับของจริงในช่วงเวลาที่เสร็จสมบูรณ์นั้นมีความดีงามขนาดไหน ไม่ต่างอะไรกับศิลปินร่วมสมัยสัญชาติไทยอย่าง วิชิต นงนวล ที่หลงใหลศรัทธาในผลงานของศิลปิน ระดับปรมาจารย์ในยุคสมัยใหม่ของไทยอย่าง จ่าง แซ่ตั้ง ตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ ในวัยของนักเรียน นักศึกษา เรื่อยมาจนเติบโตเป็นศิลปินอาชีพ ความหลงใหลศรัทธาที่ว่าก็ยังไม่จางหาย หากแต่เพิ่มพูน ขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็สุกงอมออกดอกผลเป็นผลงานศิลปะในนิทรรศการ The Grandmaster : After Tang Chang ที่เป็นเสมือนหนึ่งการสร้างบทสนทนากับศิลปินระดับปรมาจารย์ผู้นี้

    Panu BoonpipattanapongJanuary 2025
  • DESIGN/EXHIBITION

    Monte Cy-Press ศิลปะจากกองดินที่สะท้อนน้ําหนักของภัยพิบัติ โดย อุบัติสัตย์

    “ยูบาซาโตะ เดินผ่านตามแนวต้นสนขึ้นไปบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เพื่อไปก่อสร้างสถูปดิน และมักจะโดน ทีมงานช่างบ่นทุกวันเกี่ยวกับการก่อสร้าง ที่มีเวลาอยู่อย่างจํากัด เขาเพียงได้แต่ตอบไปว่า .. บุญกุศล นําพาและเวลามีเท่านี้ ขอให้ทําสิ่งดีๆ ให้เต็มที่ ต่อสถานที่บนภูเขานี้เถอะ อย่าบ่นไปเลย เราอาจจะ พบกันแค่ประเดี๋ยวเดียว แต่สิ่งเหล่านี้จะอยู่ต่อไปอีกหลายร้อยปี ... ทีมงานทุกคนเพียงส่งรอยยิ้มที่ เหนื่อยล้ากลับมา ก็เพราะต้องทนร้อนทนแดด และเปียกฝนสลับกันไป จากสภาวะโลกเดือด ที่ทุกคน ต่างพูดถึง แต่ก็จะมาจากใคร ก็จากเราเองกันทั้งนั้น ... แม้จะมาทํางานบนภูเขาก็จริง แต่เขาก็ยังคง คิดถึงเหตุการณ์ภัยน้ําท่วมดินโคลนถล่มที่ผ่านมา อีกทั้งความเสียหายต่อข้าวของที่ต้องย้ายออกจาก บ้านเช่าและค่าใช้จ่ายหลังน้ําท่วมที่ค่อนข้างเยอะพอควร และยิ่งในสภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจแบบนี้...

    Panu Boonpipattanapong6 months ago
  • DESIGN/EXHIBITION

    Kader Attia กับศิลปะแห่งการเยียวยาซ่อมแซมที่ทิ้งร่องรอยบาดแผลแห่งการมีชีวิต ในนิทรรศการ Urgency of Existence

    หากเราเปรียบสงคราม และอาชญากรรมที่กระทำต่อมนุษย์ อย่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การสังหารหมู่ และการล่าอาณานิคม เป็นเหมือนการสร้างบาดแผลและความแตกร้าวต่อมวลมนุษยชาติ ศิลปะก็เป็นหนทางหนึ่งในการเยียวยาซ่อมแซมบาดแผลและความแตกร้าวเหล่านั้น แต่การเยียวยาซ่อมแซมก็ไม่จำเป็นต้องลบเลือนบาดแผลและความแตกร้าวให้สูญหายไปเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น หากแต่การเหลือร่องรอยแผลเป็นและรอยแตกร้าวที่ถูกประสาน ก็เป็นเสมือนเครื่องรำลึกย้ำเตือนว่า สิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว และไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นอีกซ้ำเป็นครั้งที่สอง เช่นเดียวกับสิ่งที่ปรากฏในนิทรรศการ “Urgency of Existence” นิทรรศการแสดงเดี่ยวครั้งแรกในเอเชียของ คาแดร์ อัทเทีย (Kader Attia) ศิลปินชาวฝรั่งเศส - แอลจีเรีย ผู้มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เขาเป็นหัวหอกในการทำงานศิลปะผ่านสื่ออันแตกต่างหลากหลาย ที่นำเสนอแนวคิดหลังอาณานิคม และการปลดแอกอาณานิคม จากมุมมองของตัวเขาเอง ที่มีประสบการณ์ทางตรงและทางอ้อมของผู้ที่เคยถูกกดขี่และถูกกระทำจากลัทธิล่าอาณานิคมในศตวรรษที่ผ่านมา

    Panu Boonpipattanapong6 months ago
  • DESIGN/EXHIBITION

    Roma Talismano ชำแหละมายาคติแห่งชาติมหาอำนาจด้วยผลงานศิลปะสุดแซบตลาดแตก ของ Guerreiro do Divino Amor

    ในช่วงปลายปี 2024 นี้ มีข่าวดีสำหรับแฟนๆ ศิลปะชาวไทย ที่จะได้มีโอกาสชมผลงานศิลปะร่วมสมัยของเหล่าบรรดาศิลปินทั้งในประเทศและระดับสากล ยกขบวนมาจัดแสดงผลงานกันในเทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ 2024 ที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 แล้ว โดยในเทศกาลศิลปะครั้งนี้นำเสนอผลงานศิลปะจาก 76 ศิลปิน 39 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ภายใต้ธีมหลัก “รักษา กายา (Nurture Gaia)” ที่ได้แรงบันดาลใจจากเทพี ไกอา (Gaia) ในตำนานเทพปรณัมกรีก หรือพระแม่ธรณีผู้ให้กำเนิดและหล่อเลี้ยงสรรพชีวิต เพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์อันสอดประสานกลมกลืนกันระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ

    EVERYTHING TEAM7 months ago
  • DESIGN/EXHIBITION

    Apichatpong Weerasethakul : Lights and Shadows นิทรรศการครั้งยิ่งใหญ่ใน Centre Pompidou ของศิลปินผู้สร้างแสงสว่างในความมืด อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล

    เมื่อพูดถึงชื่อ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล หรือ เจ้ย มิตรรักแฟนหนังหลายคนน่าจะรู้จักเขาในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทยผู้เปี่ยมไปด้วยความเป็นศิลปะที่สุด ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย แต่หมายรวมถึงในสากลโลก ยืนยันด้วยรางวัลสำคัญจากเทศกาลภาพยนตร์ระดับโลกหลายต่อหลายรางวัล ไม่ว่าจะเป็นรางวัลยอดเยี่ยมในการฉายสายรอง (Un Certain Regard) จากภาพยนตร์เรื่อง สุดเสน่หา (Blissfully Yours) (2002) และรางวัลขวัญใจคณะกรรมการ (Jury Prize) จากภาพยนตร์เรื่อง สัตว์ประหลาด! (Tropical Malady) (2004) จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ ในปี 2002 และ 2004, หรือภาพยนตร์เรื่อง แสงศตวรรษ (Syndromes and a Century) (2006) ของเขาก็ได้รับเลือกให้เข้าชิงรางวัลสิงโตทองคำในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเวนิส ในปี 2006 และคว้ารางวัลกรังปรีซ์จากเทศกาลภาพยนตร์ Deauville Asian Film Festival ในปี 2007, และภาพยนตร์เรื่อง รักที่ขอนแก่น (Cemetery of Splendor) (2015) ของเขาก็คว้ารางวัลยอดเยี่ยมจากเวที Asia Pacific Screen Awards ในปี 2015, ที่สำคัญที่สุด อภิชาติพงศ์ยังเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รับรางวัล ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมปาล์มทองคำ (Palm d’or) จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ ครั้งที่ 63 ในปี 2010 จากภาพยนตร์เรื่อง ลุงบุญมีระลึกชาติ (Uncle Boonmee Who Can Recall His Past Lives) (2010), และล่าสุด ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องล่าสุดของเขาอย่าง Memoria (2021) ยังคว้ารางวัล Jury Prize ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ครั้งที่ 74 ในปี 2021 มาครองได้อีกครั้ง อีกทั้งยังได้รับเสียงวิจารณ์เชิงบวกอย่างท่วมท้นจากสื่อมวลชนนานาชาติ

    Panu Boonpipattanapong8 months ago
SIGN UP TO OUR NEWSLETTER
A Monthly update of the new issue from us
THANK YOU FOR YOUR SUBSCRIPTION

We use cookies, localStorage and other technologies (collectively, "cookies") to recognise your browser or device, learn more about your interests, and provide you with essential features and services and for additional purposes. ( see details )