INTERVIEW PRABDA YOON : Someone From Nowhere - มา ณ ที่นี้ | IAMEVERYTHING.CO

LOOKING ON EVERYTHING ?

EXPLORE ON EVERYTHING

หลังจากที่ฉายรอบปฐมทัศน์ในสายประกวด Asian Future ของเทศการ Tokyo International Film Festival 2017 เมื่อปลายปีที่ผ่านมา กับผลตอบรับจากคนดูและสื่อมวลชนที่ให้ความสนใจ Someone From Nowhere - มา ณ ที่นี้ ภาพยนต์ลำดับที่ 2 ในบทบาทผู้กำกับของปราบดา หยุ่น ที่มองว่าภาพยนตร์คือศิลปะแยกส่วน ที่ถูกหลอมรวมเข้าด้วยกันภายใต้การดูแลของผู้กำกับ

จากสิ่งที่ไม่เคยคิดริเริ่มจะเลือกทำ สู่การค้นพบความสนุกรูปแบบใหม่ที่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านศาสตร์การเล่าเรื่องในภาษาภาพยนตร์ ที่เปรียบเสมือนสนามทดลองที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ เมื่อปราบดาบอกกับเราว่าความไม่รู้จักโตและความไม่รู้จักพอ คือส่วนสำคัญที่พาตัวตนของเขา “มา ณ ที่นี้” ได้
ภาพยนต์ลำดับที่ 2 Someone From Nowhere - มา ณ ที่นี้
- เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงคนนึงที่ตื่นขึ้นมาตอนเช้าและใช้ชีวิตปกติของเธอก่อนจะไปทำงาน แต่ก่อนที่จะไป พอเปิดประตูออกมาก็พบชายคนนึงนอนหมดสติอยู่หน้าห้องและบาดเจ็บเล็กน้อย ในขณะที่เธอไปโทรหารปภ.ให้มาช่วย พอกลับมาก็พบว่าผู้ชายคนนี้หายไปและกำลังนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นของเธอแล้ว หลังจากนั้นเรื่องจะดำเนินไปด้วยการที่สองคนนี้พยายามที่จะเคลมว่าใครเป็นเจ้าของห้องนี้กันแน่

เรื่องนี้มีความเป็นหนังเล็ก เล็กกว่าเรื่องที่แล้วอีก ค่อนข้างจะเรียบง่ายไม่ซับซ้อนเท่าเรื่อง Motel Mist (โรงแรมต่างดาว) แต่ว่ามันก็เป็นหนังที่ต้องตีความหมาย คือเป็นหนังที่มีความเป็นนามธรรม และอาจจะไม่ใช่ plot ที่เราคุ้นชินกันมากนัก ในส่วนของการทำงานก็มีข้อจำกัดหลายๆ อย่างอยู่ในตัวของมันเอง ทั้งก่อนที่จะทำ ระหว่างที่ทำ และหลังทำงานด้วย เพราะฉะนั้นหลายๆ อย่างมันคือการเผชิญหน้ากับปัญหาและค่อยๆ แก้ไปทีละเปราะ
หนังสะท้อนสังคมและการเมือง
- คือเราเป็นคนทำงานโดยอ้างอิงกับสถานการณ์รอบตัว แล้วก็ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องรอบๆ ตัว เพราะฉะนั้นการมีเรื่องของการเมืองหรือสังคมเกี่ยวข้องมันเป็นธรรมชาติของเรา เพราะเรารู้สึกว่าเวลาเราจะพูดหรือแสดงความเห็นอะไรบางอย่าง มันมักจะเป็นเสียงสะท้อนที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์รอบตัวเรา ฉะนั้นถ้าสังคมมีเรื่องอะไรหรือหน้าหนังสือพิมพ์มีเรื่องอะไร เราก็มักจะหยิบยกอะไรเล็กน้อยเพื่อมาใช้ในงานเราด้วย เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่ประเด็นหลักของตัวเรื่อง แต่...อย่างสมมติว่าพูดถึงเรื่องพื้นที่ ถ้าเราตีความคำว่าพื้นที่มันก็เป็นได้หลายอย่าง ตั้งแต่พื้นที่บ้านของเราไปจนถึงประเทศที่เราใช้ร่วมกัน มันเกี่ยวข้องกันทางใดทางหนึ่ง
พูดถึงนักแสดงนำทั้งสอง
- คุณแพท ชญานิษฐ์ และ คุณอะปอม พีรพล ทั้งสองคนนี้เราไม่เคยรู้จักมาก่อน แพทเนี่ยโดยภาพลักษณ์แล้วเข้ากับคาแรคเตอร์ในเรื่องที่เราจินตนาการถึง ส่วนคุณอะปอมเค้าเป็นนักแสดงละครเวที Performance Art การตัดสินใจจริงๆ มันเกิดขึ้นตอนที่เขามาเวิร์คช็อปและออดิชั่น เพราะว่าเราต้องดูเคมีของสองคนนี้ว่า เวลาเขาแสดงด้วยกันเราเชื่อว่าเขาเป็นคาแรคเตอร์ในเรื่องของเราจริงๆ ก็ถือว่าเป็นโชคดีของเราในการคัดเลือกนักแสดง ทั้งสองคนทุ่มเทมาก มันทำให้เรารู้สึกโล่งใจแล้วก็รู้สึกว่าเป็นการทำงานที่ราบรื่น เพราะว่าสำหรับเราน่ะความยากที่สุดเลยคือการทำให้นักแสดงปรากฏบนจอแล้วน่าเชื่อว่าเป็นตัวละครตัวนั้นไม่ใช่ว่ากำลังแสดงอยู่ ซึ่งทั้งแพทและอะปอมทำได้
นอกจากภาพจะโดดเด่นแล้ว sound design ก็น่าสนใจ
- เราร่วมงานกับคุณไผ่จากวง Plot คนเดิม (จากเรื่อง Motel Mist) ไผ่กับเราจะคุยกัน ผมมีส่ง reference ไปให้บ้างว่าเราอยากเห็นแบบนี้ อยากได้ยินแบบนี้ แต่ก็จะเหมือนกับเรื่องแรกคือ ไผ่ก็จะเอา ref. กับการคุยกันประกอบการดูหนังไปคิดของเขาเอง เราชอบทำงานกับคนแบบนี้ด้วยมั้ง เราไม่ได้ชอบคนที่จะทำงานตามแบบที่เราต้องการทุกอย่างหรือว่าพยายามที่จะเลียนแบบ ref. ให้เหมือนให้ได้ เราชอบคนที่ตีความหนังด้วยตัวเองแล้วก็มีแรงบันดาลใจที่จะสร้างอะไรใหม่ๆ ซึ่งไผ่เขามีตรงนี้และผมก็ชอบงานของเขาอยู่แล้ว เราอยากทำงานแบบที่เห็นงานของคนที่เราชอบ อยากฟังดนตรีของนักดนตรีที่เราชอบ อยากเห็นการแสดงของนักแสดงที่เราชื่นชอบ อยากทำงานกับคนที่เราชอบในความสามารถของเขา
ไม่ได้เป็นผู้กำกับที่เบ็ดเสร็จเองทุกอย่าง แต่เป็นการรวบรวมประกอบแต่ละส่วนเข้าด้วยกัน
- ใช่ คือไม่ได้ต้องการให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่เราคิดเลย เพราะว่าเราชอบเผชิญกับประสบการณ์ที่เราคาดไม่ถึงด้วย เราเลยชอบออกกอง ทุกคนก็จะงงว่าทำไมชอบออกกองวะ ไม่เข้าใจ (หัวเราะ) เรารู้สึกว่ามันคือช่วงเวลาที่เราเผชิญกับความคาดไม่ถึงเสมอ ทั้งดีและไม่ดี บางวันก็มีปัญหา แต่วันที่ดี เราก็จะรู้สึกดีมากเหมือนกัน หรืออาจจะติดมาจากสมัยเรียนแน่ๆ เลย เราเรียนโรงเรียนศิลปะ เราชอบเวลาที่อยู่ในสตูดิโอ และเราก็จะอยู่ข้างเพื่อนๆ ทุกคนก็จะทำงานของตัวเองไปแต่ว่าเราก็จะคุยกัน ทุกงานมันจะมีความเห็นของเพื่อนอยู่ในนั้นหมด เรารู้สึกว่างานศิลปะแบบนั้นน่ะมันน่าตื่นเต้นดี
ส่วนที่ชอบคือการออกกอง แล้วส่วนที่ไม่ชอบที่สุดในการทำหนังหนึ่งเรื่อง
- มันแปลกมากเลยเพราะมันขัดแย้งกับสิ่งที่เราเป็น เราไม่ชอบตอนเขียนบท ขั้นตอนนี้เป็นสิ่งที่เราเบื่อมากๆ เพราะเราต้องถ่ายทอดสิ่งที่เรารู้อยู่แล้วออกมาอีก คือเราเขียนอยู่ในหัวของเรา แต่การต้องมานั่งพิมพ์สิ่งที่มันอยู่ในหัวของเราอยู่แล้วมันซ้ำซากและมันน่าเบื่อสำหรับตัวเราเองแต่มันเป็นที่จำเป็นสำหรับทุกคนไง คนอื่นต้องมีสิ่งนี้ก่อนถึงจะเริ่มงานได้ มันก็เป็นความจำเป็นแต่ถามว่าสนุกไหมมันก็ไม่สนุกสำหรับเรา อาจจะเป็นเพราะว่าความชอบในหนังของเรามันเริ่มจากการชอบทัศนศิลป์ เราตื่นเต้นที่จะได้เห็นภาพในจอ ที่จะได้ตัดต่อ แต่ตอนที่เราจะต้องเริ่มไอเดียก่อนเพื่อให้คนอื่นไปทำงานต่อเนี่ยมันยากมากสำหรับเรา อาจเพราะมันโดดเดี่ยวด้วยมั้ง ต้องทำอยู่คนเดียว
ความคาดหวังกับคนดู
- คืออาจจะเป็นเพราะโดยส่วนตัวเป็นคนมีความสนใจหลายอย่าง โดยรวมก็สนใจในศิลปะ การออกแบบ เพราะฉะนั้นเวลาอยากให้คนดูอะไรเนี่ยเราก็แยกอีกเหมือนกัน เราอยากให้คนมาดูการแสดงของนักแสดง เพราะว่ามันมีหลายๆ จุดที่เราทึ่งในความสามารถของเขา และระหว่างที่เรากำกับเขาหรือว่าดูเขาในจอหรือในช่วงตัดต่อเนี่ย เรารู้สึกทึ่งกับมันและเราอยากจะให้คนเห็นสิ่งที่เราได้เห็นครับ อยากให้มาฟังดนตรีประกอบเพราะว่าเราชอบงานของคนที่มาทำด้วย แล้วเราก็รู้สึกว่ามันเป็นการนำเสนอวิธีการใช้ดนตรีแบบใหม่ๆ ที่ไม่ค่อยมีใครทำเท่าไหร่โดยเฉพาะในบ้านเรา อยากให้คนมาดูภาพอะไรแบบนี้.... คือมันมีหลายๆ อย่างในนั้นที่เราอยากให้คนมาดูเพราะเราเชื่อว่าฝีมือของคนที่ทำเนี่ยเขามีลูกเล่นมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจ

ตัวเรามองภาพยนต์แบบนั้นด้วย อาจจะผิดกับตลาดหนังก็ได้เพราะคนดูส่วนใหญ่อยากมาดูเพื่อความบันเทิง เขาอาจจะไม่ได้มองเป็นจุดๆ แบบที่เรามอง แต่เราเป็นคนที่ชอบมองแบบนั้น เวลาเราไปดูหนังที่ภาพสวยๆ จริงๆ เราก็เรียกร้องแค่นั้นพอก็ได้ หมายถึงหนังมันอาจจะไม่ได้ดีมากแต่เราออกมาแล้วรู้สึกคุ้มจังเลย เราเสียเวลาไป 2 ชั่วโมงเพื่อได้ดูอะไรที่สวยงามคุ้มค่า สำหรับเราแบบนั้นมันพอแล้ว หรือว่าการแสดงอาจจะไม่ดีมาก แต่ว่าเรื่องโอเคมีมิติที่เรามาคิดต่อได้ เราก็จะประทับใจกับมันในแบบนั้นเหมือนกัน
ภาพยนตร์สำหรับปราบดา
- เหมือนสนามทดลองที่มันเต็มไปด้วยประสบการณ์ใหม่ที่คาดเดาไม่ได้ และเป็นสิ่งที่เราไม่เคยคิดจะเลือกที่จะทำด้วยตัวเอง คือเราเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบทำงานร่วมกับคนเยอะๆ งานหนังมันบังคับให้เราไปอยู่ตรงนั้น แล้วก็ค้นพบว่า เออเราก็ชอบนี่หว่า (หัวเราะ) แต่ให้ไปเริ่มทำเองคงไม่ไป แต่ที่ถูกลากไปมันสนุก ตอนนี้เรามองตัวเองในฐานะผู้กำกับหน้าใหม่ และถือว่าเป็นการเรียนรู้ที่ดีอีกหน้าหนึ่ง เราโชคดีที่ได้เรียนรู้ผ่านการทำจริง หมายถึงว่าเรียนรู้ผ่านหนังที่ได้ฉายในโรงจริงๆ แล้วก็มีดาราจริงๆ มาเล่น ซึ่งมันก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย ข้อเสียก็คือบางอย่างที่เราควรจะรู้ให้ดีก่อนมาทำมันก็ไม่มีเวลามากพอที่จะทำแบบนั้น สำหรับเรามันก็เป็นหนังที่เราเก่งขึ้นในบางเรื่องจากที่เราเคยทำมาแล้ว แต่เชื่อว่าถ้าได้ทำเรื่องที่ห้า ที่หก มันก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ คือขอโอกาสแก้ตัวไปเรื่อยๆ (หัวเราะ)
ข้อจำกัดระหว่างกระบวนการสร้าง
- ที่จริงมันก็เป็นสิ่งที่คนทำหนังทุกคนต้องเจอโดยเฉพาะคนทำหนังอิสระ คือข้อจำกัดด้านเวลา เรื่องเงิน เรื่องประสบการณ์ของคนที่เราทำงานด้วย ส่วนใหญ่คนที่ทำงานหนังอิสระเป็นคนที่มีความทุ่มเทที่จะทำ แต่อาจขาดประสบการณ์ ขาดความเข้าใจอะไรบางอย่างที่เป็นระบบ เราก็ต้องชั่งน้ำหนักและเลือกสิ่งที่มันโอเคที่สุด ณ ตอนนั้นที่ต้องตัดสินใจ ซึ่งบางทีมันไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ 100% มันไม่ใช่โปรดักชั่นที่เพียบพร้อม เตรียมงานหกเดือน ประชุมกันทุกวัน มันไม่ใช่ เลยต้องทำให้มันอยู่ในกรอบที่ควรจะเป็น
คำว่า เราต้องช่วยกัน educate คนดู
- เราเองก็ไม่ค่อยพูดแบบนั้นว่าต้อง educate คนดู เพื่อให้ภาพยนตร์อิสระมันไปถึงคนดูมากขึ้น เราว่าส่วนหนึ่งคนทำงานศิลปะไม่ว่าอะไรก็ตามก็มีส่วนที่ต้องสื่อสาร ต้องพยายามดึงให้ผู้ชมเข้ามาดูเองด้วยเหมือนกัน เราถึงไม่มีปัญหากับการต้องโปรโมทหรือต้องใช้นักแสดงที่มีชื่อเสียง เราเข้าใจว่ามันต้องมีสิ่งดึงดูด แต่ว่าในอีกมุมนึง การที่อยู่ดีๆ คนจะมาสนใจหนังที่ต่างไปจากความเคยชินของเขามันก็ยาก มันต้องมีวิธีหรือพื้นที่บางอย่างที่ง่ายต่อคนที่จะลอง คือคำว่าลองเนี่ยเราว่ามันคือ key word ของศิลปะ มันต้องมีโอกาสให้คนได้ลองซักครั้งนึงเพื่อให้เขาตัดสินใจได้ว่าชอบหรือสนใจมันมากน้อยแค่ไหน สำหรับเราเนี่ยเริ่มรู้จักก็เพราะแม่เช่าวิดีโอเยอะตอนเด็กๆ หรือไปเรียนในเมืองที่มีโรงหนังศิลปะดีๆ

ซึ่งเพื่อนไปดูก็ตามไปดูกับเพื่อน มันต้องเป็นกระแสประมาณนึง ไม่อย่างนั้นแม้แต่เราเองที่มีความเคยชินกับการดูหนังแบบนี้หรือดูหนังทุกแบบเนี่ย เราก็ไม่ได้คิดว่าอยู่ดีๆ เราจะไปนั่งดูหนังที่ไม่มีคนพูดอะไรกันเลยสองชั่วโมง อย่างนั้นเราก็อยากไปดู Mission Impossible มากกว่า เพราะฉะนั้นเราเข้าใจมากๆ ว่าคนดูรู้สึกยังไงกับการดูหนังอาร์ตหรืองานศิลปะที่ดูยาก แต่ในขณะเดียวกันเราก็ต้องยอมรับว่าในสังคมมันมีคนที่ทำงานแบบนี้อยู่ แล้วมันก็ควรจะมีพื้นที่ให้เขาและควรจะมีพื้นที่ให้คนเปิดใจรับสิ่งเหล่านี้ได้บ้าง
สิ่งที่ขาดหายไป
- อย่างที่บอก มันควรจะมีพื้นที่ มันควรจะมีคนที่มีอำนาจพอและใจกว้างพอที่จะเปิดโอกาสให้กับคนเหล่านี้ อย่างเช่น สตูดิโอทำหนังที่ทำหนังเชิงพาณิชย์มากๆ ถ้าเขาประสบความสำเร็จในการทำหนังเชิงพาณิชย์แล้ว มันคงจะดีถ้าเขาเปิดโอกาสให้ในเครือของเขามีหนังอาร์ต มีหนังอิสระบ้าง มีหนังที่เนื้อหามันต่างออกไปจากที่เขาคิดว่ามันจะขายได้บ้าง ก็คือกล้าที่จะเสี่ยงบ้างนั่นเอง ซึ่งถ้าพูดเฉพาะในเมืองไทยนะ เราว่ามันมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับวงการศิลปะ มันไม่ใช่แค่เรื่องว่าคนไม่สนใจหรอก มันเป็นทั้งสเกลของสังคมของประเทศ สเกลของจำนวนประชากรที่รู้และเข้าใจเรื่องนี้ ทั้งพื้นที่ในเมืองที่จะมีพื้นที่เผยแพร่สิ่งเหล่านี้ มันมีปัจจัยมากมาย ในขณะเดียวกันโดยเฉพาะในสังคมประเทศไทยเนี่ย การที่ผู้ใหญ่ให้โอกาสยังเป็นเรื่องสำคัญอยู่ เพราะฉะนั้นเราว่ามันเหมือนจะเป็นความรับผิดชอบอย่างหนึ่งในพื้นที่ที่เขาประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์แล้วจะต้องให้พื้นที่กับสิ่งที่ไม่ใช่พาณิชย์ด้วย
การเล่าเรื่องผ่าน ภาพยนตร์/งานออกแบบ/หนังสือ
- สนุกที่สุด ถนัดที่สุด สบายใจที่สุด สนุกที่สุดนี่คือทำหนังบอกได้เลย รู้สึกสนุกมากทุกวันแล้วก็รู้สึกว่ามีใจที่จะเข็นมันออกมาให้มันสำเร็จลุล่วง อาจจะเป็นเพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับคนหลายคนด้วย เราเลยรู้สึกว่ามันต้องมีความรับผิดชอบ แต่งานที่ถนัดเนี่ยคืองานออกแบบ ถนัดในความหมายที่ว่าทำตอนนี้เดี๋ยวก็เสร็จได้ และงานออกแบบทำไปฟังเพลงไปได้ สบายใจไม่เครียด งานที่เป็นตัวเราที่สุดคืองานเขียน แต่ว่ายากที่สุดเพราะเราพอใจกับมันยาก ไม่เคยพอ เวลาบางทีก็ไม่พอ คือในแง่ความเป็นอาชีพเราทำได้ เราสามารถเขียนหนังสือให้เสร็จภายในคืนนึงได้เพื่อส่งงานพรุ่งนี้ แต่เราจะไม่มีความพอใจกับมันเต็มที่ เรามักจะคิดว่าถ้าเรามีซักเดือนนึงเราจะพอใจมากขึ้น ถ้ามีอีกซักปีนึงก็จะพอใจมากขึ้นเสมอ
ช่วงนี้สนใจอะไรเป็นพิเศษ
- โห ความสนใจจริงๆ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับงานพวกนี้เลย (หัวเราะ) อยากเรียนประติมากรรม อยากเรียนปั้นหิน สลักหิน ซึ่งตอนเรียนศิลปะเรารู้สึกว่ามือเรามันไม่เข้ากับงานปั้นน่ะ รู้สึกว่าไม่ถนัด แต่พอโตมาจนถึงตอนนี้เราพบว่ามันน่าทึ่งมาก เราชอบสัมผัสพื้นผิว เวลาเห็นรูปปั้น หินอ่อนหรือหินทราย เราจะรู้สึกว่า อื้ม.. มันน่าสัมผัส (หัวเราะ) คุณสมบัติอีกอย่างนึงที่เราชอบงานศิลปะคือมันทำให้เราอยู่ในภวังค์ อยู่ในสมาธิ แล้วเรารู้สึกว่าการปั้นมันน่าจะเป็น ultimate ของการมีสมาธิอยู่กับอะไรสักอย่าง ถึงแม้จะไม่ใช่คนวอกแวกแต่ก็ตามหาความสงบตลอดครับ
สุดท้าย คิดว่าอะไรที่พาตัวเรา “มา ณ ที่นี้” ได้
- เราว่ามันคงเป็นส่วนผสมของสองอย่างคือ “ความไม่รู้จักพอ” ในแง่ที่ว่าเราไม่เคยพอใจในคำตอบไหนเลย อย่างตอนนี้เราอาจจะตอบแบบนี้ เดี๋ยวปีหน้าเรากลับมาดูเราก็จะไม่พอใจกับคำตอบนี้แล้ว เราต้องได้คำตอบใหม่ เราเปิดบานประตูนี้ได้แล้ว เราคิดว่ามันไม่ใช่อ่ะ ต้องมีประตูอีกบานนึงแน่เลย มองข้างหลังของประตูไปเรื่อยๆ ส่วนอีกอันนึงคือ “ความไม่รู้จักโต” เรารู้สึกว่าข้างในเรายังเป็นคนเดิม ยังมีความสงสัยใคร่รู้ในเรื่องต่างๆ ที่อยากรู้มาตั้งแต่เด็ก แล้วพอมันไม่เจอหรือเจอแต่ก็ไม่ใช่ จากแต่ก่อนที่สิ่งนี้เคยเป็นความเครียด มันก็กลายเป็นความสนุกที่จะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ เมื่อก่อนเหมือนเดินทางแล้วเหนื่อย ตอนนี้คือเดินทางแล้วชอบที่จะเหนื่อยและก็อยากจะเหนื่อยต่อไป มองมุมนึงมันก็เป็นทุกข์เหมือนกันนะ แต่เราคงเจอความรู้สึกที่มันโอเคแล้วกับตัวเองและการใช้ชีวิตแบบนี้
Special Thank : Summer heath bar
    TAG
  • lifestyle
  • film
  • interview
  • vdo

INTERVIEW PRABDA YOON : Someone From Nowhere - มา ณ ที่นี้

ENTERTAINMENT/FILM
7 years ago
CONTRIBUTORS
Sirima Chaipreechawit
RECOMMEND
  • CULTURE&LIFESTYLE/FILM

    แรงบันดาลใจจากภาพวาด สู่ภาพยนตร์ Barbie & Hockney

    เมื่อแรกเห็นฉากอันเปี่ยมสีสันฉูดฉาดจัดจ้านในหนัง Barbie (2023) ของผู้กํากับ เกรตา เกอร์วิก (Greta Gerwig) สิ่งแรกที่เราอดนึกถึงไม่ได้เลยคือผลงานของ เดวิด ฮอกนีย์ (David Hockney) หนึ่งในศิลปินคนสําคัญในกระแสศิลปะป๊อปอาร์ตในยุค 60s และเป็นหนึ่งในศิลปินอังกฤษที่ทรง อิทธิพลที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20 จากผลงานภาพวาดสีสันสดใสฉูดฉาด จัดจ้าน เต็มไปด้วยความเก๋ ไก๋ เปี่ยมสไตล์ และความฉลาดหลักแหลม จนเป็นที่จดจําของคนรักศิลปะทั่วโลกอย่างยากจะลืมเลือน

    Panu Boonpipattanapong2 years ago
  • CULTURE&LIFESTYLE/FILM

    Art inside BEEF งานศิลปะที่แฝงกายในซีรีส์สุดร้อนแรงแห่งปี “คนหัวร้อน”

    ณ นาทีนี้คงไม่มีซีรีส์เรื่องไหนร้อนแรงไปกว่า “BEEF” ออริจินัลซีรีส์ของ Netflix ที่ผลิตโดยค่าย A24 จากฝีมือการสร้างสรรค์ของ อี ซองจิน (Lee Sung Jin) ผู้กำกับและเขียนบทซีรีส์ชาวเกาหลี ที่เล่าเรื่องราวของสอง “คนหัวร้อน” อย่าง แดนนี่ (สตีเว่น ยอน) ชายหนุ่มผู้รับเหมาชาวเกาหลี-อเมริกันอับโชค ผู้กำลังมีปัญหาทางการเงิน กับ เอมี่ (อาลี หว่อง) สาวนักธุรกิจชาวจีน-อเมริกัน เจ้าของกิจการร้านขายต้นไม้สุดหรู ผู้กำลังไต่เต้าจากการเป็นชนชั้นกลางระดับสูงไปเป็นเศรษฐีเงินล้าน โดยเริ่มต้นจากการสาดอารมณ์ใส่กันในเหตุการณ์กระทบกระทั่งกันบนท้องถนน (Road rage) ลุกลามจนกลายเป็นเรื่องราวบานปลายฉิบหายวายป่วงกันถ้วนหน้าอย่างคาดไม่ถึง

    Panu BoonpipattanapongApril 2023
  • CULTURE&LIFESTYLE/FILM

    แรงบันดาลใจจากศิลปะแห่งความสยดสยองในซีรีส์เขย่าขวัญยอดฮิต Cabinet of Curiosities: Pickman's Model

    ในซีรีส์สุดสยองยอดฮิตของ Netflix อย่าง Guillermo del Toro's Cabinet of Curiosities (2022) ผลงานปลุกปั้นของ กิเยร์โม เดล โตโร (Guillermo del Toro) ผู้กำกับชาวเม็กซิกันเจ้าของรางวัลออสการ์จาก The Shape of Water (2017) กับซีรีส์กระตุกขวัญสั่นประสาท จบในตอน จำนวน 8 ตอน จากฝีมือการกำกับของผู้กำกับ 8 คน ที่เดล โตโรเป็นผู้คัดสรรทั้งผู้กำกับ, นักเขียนบท และเรื่องราว (บ้างก็เป็นเรื่องราวที่เขียนขึ้นมาใหม่ บ้างก็ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องสั้นสยองขวัญสุดคลาสสิค) ด้วยตัวเอง ราวกับเป็นภัณฑารักษ์ที่เฟ้นหาผลงานศิลปะสุดสยองมาประดับในตู้แห่งความพิศวงของเขา

    Panu BoonpipattanapongMarch 2023
  • CULTURE&LIFESTYLE/FILM

    ผู้แพ้ เงามืด ด้านสว่าง และเวลาที่เหลือ : คุยกับ ปุ่น - ธัญสก พันสิทธิวรกุล

    อาจไม่อยู่ในความสนใจของคุณ แต่ถ้าคุณเป็นคนที่สนใจเรื่องภาพยนตร์ คุณควรรู้ไว้สักหน่อยว่า เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มีนักทำหนังชาวไทยคนหนึ่งนำหนังไทยไปคว้ารางวัลใหญ่ “หนังยอดเยี่ยม” จากเทศกาลภาพยนตร์ “Doclisboa 2019” ที่เมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส นักทำหนังคนนั้นชื่อ ปุ่น - ธัญสก พันสิทธิวรกุล และหนังเรื่องนั้นชื่อ “Santikhiri Sonata” เป็นหนังสารคดีผสมฟิกชันที่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ชื่อ “สันติคีรี”

    EVERYTHING TEAMJanuary 2020
  • CULTURE&LIFESTYLE/MOVIE

    แรงบันดาลใจแห่งศิลปะเบื้องหลังหนัง “Resemblance ปรากฏการณ์” ของนักธุรกิจผู้หลงใหลภาพยนตร์ ต้น จุมภฏ รวยเจริญทรัพย์

    นักธุรกิจชั้นนำหลายคนใช้เวลาว่างจากการทำงานไปกับความหลงใหลที่แตกต่างกัน บางคนใช้เวลาไปกับความหลงใหลในการท่องเที่ยวทั่วโลก บางคนใช้เวลาไปกับความหลงใหลในการล่องเรือตกปลา ขับรถซูเปอร์คาร์ หรือปาร์ตี้สุดเหวี่ยง แต่มีนักธุรกิจผู้หนึ่งที่มีความลุ่มหลงที่แปลกแตกต่างออกไป เขาผู้นี้คือนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ผู้บริหารรุ่นที่สองของ โก๋แก่ แบรนด์ถั่วอบกรอบระดับแนวหน้าของเมืองไทยอย่าง ต้น จุมภฏ รวยเจริญทรัพย์ ผู้หลงใหลในการทำหนังอย่างเข้าเส้น ลงลึกถึงกระดูกดำจนลุกขึ้นมาตั้งค่ายหนังอิสระของตัวเองในนาม โก๋ฟิล์ม ฝากผลงานหนังมันส์ๆ ดิบๆ ห่ามๆ ไม่แคร์ตลาด ไม่แยแสรางวัล ประดับวงการมาแล้วหลากหลายเรื่อง

    Panu BoonpipattanapongFebruary 2023
  • CULTURE&LIFESTYLE/MOVIE

    Collective ภาพสะท้อนหน้าที่ของสื่อในภาวะที่รัฐล้มเหลว

    มีไม่บ่อยครั้งนักที่ภาพยนตร์สารคดีจากยุโรปจะข้ามฟากมาเข้าชิงรางวัลออสการ์ ข้ามทั้งทวีป ข้ามทั้ง genre ของภาพยนตร์ แต่ “Collective” ภาพยนตร์สารคดีจากโรมาเนียของผู้กำกับ อเล็กซานเดอร์ นาเนา ก็ทำสิ่งนั้นได้ กล่าวคือมันคือเข้าชิงรางวัลออสการ์ทั้งในสาขาภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยมพร้อมกับเข้าชิงในสาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมไปพร้อมกัน ปรากฏการณ์นี้คงอธิบายความยอดเยี่ยมของตัวหนังเองได้โดยไม่จำเป็นต้องขยายความอะไรอีก

    EVERYTHING TEAMApril 2021
SIGN UP TO OUR NEWSLETTER
A Monthly update of the new issue from us
THANK YOU FOR YOUR SUBSCRIPTION

We use cookies, localStorage and other technologies (collectively, "cookies") to recognise your browser or device, learn more about your interests, and provide you with essential features and services and for additional purposes. ( see details )