LOOKING ON EVERYTHING ?
EXPLORE ON EVERYTHING

Art:-------- Interview
Headache Stencil สตรีทอาร์ตติสผู้กระตุ้น ให้ทุกฝ่ายฉุกคิด แม้อยู่ในฟากเดียวกัน
ขอถามตรงๆ นอกจากสร้างงานศิลปะแล้ว ศิลปินมีหน้าที่อะไรกับสังคมอีก
จริงๆ ศิลปินไม่ได้มีหน้าที่อะไรให้กับสังคมมากมายเลยนะครับ ผมว่าคนทุกคนมีหน้าที่กับสังคมอยู่ มันก็แค่... ในมุมมองของผม แค่ศิลปินมันส่งเสียงได้ดังกว่าชาวบ้านน่ะ แต่ไม่ได้เป็นหน้าที่อะไรหรอก
ส่งเสียงได้ดังกว่าคนอื่น เป็น Privilege ของการเป็นศิลปิน
มันจะเรียกว่า privilege ก็ได้นะสำหรับคนอื่น แต่สำหรับผมมันจะเรียกว่า privilege ไม่ได้ เพราะผมไม่ค่อยได้ประโยชน์จากมันเท่าไหร่ส่วนใหญ่จะได้แต่เรื่องตื่นเต้นด้วยซ้ำ (หัวเราะ) คือถ้านับว่าเงินค่าจ้างหรือผลตอบแทนจากการทำงาน ผมว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา คุณทำงานเยอะคุณได้เยอะ คุณทำน้อยคุณได้น้อย มันเป็นตรรกะธรรมดา แต่คนมักมองว่าอาชีพที่อยู่ในสื่อเป็นอาชีพที่ควรจะรับผิดชอบต่อสังคมมากกว่าคนอื่น หรือมองว่าศิลปินที่อยู่ในสื่อสามารถส่งเสียงดังได้มากกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง วันแรกที่ผมพ่นรูปนาฬิกาประวิทย์ ไม่มีคนรู้จักผมนะครับ แต่เสียงที่ผมส่งออกไปมันดังได้นะ เพราะฉะนั้นนี่มันเป็นการพิสูจน์ว่า คุณไม่จำเป็นต้องอยู่ในสื่อ หรือเป็นดารานักร้องอะไรเลย มันอยู่กับวิธีและสารที่คุณกำลังจะส่งนั่นต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญ ศิลปินดังให้ตายมาแต่มาส่งเสียงแบบไม่ได้รู้จริงก็เท่านั้น การที่คนคนหนึ่งจะพูดอะไรออกมาได้สักอย่างมันต้องรู้สึก รู้จริง เพราะมันต้องอยากพูดก่อน การไปบังคับให้คนที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรมาพูดน่ะ ผมว่าไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมตอนนี้ สมมติดาราคนหนึ่งที่ไม่ได้อินเรื่องการเมือง แล้วเลือกที่จะไม่ได้พูด แบบนี้ไหม ผมว่ามี หรือคนที่เขาจงใจไม่พูด เพราะกลัวผลกระทบ ผมก็ว่ามี แต่คนที่...ก็กูไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ กูสนใจแต่ของเล่น เขาก็เลยไม่พูดแต่กลายเป็นเขาต้องมาโดนด่าไปด้วย ซึ่งผมไม่โอเค ไม่กี่วันก่อน ผมเพิ่งได้คุยซีเรียสกับรุ่นพี่ที่สนิทคนหนึ่ง คุยเรื่องจำเป็นไหมศิลปิน ดารา ต้องออกมา callout พี่เขาบอกว่าถ้าคิดว่าจำเป็น “เฮ้ย มึงคิดอย่างนี้ มึงก็ไม่ต่างอะไรจากสลิ่มเลยนะ” หลังจากประโยคนั้นผมก็วูบไปเลย สิ่งที่พี่เขาพูดมันเป็นการบอกเราว่าเฮ้ย การที่วันนี้พวกเรามาก ไม่ใช่ว่าการที่เราคิด การที่เราพูดจะถูกเสมอไป ประชาธิปไตยไม่ได้แปลว่าพวกมากลากไป ประชาธิปไตยที่มันควรจะมีประโยชน์ต่อสังคมมันควรจะเป็นประชาธิปไตยที่มีเหตุและผลของมัน ไม่ใช่เอะอะกูพวกเยอะกว่าเว้ย เหตุผลเป็นยังไงไม่รู้ แต่กูเลือกมา กูต้องชนะ ผมว่าไม่ใช่แบบนั้น คุณต้องไม่บังคับใครให้ทำหรือคิดอะไรแบบคุณ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นคุณก็ไม่ต่างอะไรจากคนที่คุณต่อต้าน

ประชาธิปไตยคือมันต้องเห็นต่างกันได้ยอมรับความแตกต่างกันได้
ใช่ และมันต้องถกเถียงกันได้ ผมยกตัวอย่างให้ฟัง เรื่องที่ผมปะทะคารมหรือโต้เถียงกันบ่อยกับฝั่งเดียวกัน เช่นเรื่องสันติวิธี เด็กรุ่นใหม่เขามองสันติวิธีอย่างหนึ่งมองว่าวิธีที่ไม่ทำให้มีใครบาดเจ็บ ล้มตายและเดือดร้อน ก็เข้าใจ เขาอาจจะมองว่าการที่ผมไปพ่นถนนหน้าเรือนจำวันนั้นไม่ใช่สันติวิธีเพราะมันทำลายทรัพย์สิน ข้าวของ ใช้คำหยาบด้วย แล้ววันนั้นมีเด็กเอาผ้ามาปูพ่น ผมบอก “พ่นถนน พ่นๆ ไปเลย” เพราะถ้าพ่นที่ผ้าเจ้าหน้าที่มาเก็บผ้ามันก็จบแล้วสิ ที่เราพ่นเนี่ยต้องการให้มันรู้ ต้องการให้มันอ่าน ถ้ามันจะมาลบ มันก็ยิ่งต้องมาอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าแม่งพ่นคำว่าอะไร ในมุมมองของผมสันติวิธีไม่ใช่แบบนั้น มันไม่สุภาพแบบนั้น สันติวิธีมันมีหลายวิธี ถ้าผมเป็นรัฐนะ ผมอยากให้มีม็อบทุกวันเลย เพราะอะไร เพราะม็อบมาและกลับตรงเวลาทุกวันเลย แถมก่อนกลับเก็บขยะให้ด้วยชนิดที่แม่งเขตนั้นสะอาดเลย ซึ่งถามว่าสันติวิธีแบบนี้ดีไหม ดีครับ แต่มันกดดันอะไรรัฐได้ไหม สำหรับผมมันกดดันอะไรรัฐไม่ได้เลยนะ เราก็นำเสนอในความคิดเห็นของเราว่าวิธีที่ใช้อยู่มันกดดันรัฐได้จริงหรือเปล่า ทันทีที่เราพูดไปแบบนี้ หรือทวิตไปแบบนี้โดนโจมตีถล่ม “แล้วไง? มันต้องสันติวิธีเว้ย ใช้ความรุนแรงมันไม่ดี” ผมก็ค่อยๆ นั่งตอบทีละคน ไอ้คนที่มีคีย์เวิร์ดเรื่องความรุนแรงผมก็ต้องพิมพ์ประโยคเดียวกันว่า “ผมได้บอกหรือยังครับว่าต้องใช้ความรุนแรง?” สันติวิธีมันมีหลายวิธีนะ การเจาะยางรถ การปล่อยลมยางรถตำรวจทุกคัน สำหรับผมยังถือว่าสันติวิธีนะ พวกแอมมี่ปาสี ต่อให้ตำรวจจะเลอะเทอะ แต่ผมถือว่าสันติวิธีนะ เพราะเขาใช้กันทั้งโลก
อยู่ในวิวาทะ ในการดีเบตตลอดเวลาอย่างนี้ เหนื่อยไหม
มันไม่ได้เหนื่อยในการเถียงนะ มันเหนื่อยตรงที่เราคาดหวังสังคมที่มันจะใช้เหตุผลมากขึ้น แต่สุดท้ายกลุ่มคนที่เราเห็น ที่เราคาดหวังว่า โอเค เขาอาจจะไม่ใช่กลุ่มแกนนำ อาจจะเป็นกลุ่มที่ติดตามหรือกลุ่มที่เป็นผู้ชุมนุมธรรมดาเนี่ย ที่เรามองว่าเฮ้ย ประเทศมันกำลังจะไปข้างหน้าด้วยกลุ่มคนรุ่นใหม่ แต่พอได้เจอกับการวิวาทะอะไรทั้งหลายแหล่เหล่านี้ เราได้มองว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่เหล่านี้ไม่ได้ต่างอะไรกับกลุ่มสลิ่มที่เรากำลังเถียงเลย แค่เปลี่ยนฝั่งความคิดชุดประชาธิปไตยแค่นั้นเอง อีกสิบห้าปีข้างหน้ากลุ่มคนเหล่านี้ก็อาจจะเป็นสลิ่มก็ได้ ของสังคมนี้ที่ไม่รับฟังเหี้ยอะไรเลยนอกจากวิธีของตัวเองเท่านั้นที่ถูก

พูดเหมือนท้อ
ไม่ท้อน ะเพราะสุดท้ายผมก็ถอยออกมาของผมเอง มาอยู่ในจุดที่เราทำอยู่ แล้วการที่เราต้องไปวุ่นวายกับคนอื่นมันทำให้เรา...เราไม่ได้คิดในแบบที่เราคิดด้วยซ้ำ ผมมาทำกับเพื่อนผม ผมมาทำกับคนที่จริตเดียวกันที่ไม่ได้มองว่าสิ่งที่ทำอยู่แม่งเป็นความเสื่อมทรามหรือไม่สันติวิธีดีกว่า ผมไม่ใช่พระ สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่กับม็อบมันเหมือนพระ ไปยกมือไหว้ขอให้โจรเลิกเป็นโจร มันได้เหรอ ถ้าโจรเลิกเป็นโจรง่ายๆ แค่คนแม่งไปบอก ตำรวจทหารมีไว้ทำไม
แต่เรายังทำงานศิลปะเพื่อนำเสนอความคิดต่อสังคมอยู่
เราทำงานศิลปะเพื่อนำเสนอความคิดของเราไปสู่สังคมดีกว่า เพราะหลังๆ เริ่มโดนด่าหาว่าเราเป็นคนมีชื่อเสียง แล้วเราสามารถชี้นำสังคมได้ ซึ่งถามว่าผมเกลียดคำนี้มากเลยนะที่เราเป็นคนมีชื่อเสียงแล้วเราชี้นำสังคมได้ คืออยากถามว่าตกลงพวกมึงจะไม่มีสมองกันเลยเหรอ? ใครอยากชี้นำเหี้ยอะไร เขาดังมึงก็ไปเหรอ ถึงผมมจะพูดเหี้ยๆ แต่ผมพูดจากใจจริงนะ มึงอยากจะเกลียดกู มึงก็เกลียดกูที่กูเป็นอย่างนี้ได้เลย เราไม่ใช่เด็กดีอยู่แล้ว
Headache Stencil สตรีทอาร์ตติสผู้กระตุ้น ให้ทุกฝ่ายฉุกคิด แม้อยู่ในฟากเดียวกัน
/
ทันทีที่ Key Visual สถาปนิก’ 68 เผยแพร่ออกมา บทสนทนาปลุกสัญชาตญาณนักสืบในตัวทุกคนพร้อมใจกันทำงานแบบ Autopilot และระหว่างที่ตามหาเฉลยกันจริงจัง ทุกคนเริ่มหันมาตั้งคำถามต่อว่า Art Toys เกี่ยวข้องกับธีมงานอย่างไร รู้ตัวอีกทีวงสนทนาก็กระเพื่อมขยายกว้างขึ้น ส่งสัญญาณชัดว่า Key Visual ปีนี้เปิดฉากมาแบบสนุกเอาเรื่อง โดนเส้นกันสุดๆ
/
วัลลภ รุ่งกำจัด หรือ อุ้ม นักแสดงที่เชื่อมโยงความเป็นมนุษย์กับโลกของภาพยนตร์ ผ่านการสร้างชีวิตให้ตัวละครต่าง ๆ ได้ออกมาโลดแล่นแสดงความรู้สึกทางอารมณ์ให้กับผู้ชม แม้เขาจะไม่ได้เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงในวงกว้างเทียบเท่ากับนักแสดงกระแสหลัก แต่ในเวทีระดับโลก “อุ้ม” ได้พิสูจน์ตัวเองกับการเป็นนักแสดงที่มีความสามารถที่ยอมทุ่มเทหลาย ๆ สิ่ง ให้กับงานศิลปะด้านการแสดงในภาพยนตร์เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้อย่างสุดตัว
/
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้เราได้รู้จักกับเธอคนนี้ในชื่อของ พัด หรือที่ชอบเรียกติดปากกันว่า พัด ZWEED N’ ROLL เจ้าของเสียงทุ้มมีเสน่ห์ นักร้องและนักแต่งเพลงที่ฝากผลงานเพลงเศร้าเอาไว้ในวงการมากมาย อาทิ ช่วงเวลา, Diary, อาจเป็นฉัน และอีกมากมาย ไม่มีอะไรแน่นอนแม้กระทั่งตัวเราเอง ช่วงเวลาจึงได้พัดพาให้เรามาทำความรู้จักกับ “MAMIO” ในฐานะศิลปินใหม่จากค่าย Warner Music Thailand ซึ่งเป็นอีกตัวตนหนึ่งของคุณพัดที่ไม่เคยถูกปลดปล่อยออกมาเลยตลอดชีวิตการทำงานในวงการสิบกว่าปีที่ผ่านมา หรือถ้าจะให้ซื่อสัตย์กับตัวเองจริง ๆ ก็อาจจะเป็นทั้งชีวิตที่เกิดมาเลยเสียด้วยซ้ำ
/
Whispers เป็นหนึ่งในวงดนตรีที่สะท้อนการเติบโตของวงการ Hardcore ในประเทศไทยอย่างแท้จริง ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงกลุ่มเพื่อนที่หลงใหลในดนตรี เพราะนอกจากจะเป็นผู้เล่น พวกเขายังเป็นกำลังสำคัญที่คอยผลักดันซีนฮาร์ดคอร์ในบ้านเรามาโดยตลอด ประสบการณ์ที่สั่งสมทำให้เกิดเป็นสไตล์เฉพาะของ Whispers สร้างความแตกต่างและเป็นเอกลักษณ์ จนทำให้พวกเขาก้าวไปสู่เวทีระดับสากล ถึงแม้พวกเขาจะอยู่ใต้ดินของไทย แต่เสียงคำรามของพวกเขาก็ดังไปไกลถึงทวีปยุโรป มาพบกับเส้นทางดนตรีที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจและการเปลี่ยนแปลง กับวงฮาร์ดคอร์ระดับบท็อปของ Southeast Asia
/
ด้วยลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์และรูปแบบงานสักของเขา ที่เรารู้สึกแปลกประหลาดกว่างานสักอื่น ๆ (แปลกประหลาดในที่นี้คือความหมายในแง่ดีนะ) ก็เลยตัดสินใจส่งข้อความทักไปหา “พี่นัทครับ ผมขอสัมภาษณ์พี่ได้ไหม” “ได้ครับ” สั้น ๆ แต่จบ เรื่องราวทั้งหมดก็เลยเริ่มต้นขึ้นที่ร้าน CAVETOWN.TATTOO แถว ๆ ปิ่นเกล้า ซึ่งพี่นัทเป็นเจ้าของร้านแห่งนี้ บทสนทนาของเราเริ่มกันในช่วงเวลาบ่าย ๆ ของวันพฤหัส พอไปถึงร้านพี่นัทกำลังติดงานสักให้กับลูกค้าอยู่หนึ่งคน พอได้เห็นลายที่เขาสักต้องบอกว่าเท่มาก ๆ มันมีความเป็น Psychedelic บวกกับ Ornamental ผสมผสานกับเทคนิค Dotwork จนกลายเป็นงานศิลปะบนผิวหนังหลังฝ่ามือ เราถึงกับต้องถามคำถามโง่ ๆ กับลูกค้าที่ถูกสักว่า “เจ็บไหม” แน่นอนคำตอบที่ได้คือ “โคตรเจ็บ” เพราะจุดที่สักคือหลังฝ่ามือ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่หลายคนร่ำลือกันว่าโคตรเจ็บ ระหว่างที่รอพี่นัทไปพลาง ๆ น้องแมคช่างภาพที่มีรอยสัก Full Sleeve เต็มแขนขวา ก็เริ่มกดชัตเตอร์กล้องถ่ายรูปเก็บภาพระหว่างที่เขาสักไปด้วย พอสักเสร็จเรียบร้อยก็ปล่อยให้พี่เขาพักผ่อนกินน้ำ ปัสสาวะ (อ่านแยกคำนะอย่าอ่านติดกัน) ก่อนจะพูดคุย แต่เดี๋ยว ! ก่อนจะเริ่มบทสนทนา เราขอเกริ่นให้ฟังซักนิดนึงเกี่ยวกับชายคนนี้ก่อน
/
ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปีวงดนตรีสัญชาติไทยที่ชื่อ KIKI ได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในวงที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากทั้งในประเทศไทย ญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ ฮ่องกง ก็เพราะด้วยเสียงเพลงที่มีความเป็นเอกลักษณ์ และการนำเสนอแนวคิดที่ไม่เหมือนใคร รวมถึงความตั้งใจในการสร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนถึงตัวตนของพวกเขาได้อย่างชัดเจน
We use cookies, localStorage and other technologies (collectively, "cookies") to recognise your browser or device, learn more about your interests, and provide you with essential features and services and for additional purposes. ( see details )