The Half of It อีกครึ่งหนึ่งนั้นขอให้ฉันนิยามมันด้วยตัวฉันเอง, แบบสำรวจนิยามความรักในโลกยุคใหม่ของคนหนุ่มสาว | IAMEVERYTHING.CO

LOOKING ON EVERYTHING ?

EXPLORE ON EVERYTHING

CULTURE&LIFESTYLE:
MOVIE

The Half of It
อีกครึ่งหนึ่งนั้นขอให้ฉันนิยามมันด้วยตัวฉันเอง, แบบสำรวจนิยามความรักในโลกยุคใหม่ของคนหนุ่มสาว

  “The Half of It” เป็นภาพยนตร์ที่กำกับโดยผู้กำกับหญิง อลิซ วู สร้างโดย Netflix ที่เพิ่งคว้ารางวัล Best U.S. Narrative Feature ในเทศกาลภาพยนตร์ Tribeca Film Festival สดๆ ร้อนๆ เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเดิมทีหนังเรื่องนี้ถูกวางโปรแกรมให้ฉายเปิดตัวครั้งแรกในเทศกาลภาพยนตร์ดังกล่าว แต่เนื่องจากวิกฤตการณ์โรคระบาดโควิด 19 ที่กระจายไปทั่วโลก ทำให้การจัดงานเทศกาลภาพยนตร์ที่มอบรางวัลให้กับนักสร้างภาพยนตร์อิสระเฟสติวัลสำคัญนี้ถูกเลื่อนออกไปก่อนและเปลี่ยนมาประกาศผลรางวัลแบบออนไลน์แทน ซึ่ง “The Half of It” เรื่องนี้ก็คว้ารางวัลสำคัญสุดไป Netflix จึงจับลงสตรีมมิ่งให้ชมกันเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา

  อลิซ วู ผู้กำกับหญิงวัย 50 เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายไต้หวัน เธอเรียนสายวิศวกรคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ก่อนจะทำงานที่บริษัทไมโครซอฟต์ในฐานะวิศวกรระบบซอฟต์แวร์ การเป็นเลสเบี้ยนที่เติบโตขึ้นในสังคมแบบ Chinese-American ทำให้ วู มีสิ่งที่อยากบอกเล่าอยู่ในใจมากมาย ช่วงเวลาระหว่างนั้นเองที่เธอเริ่มลองเขียนนิยายแต่ก็ค้นพบว่าการทำหนังน่าจะบอกเล่าความคิดของเธอได้ลงตัวกว่าการเขียนนิยาย วู จึงลงเรียนคอร์สเขียนบทภาพยนตร์สั้นๆ ที่ University of Washington หลังจากนั้นเธอจึงย้ายมาอยู่ที่ นิวยอร์ค อย่างเต็มตัวเพื่อสานฝันการทำภาพยนตร์ อลิซ วู มีผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกคือ “Saving Face” ในปี 2005 ซึ่งทำให้เธอเป็นที่รู้จักในกลุ่มคนที่ติดตามหนังอินดี้ วู คว้ารางวัลVisionary Award จากเทศกาล San Diego Asian Film Festival จากหนังเรื่องแรก และ “The Half of It” เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์เรื่องที่สองของ วู

  หลักใหญ่ใจความของ “The Half of It” หรือว่ากันให้ถึงที่สุดแล้วมันก็คือสิ่งที่ผลักดันให้ วู ผันตัวเองจากวิศวกรคอมพิวเตอร์มากลายเป็นนักทำหนังก็คือการสะท้อนภาพชีวิตและสำรวจความคิดของคนชายขอบหรือคนกลุ่มน้อยที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ของสังคม ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเป็นเลสเบี้ยนแถมยังเป็นคนอเมริกันเชื้อสายจีน (ไต้หวัน) นั้นเป็นแรงขับดันชั้นดีในการนำเสนอภาพเหล่านั้นออกมา

  “The Half of It” เล่าเรื่องรักสามเส้าอลเวงในแบบสูตรสำเร็จหนังวัยรุ่น ระหว่าง เอลลี ชู (ลีอาห์ ลูอิส) สาวน้อยอเมริกันเชื้อสายจีน พอล มันสกี้ (ดาเนียล ไดม์เมอร์) และ แอสเตอร์ ฟลอเรส (อเล็กซิส เลอมีร์) เรื่องเกิดขึ้นในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งสควอฮามิช เมื่อ พอล หนุ่มนักกีฬาผู้ไม่มีอะไรโดดเด่น เป็นแค่ลูกชายร้านขายไส้กรอกในเมือง ตกหลุมรัก แอสเตอร์ ดาวโรงเรียนที่ทั้งสวยและฉลาด แถมยังชาติตระกูลดีครอบครัว แต่เขาไม่รู้จะหาทางทำให้ แอสเตอร์ สนใจในตัวเขาได้อย่างไร พอล จึงขอร้องให้ เอลลี สาวอัจฉริยะที่เก่งกาจไปเสียทุกเรื่องโดยเฉพาะการเขียนรายงานซึ่งเธอเองก็หารายได้พิเศษด้วยการรับจ้างเขียนรายงานให้เพื่อนเอาไปส่งอาจารย์ในแบบที่ “หัวข้อเดียวแต่เขียนให้ไม่ซ้ำกัน” ความเก่งกาจของ เอลลี นี้เองที่ทำให้ พอล ขอให้เธอช่วยเขียนจดหมายสารภาพรักให้ ตอนแรก เอลลี ปฏิเสธด้วยเหตุผลว่าเธอรับงานเชิงวิชาการเท่านั้น ไม่รับการเขียนจดหมายส่วนตัว แต่สุดท้ายเธอก็จำเป็นต้องรับข้อเสนอของพอล เพราะสภาพครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวยนักของ เอลลี บีบบังคับ พ่อของเธอเป็นพนักงานประจำสถานีรถไฟเล็กๆ ในเมืองที่วันหนึ่งมีรถไฟผ่านแค่สองครั้ง แม้พ่อของเธอจะเก่งกาจถึงขั้นเป็นดอกเตอร์ด้านวิศวกรรมแต่เขาไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว นั่นจึงไม่มีค่าอะไรเมื่อต้องทำมาหากินอยู่ในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษเป็นหลัก พ่อของเอลลีจึงเป็นได้แค่พนักงานดูแลสถานีรถไฟต๊อกต๋อยที่จมอยู่กับความหลังและความขมขื่นเรื่องภรรยา (แม่ของเอลลี) ผู้จากไป

แม้นิยามความรักของ เอลลี ชู จะมองว่ามันคือความยุ่งเหยิงโดยแท้เพียงใด แต่สุดท้ายเธอเองก็ค้นพบว่า มันต้องการการตามหาอีกครึ่งเพื่อเติมให้มันสมบูรณ์อยู่ดี เพียงแต่ว่าอีกครึ่งที่ว่านั้น มันไม่ใช่ในรูปแบบเดิม และซับซ้อนกว่าที่นักคิด หรือใครต่อใครเคยนิยามเอาไว้

  เอลลี จึงเขียนจดหมายรักหาแอสเตอร์ในนามของพอล และมันมีบางสิ่งบางอย่างที่สัมผัสหัวใจของแอสเตอร์เข้าอย่างจัง ความวุ่นวายของความสัมพันธ์คู่ขนานสามสายจึงเกิดและก่อตัวขึ้น หนึ่งคือ พอลในจดหมาย (เอลลี) กับ แอสเตอร์ สองคือ พอลตัวจริงกับแอสเตอร์ และพอลกับเอลลี ที่ผูกพันกันมากขึ้นผ่านภารกิจพิชิตใจแอสเตอร์ โดยหนังเล่าผ่านการค่อยๆ ให้นิยามของคำว่า “ความรัก” ของเอลลี ซึ่งมีตั้งแต่การตั้งคำถามผ่านนิยามความรักของนักคิดชื่อดังทั้งหลายในอดีตอาทิ เพลโต, ออสการ์ ไวลด์ คู่ขนานไปกับเรื่องวายป่วงที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสุดท้ายของการเป็นนักเรียนไฮสคูล อนาคตที่พวกเขาและเธอต้องตัดสินใจเลือก ความรักที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นก่อนนำไปสู่ข้อสรุปของ เอลลี ในซีนแตกหักท้ายเรื่องที่บอกว่าความรักไม่ใช่แค่การตามหาอีกครึ่งที่หายไป หรืออะไรที่มันสวยงาม หากแต่เป็นความพยายามอันยุ่งเหยิงโดยแท้ (‘Love isn’t patient, and kind, and humble. Love is messy, and horrible, and selfish, and bold. It’s not finding your perfect half. It’s the trying, and reaching, and failing.’) แน่นอนว่า เอลลี นิยามความคิดชุดนี้ในวันที่ความวุ่นวายทั้งหลายขมวดเกลียวเข้ามาสู่สถานการณ์เดียวกัน เมื่อทั้ง พอล, แอสเตอร์ และเธอเองมีเรื่องให้ต้องตัดสินใจและเผชิญหน้าเพื่อแสวงหาทางออกสำหรับทุกฝ่าย

  แต่เรื่องราวหลังจากนั้นถือว่า “The Half of It” คลี่คลายสิ่งต่างๆ ได้อย่างน่าสนใจ ทั้งสามตัวละครต่างมีเรื่องให้ต้องก้าวข้ามและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในแบบฉบับของตัวเอง ก้าวพ้นกรอบเดิมๆ ที่สังคมกำหนดกฎเกณฑ์มายาวนาน และให้นิยามความรักและชีวิตในแบบของพวกเขาเอง เป็นนิยามแห่งความรักและชีวิตในโลกยุคใหม่ที่ทั้งเปลี่ยนแปลง ทั้งหลากหลาย และมีมิติทับซ้อนเกินกว่ากรอบคิดแบบเดิมจะใช้ได้

  ว่ากันให้ถึงที่สุดแล้ว “The Half of It” เองก็อาจเป็นภาพสะท้อนชีวิตของ วู เองด้วยซ้ำ เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตัวละครอย่าง เอลลี ชู นั้นแทบจะถอดมาจากตัวผู้กำกับทุกประการ การเป็นเลสเบี้ยนในสังคมอเมริกัน-จีน ซึ่งมักถูกมองว่าแปลกประหลาดและยากที่คนส่วนใหญ่หรือคนยุค baby boomer จะยอมรับได้ แม้แต่ตัวละครอย่าง แอสเตอร์ หรือ พอล เองก็เข้าข่ายการเป็นคนชายขอบของสังคมเช่นกัน ความสวยอันโดดเด่นและชาติตระกูลที่เพียบพร้อมของแอสเตอร์เป็นกำแพงที่ปิดกั้นให้คนทั่วไปมองไม่เห็นตัวตนและความต้องการที่แท้จริงของเธอ ไม่มีใครสนใจว่าเธอคิดอย่างไร เช่นเดียวกับ พอล ที่แม้ไม่มีความฝันอะไรใหญ่โต แต่เขาก็อยากสร้างสูตรไส้กรอกซึ่งเป็นมรดกของครอบครัวในแบบของตัวเอง ต้องการสร้างตำนานใหม่ในแบบของตัวเองที่ไม่ซ้ำรอยของคนรุ่นก่อน เหล่านี้คือสิ่งที่เคลื่อนไหวคนรุ่นใหม่ทั่วโลกให้ก้าวไปตามวิถีทางของตนเอง หลุดพ้นไปจากแนวทางที่คนรุ่นก่อนเคยถางปูทางไว้

  “The Half of It” จึงทำให้เห็นว่าตัวละครทั้งสามต่างอยู่เพื่อเติมให้เส้นทางของอีกแต่ละตนเต็มได้อย่างไร ผ่านการเล่าเรื่องแบบหนัง romantic comedy ผสม coming-of-age ที่ทั้งฉลาดและมีอารมณ์ขันร้ายเหลือ ที่สำคัญมีสัมผัสบางอย่างที่แตะความรู้สึกของคนเอเชียได้อย่างละเอียดอ่อนและแหลมคม

  แม้นิยามความรักของ เอลลี ชู จะมองว่ามันคือความยุ่งเหยิงโดยแท้เพียงใด แต่สุดท้ายเธอเองก็ค้นพบว่า มันต้องการการตามหาอีกครึ่งเพื่อเติมให้มันสมบูรณ์อยู่ดี เพียงแต่ว่าอีกครึ่งที่ว่านั้น มันไม่ใช่ในรูปแบบเดิม และซับซ้อนกว่าที่นักคิด หรือใครต่อใครเคยนิยามเอาไว้ เราจึงต้องตามหา ทำแบบสำรวจ และนิยามมันด้วยตัวของพวกเขาเอง

ขอขอบคุณภาพจาก Netflix
    TAG
  • culture
  • lifestyle
  • movie
  • The Half of It
  • netflix
  • Tribeca Film Festival

The Half of It อีกครึ่งหนึ่งนั้นขอให้ฉันนิยามมันด้วยตัวฉันเอง, แบบสำรวจนิยามความรักในโลกยุคใหม่ของคนหนุ่มสาว

CULTURE&LIFESTYLE/MOVIE
5 years ago
CONTRIBUTORS
EVERYTHING TEAM
RECOMMEND
  • CULTURE&LIFESTYLE/MOVIE

    งานศิลปะที่หลอมรวมอยู่ในเนื้อกายภาพยนตร์ The Room Next Door ของ Pedro Almodóvar

    ถ้าเอ่ยชื่อของ เปโดร อัลโมโดวาร์ (Pedro Almodóvar) หลายคนอาจรู้จักเขาในฐานะผู้กํากับเจ้าของ ฉายา “เจ้าป้าแห่งวงการหนังสเปน” ที่นอกจากหนังของเขาจะเต็มไปด้วยลีลาอันจัดจ้าน เปี่ยมสีสัน เต็มไปด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวอันแปลกประหลาดพิลึกพิลั่นพิสดารเหนือความคาดหมาย และถึง พร้อมไปด้วยศิลปะภาพยนตร์อย่างเต็มเปี่ยมแล้ว ด้วยความที่อัลโมโดวาร์หลงใหลในศิลปะอย่างลึก ซึ้ง ทําให้มักจะมีงานศิลปะปรากฏให้เห็นในหนังของเขาอยู่บ่อยครั้ง และนอกจากเขาจะหยิบงาน ศิลปะเหล่านั้นมาใช้ในหนังเพราะความหลงใหลและรสนิยมส่วนตัวอันวิไลของตัวเองแล้ว ในหลายๆ ครั้ง ผลงานศิลปะเหล่านั้นยังทําหน้าที่ในการช่วยขับเคลื่อนเรื่องราว ขับเน้นบุคลิกภาพของตัวละคร และเป็นสัญลักษณ์ที่สัมพันธ์กับเนื้อหาในหนังอย่างแนบเนียน

    Panu BoonpipattanapongJanuary 2025
  • CULTURE&LIFESTYLE/MOVIE

    Love Lies เรื่องรักจากคำหลอกของหญิงหม่ายและมิชฉาชีพ ผลงานการกำกับครั้งแรกของ Ho Miu Ki

    ท่ามกลางลิสต์ภาพยนตร์ต่อสู้ระทึกขวัญ หรือภาพยนตร์ดราม่าเรียกอารมณ์ผู้ชม ใน Hong Kong Film Gala Presentation & Dynamic Cityscapes of Hong Kong Films “งานภาพยนตร์ฮ่องกงพลังหนังขับเคลื่อนเมือง กับนิทรรศการหนังฮ่องกง” ที่เดินทางกลับมาฉายในไทยอีกครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ยังมีภาพยนตร์กลิ่นอายโรแมนติกอีกหนึ่งเรื่อง ที่น่าจับตามองไม่แพ้กันอย่าง Love Lies ที่นำเสนอความสัมพันธ์ของแพทย์หญิงหม่าย ที่รับบทโดย Sandra Ng Kwan-Yue (อู๋จินหยู) ผู้ร่ำรวย และมีหน้าที่การงานที่ดี ซึ่งบังเอิญตกหลุมรักกับวิศวกรชาวฝรั่งเศสวัยกลางคน ที่คอยหยอดคำหวานและคำห่วงใยผ่านแชทมาให้ตลอด จนกระทั่งเธอค้นพบความจริงว่าเบื้องหลังแชทเหล่านี้เกิดขึ้นด้วยคำลวงจากฝีมือเด็กหนุ่มมิชฉาชีพ ที่รับบทโดย MC Cheung (เอ็มซีเจิ้ง) ดังนั้นเรื่องราวต่อจากนี้ในภาพยนตร์จึงเป็นการค้นหาคำตอบของเธอในสมการความสัมพันธ์ครั้งนี้ว่าจะจบลงอย่างไร

    EVERYTHING TEAM8 months ago
  • CULTURE&LIFESTYLE/MOVIE

    Nick Cheuk ผู้กำกับและนักเขียนบท Time Still Turn The Page ภาพยนตร์ทรงพลังที่ท่วมท้นด้วยคำชื่นชมจากทั้งในและนอกฮ่องกง

    ความสำเร็จด้านรายได้กว่า 100 ล้านเหรียญฮ่องกงของ A Guilty Conscience จากการกำกับของ แจ็ค อึ่ง (Jack Ng) สร้างปรากฏการณ์ใหญ่ที่นับได้ว่าเป็นความหวังใหม่ของอุตสาหกรรรมภาพยนตร์ของฮ่องกง และทำให้บรรยากาศของแวดวงนี้ดูจะกลับมาคึกคักอีกครั้งในสายตาของแฟนหนังทั่วโลก พอ Hong Kong Film Gala Presentation หรือที่ในปีนี้ใช้ชื่อเต็มว่า Hong Kong Film Gala Presentation & Dynamic Cityscapes of Hong Kong Films “งานภาพยนตร์ฮ่องกงพลังหนังขับเคลื่อนเมือง กับนิทรรศการหนังฮ่องกง” ได้กลับมาจัดอีกครั้งในประเทศไทย ก็ทำให้ลิสต์ในปีนี้เต็มไปด้วยภาพยนตร์คุณภาพที่น่าจับตามองจากฝีมือการกำกับของผู้กำกับรุ่นใหม่ และจากพลังของนักแสดง

    EVERYTHING TEAM8 months ago
  • CULTURE&LIFESTYLE/MOVIE

    บทสนทนาเชิงลึกกับสองผู้กำกับหนังสารคดี Breaking The Cycle

    ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้สามารถเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่จะบอกเล่าแก่คนรุ่นหลังได้ว่าพวกเราซึ่งเป็นประชาชนภายในประเทศนี้ผ่านอะไรกันมา กำกับโดย “เอกพงษ์ สราญเศรษฐ์” (เอก) ผู้กำกับภาพยนตร์อิสระจากสงขลา เอกเริ่มกำกับสารคดีสั้นเกี่ยวกับความตายของ กฤษณ์ สราญเศรษฐ์ ลุงของเขาในชื่อเรื่อง “คลื่นทรงจำ” (2561) ซึ่งได้รับรางวัลสารคดีสั้นยอดเยี่ยมในงานเทศกาลภาพยนตร์สารคดีนานาชาติ DMZ ที่ประเทศเกาหลีใต้ และได้เข้าฉายในเทศกาลต่างประเทศอีกหลายแห่ง และผู้กำกับอีกคน คือ “ธนกฤต ดวงมณีพร” (สนุ้ก) ผู้กำกับภาพยนตร์และผู้กำกับภาพ ที่ได้เข้าชิงรางวัลช้างเผือกจากเทศกาลภาพยนตร์สั้นแห่งประเทศไทยครั้งที่ 21 จากเรื่อง “ทุกคนที่บ้านสบายดี” (2560) และได้รับเลือกฉายในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติไห่ หนาน

    EVERYTHING TEAM10 months ago
  • CULTURE&LIFESTYLE/MOVIE

    งานศิลปะที่รายล้อมตัวละครในหนังทริลเลอร์จิตวิทยา Inside (2023)

    Inside (2023) หนังทริลเลอร์จิตวิทยาของผู้กำกับสัญชาติกรีซ วาซิลลิส แคตซูพิส (Vasilis Katsoupis) ที่เล่าเรื่องราวของของนีโม (วิลเลียม เดโฟ) หัวขโมยที่ลักลอบเข้าไปในเพนท์เฮ้าส์สุดหรูของสถาปนิกชื่อดัง เพื่อขโมยงานศิลปะราคาแพงที่สะสมอยู่ในนั้น แต่ดันบังเอิญโชคร้ายถูกระบบนิรภัยขังอยู่ภายในคนเดียว ท่ามกลางงานศิลปะที่อยู่รายรอบ จนเขาต้องหาทางเอาชีวิตรอดอยู่ข้างใน โดยอาศัยข้าวของรอบตัว หรือแม้แต่งานศิลปะที่อยู่ในนั้นมาใช้เป็นเครื่องมือก็ตาม เรียกได้ว่าเป็น Cast Away เวอร์ชันอาชญากรก็ได้

    Panu Boonpipattanaponga year ago
  • CULTURE&LIFESTYLE/MOVIE

    Exclusive Talk กับผู้กำกับและนักแสดงนำหญิงจาก “A Guilty Conscience” ภาพยนตร์ฮ่องกงเรื่องแรกที่ทำรายได้ทะลุร้อยล้านเหรียญฮ่องกง

    ฮ่องกง เมื่อราวสิบยี่สิบปีก่อน นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่น่าจับตามองมาก ๆ ในฐานะประเทศที่ส่งออกภาพยนตร์ออกสู่สายตาของประชาคมโลก ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ต่อสู้กำลังภายใน ภาพยนตร์มาเฟีย หรือแม้แต่ภาพยนตร์ชีวิตที่ถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างลึกซึ้งของหว่องกาไว จนเรียกได้ว่าเป็นยุคทองของอุตสาหกรรมฮ่องกง แต่ด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ทำให้ความคึกคักของภาพยนตร์ฮ่องกงเริ่มเงียบเหงามากขึ้นเรื่อย ๆ จนแฟนหนังฮ่องกงหลายคน ออกปากบ่นคิดถึงความรุ่งเรืองในอดีต ดังนั้นเมื่อเกิดปรากฏการณ์ความนิยมระดับ 100 ล้านเหรียญฮ่องกง ของภาพยนตร์อาชญากรรมอย่าง A Guilty Conscience ขึ้นมาแล้ว แสงที่เคยริบหรี่ก็อาจจะกลับมาสว่างไสวขึ้นมาอีกครั้ง

    EVERYTHING TEAM2 years ago
SIGN UP TO OUR NEWSLETTER
A Monthly update of the new issue from us
THANK YOU FOR YOUR SUBSCRIPTION

We use cookies, localStorage and other technologies (collectively, "cookies") to recognise your browser or device, learn more about your interests, and provide you with essential features and services and for additional purposes. ( see details )