LOOKING ON EVERYTHING ?
EXPLORE ON EVERYTHING

งานศิลปะที่หลอมรวมอยู่ในเนื้อกายภาพยนตร์ The Room Next Door ของ Pedro Almodóvar
เรื่อง: ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์
ถ้าเอ่ยชื่อของ เปโดร อัลโมโดวาร์ (Pedro Almodóvar) หลายคนอาจรู้จักเขาในฐานะผู้กํากับเจ้าของฉายา “เจ้าป้าแห่งวงการหนังสเปน” ที่นอกจากหนังของเขาจะเต็มไปด้วยลีลาอันจัดจ้านเปี่ยมสีสัน เต็มไปด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวอันแปลกประหลาดพิลึกพิลั่นพิสดารเหนือความคาดหมาย และถึงพร้อมไปด้วยศิลปะภาพยนตร์อย่างเต็มเปี่ยมแล้ว ด้วยความที่อัลโมโดวาร์หลงใหลในศิลปะอย่างลึกซึ้ง ทําให้มักจะมีงานศิลปะปรากฏให้เห็นในหนังของเขาอยู่บ่อยครั้ง และนอกจากเขาจะหยิบงาน ศิลปะเหล่านั้นมาใช้ในหนังเพราะความหลงใหลและรสนิยมส่วนตัวอันวิไลของตัวเองแล้ว ในหลายๆ ครั้ง ผลงานศิลปะเหล่านั้นยังทําหน้าที่ในการช่วยขับเคลื่อนเรื่องราว ขับเน้นบุคลิกภาพของตัวละคร และเป็นสัญลักษณ์ที่สัมพันธ์กับเนื้อหาในหนังอย่างแนบเนียน
ในผลงานเรื่องล่าสุดของอัลโมโดวาร์อย่าง The Room Next Door (2024) ภาพยนตร์ภาษาอังกฤษ เรื่องแรกของเขา ที่ดัดแปลงมาจากนิยาย What Are You Going Through (2020) ของนักเขียนชาว อเมริกัน ซิกริด นูเนซ (Sigrid Nunez) หนังคว้ารางวัลสิงโตทองคําจากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ เมืองเวนิส ประจําปี 2024 โดยเล่าเรื่องราวของ อิงกริด (จูลีแอนน์ มัวร์) นักเขียนนิยายผู้ประสบความสําเร็จในวิชาชีพ ที่ได้ข่าวเกี่ยวกับ มาร์ธา (ธิลดา สวินตัน) นักเขียนเพื่อนสนิทของเธอที่เคยทํางานอยู่ในนิตยสารเดียวกัน ก่อนที่จะแยกย้ายไปตามทางของตัวเองโดยไม่ได้พบกันเป็นเวลาหลายปี เธอพบว่ามาร์ธาผู้ผันตัวเองไปเป็นนักข่าวสงคราม กําลังป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย ทําให้อิงกริดตัดสินใจไปพบมาร์ธาอีกครั้ง ก่อนที่มาร์ธาจะไหว้วานให้อิงกริดช่วยอยู่เป็นเพื่อนเธอในการเดินทางไปกระทําภารกิจบางอย่างเป็นครั้งสุดท้าย
ด้วยวัย 75 ปี อัลโมโดวาร์เปลี่ยนแนวทางจากการทําหนังตลกร้าย จัดจ้าน หวือหวา บ้าคลั่ง แซบตลาดแตก หันมาทําหนังที่นําเสนอความเป็นมนุษย์อย่างสุขุมลุ่มลึก กลมกล่อม ละเมียดละไม อย่างคนที่ตกตะกอนในชีวิตมาแล้วเท่านั้นที่จะทําได้ นอกจากนี้ หนังยังนําเสนอประเด็นอันเป็นที่ถกเถียงกันในสังคมอย่างการ การุณยฆาต (Euthanasia) ได้อย่างน่าสนใจ
ถึงแม้จะลดความจัดจ้านหวือหวาในเรื่องราว เนื้อหา และการแสดงลงไป หากแต่การออกแบบฉาก งานสร้าง และการกํากับศิลป์ของหนัง ก็ยังเต็มไปด้วยสีสันจัดจ้าน เปี่ยมด้วยสุนทรียะเหมือนหนังเรื่องที่ผ่านๆ มาของเขาอยู่ดี ทั้งงานดีไซน์ชั้นเยี่ยมอันเปี่ยมสีสันสดใสฉูดฉาดบาดตา ที่สะท้อนพลังอันโดดเด่นของสตรีเพศที่ปรากฏอยู่ในหนังของอัลโมโดวาร์เสมอมา ที่สําคัญ หนังเรื่องนี้ก็ยังเต็มไปด้วยงานศิลปะชั้นเยี่ยมอยู่มากมายหลายชิ้นเช่นเดียวกัน

เริ่มต้นด้วยผลงานศิลปะที่อยู่ภายในฉากอพาร์ตเมนต์ของ มาร์ธา หนึ่งในตัวละครเอกของเรื่อง บน ผนังในห้องรับแขกของเธอ มีผลงานของ หลุยส์ บรูชัวร์ (Louise Bourgeois) ศิลปินและประติมากรหญิงชาวฝรั่งเศส/อเมริกันผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในวงการศิลปะร่วมสมัยของโลก อย่าง Untitled (I Have Been to Hell and Back) (1996) ผลงานศิลปะในรูปของผืนผ้าเช็ดหน้าที่ปักลวดลายเป็นตัวหนังสือใจความว่า “I have been to hell and back. And let me tell you, it was wonderful.” (ฉันเคยลงนรกมาแล้วและกลับมาได้ และฉันขอบอกเลยว่า มันช่างวิเศษเหลือเกิน) ถ้อยคําเหล่านี้แสดงถึงความทุกข์ทนจากภาวะซึมเศร้าอันต่อเนื่องยาวนานของเธอ และการที่เธอเอาชนะมันได้ด้วยการปรับตัวปรับใจตัวเอง เธอมองว่าผลงานศิลปะของเธอเป็นเหมือนชีวประวัติส่วนตัว เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์แห่งความทุกข์ทรมานในวัยเด็กที่เธอได้รับจากพ่อผู้ใช้ความรุนแรง และแม่ที่เจ็บป่วยเรื้อรัง
รูปแบบการทํางานเช่นนี้ ทําให้บรูชัวร์ได้รับการจดจําในฐานะศิลปินผู้บุกเบิกแนวทางศิลปะที่เรียกว่า ‘Confessional Art’ หรืองานศิลปะที่เป็นรูปแบบเฉพาะของศิลปินหญิงที่ใช้ผลงานศิลปะเป็นเสมือน หนึ่งเครื่องมือในการถ่ายทอดภาพชีวิต คล้ายกับอนุสรณ์หรืออัตชีวประวัตินั่นเอง
การที่บรูชัวร์ปักถ้อยคํานี้ลงบนผ้าเช็ดหน้า อ้างอิงถึงความผกผันลักลั่นทางอารมณ์ของเธอ รวมถึงแสดงออกถึงอารมณ์ขันอันมืดหม่นของเธอ บรูชัวร์มองว่าเธอเป็นผู้รอดชีวิต(จากประสบการณ์อันเลวร้ายในชีวิต) ผลงานของเธอจึงสะท้อนความมุ่งมันที่จะมีชีวิตอยู่ และนําเสนอหนทางในการเอาชนะความทุกข์ของมนุษย์ ที่บางครั้งอาจไม่ต่างอะไรจากนรกดีๆ นี่เอง ไม่ว่าจะจากสงคราม ภัยพิบัติทางธรรมชาติ โรคภัยไข้เจ็บ หรือแม้แต่ความสัมพันธ์เป็นพิษในครอบครัวก็ตาม ที่สําคัญ ความหมายที่อยู่ในถ้อยคําบนผลงานชิ้นนี้เอง ก็สัมพันธ์กับชะตากรรมและภาวะทางร่างกายและจิตใจของตัวละครผู้เป็นเจ้าของมันอย่างมาร์ธาได้เป็นอย่างดี
บรูชัวร์เองก็น่าจะเป็นศิลปินคนโปรดของอัลโมโดวาร์ เพราะนอกจากหนังเรื่องนี้แล้ว ในหนังเรื่องก่อนหน้าของเขาอย่าง The Skin I Live In (2011) ก็ใส่ผลงานของบรูชัวร์ไว้ในหนัง และใช้เป็นเครื่องมือในการช่วยขับเคลื่อนเรื่องราว และยังเป็นแรงบันดาลใจให้แก่การออกแบบเครื่องแต่งกายของตัวละครเอกในหนังอีกด้วย


บนผนังเดียวกันยังมีผลงานภาพถ่ายของ คริสติน่า การ์เซีย โรเดโร (Cristina Garcia Rodero) ช่าง ภาพหญิงชาวสเปน ผู้เป็นหนึ่งในช่างภาพสารคดีที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก ภาพถ่ายขาวดําที่มีชื่อว่า Holy Saturday. Group of women marching on the streets and singing their grief at the death Of Christ. Puglia, Italy (2000) ที่บันทึกเหตุการณ์ที่กลุ่มหญิงสาวสวมผ้าคลุมหน้าสีดํา เดินขบวนบน ท้องถนน และร้องเพลงเพื่อแสดงความโศกเศร้าต่อการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์
โรเดโรมักถ่ายภาพสารคดีเกี่ยวกับการคงอยู่ของประเพณีชนบทในปัจจุบัน เช่น พิธีกรรมทางศาสนา และเทศกาลท้องถิ่นต่างๆ ในประเทศสเปนและยุโรป ภาพถ่ายในลักษณะนีี้ของเธอเป็นตัวสะท้อน วิชาชีพของมาร์ธา ผู้ทํางานเป็นนักข่าวสงครามได้อย่างแนบเนียน

ผลงานชิ้นสุดท้ายบนผนังเป็นภาพวาดพอร์ตเทรตของมาร์ธา (หรืออันที่จริงก็ของ ทิลดา สวินตันนั่น แหละนะ) ภาพวาดนี้เป็นผลงานของ ซานโดร คอปป์ (Sandro Kopp) ศิลปินชาวเยอรมนี-นิวซีแลนด์ ผลงานของเขามีแนวคิดเกี่ยวกับการสํารวจจุดตัดระหว่างงานจิตรกรรมคลาสสิกและเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงตั้งคําถามเกี่ยวกับการดํารงอยู่ของสื่อกลางในสังคมสมัยใหม่
คอปป์เป็นศิลปินที่ทํางานได้อย่างอิสระเลื่อนไหลทั้งในแนวทางของงานศิลปะแบบรูปลักษณ์ (figurative art) และศิลปะนามธรรม (abstract art) ก่อนหน้านี้เขาเป็นที่รู้จักจากผลงานชุด Skype Portraits ที่วาดภาพพอร์เทรตของผู้คนผ่านโปรแกรมสื่อสารออนไลน์อย่าง Skype และจับเอาความ บกพร่องไม่สมบูรณ์ของภาพที่ถูกบิดเบือนความชัดเจนจากการส่งสัญญาณผ่านเครือข่ายการสื่อสาร ออนไลน์ เพื่อเพิ่มรายละเอียดของความเป็นนามธรรมให้ใบหน้าเหล่านั้น
อันที่จริงคอปป์เองก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล หากแต่เป็นคู่รักคนปัจจุบันของ ทิลดา สวินตัน นักแสดงนําในเรื่องนี้ แถมก่อนหน้านี้คอปป์ยังเคยวาดภาพให้หนังที่ทิลดาเล่นอีกสองเรื่องอย่าง The French Dispatch (2021) ของ เวส แอนเดอร์สัน และ Okja (2017) ของ บง จุนโฮ อีกด้วย เรียกได้ว่าช่วยกันทํามาหากินจริงๆ อะไรจริง คู่นี้!

ตรงประตูทางเข้าในอพาร์ตเมนต์ ยังมีผลงานขนาดใหญ่สีสันฉูดฉาดสดใส ของ ฆอร์เฆ กาลินโด (Jorge Galindo) ศิลปินร่วมสมัยชาวสเปน ผู้เป็นที่รู้จักจากผลงานจิตรกรรมสื่อผสม ที่หลอมรวมความเป็นศิลปะนามธรรมเน้นการเคลื่อนไหว (gestural abstraction) และงานปะติด (collage) ด้วยการปะติดปะต่อภาพจากภาพถ่าย ปฏิทิน โปสการ์ด และนิตยสารเก่าๆ
ที่สําคัญก็คือ ผลงานที่เห็นในหนังเรื่องนี้เป็นการร่วมมือสร้างสรรค์ระหว่างกาลินโดกับผู้กํากับหนังอย่าง เปโดร อัลโมโดวาร์ ด้วยการใช้ผลงานภาพถ่ายหุ่นนิ่งรูปแจกันและดอกไม้อันเปี่ยมสีสันในสไตล์ป๊อปอาร์ต ในซีรีส์ Vida Detenida ของอัลโมโดวาร์ พิมพ์ออกมาในขนาดใหญ่เพื่อใช้เป็นผืนผ้าใบวาดภาพ กาลินโดยังเชิญชวนให้อัลโมโดวาร์ร่วมลงมือวาดภาพชุดนี้กับเขาอีกด้วย ภาพวาดนี้เป็นหนึ่งในผลงานจากนิทรรศการ Flowers ของ ฆอร์เฆ กาลินโด และ เปโดร อัลโมโดวาร์ ที่จัดแสดงในปี 2019 ที่ศูนย์ศิลปะ Tabacalera ในกรุงมาดริด ประเทศสเปน


หนังยังสอดแทรกเรื่องราวของ ดอรา แคร์ริงตัน (Dora Carrington) จิตรกรหญิงชาวอังกฤษ ผู้เป็นสมาชิกในกลุ่มบลูมส์เบอรี (Bloomsbury Group) แคร์ริงตันเป็นที่รู้จักจากภาพวาดทิวทัศน์ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับลัทธิเซอร์เรียลลิสม์ (Surrealism) ด้วยการผสานภาพวาดทิวทัศน์ที่มองเห็นด้วยตาเข้ากับความปรารถนาและจินตนาการภายในจิตใจของเธอ แต่สิ่งที่ทําให้เธอเป็นที่รู้จักยิ่งกว่าคือความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับ ลิตตัน สเตรชีย์ (Lytton Strachey) นักเขียนชาวอังกฤษผู้เป็นรักร่วมเพศ ว่ากันว่า แคร์ริงตันหลงรักสเตรชีย์ จนถึงกับยอมแต่งงานกับผู้ชายที่เขาชอบเพื่ออยู่กันแบบสามคนผัวเมีย เธออยู่กับสเตรชีย์จนวาระสุดท้ายของเขา และฆ่าตัวตายหลังจากนั้นไม่กี่เดือน ความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงระหว่างแคร์ริงตันกับสเตรชีย์เองก็สะท้อนถึงความสัมพันธ์รักสามเส้าระหว่างอิงกริดกับมาร์ธา ผู้เคยมีคู่รักคนเดียวกันได้เล็กๆ อยู่เหมือนกัน
แถมฉากหนึ่งในหนังที่เป็นห้วงคํานึงของมาร์ธาที่มีต่อเหตุการณ์การเสียชีวิตของ เฟรด อดีตสามีของเธอ องค์ประกอบในฉากนี้เองก็น่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากภาพวาด Christina’s World (1948) ผล งานที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักมากที่สุดของ แอนดรูว์ ไวเอท (Andrew Wyeth) จิตรกรภาพเหมือนจริง ชาวอเมริกันผู้โดดเด่นและทรงอิทธิพล และเป็นหนึ่งในศิลปินอเมริกันที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักที่สุดในช่วงกลางศตวรรษที่ 20


Christina’s World ถ่ายทอดภาพของหญิงสาวผู้หนึ่งจากด้านหลังของเธอ เธอสวมชุดสีชมพู ทอดกายอยู่บนทุ่งหญ้าสีน้ําตาลทองโล่งกว้างสุดลูกหูลูกตา สายตาของเธอ (ที่เรามองไม่เห็น) ทอดไปยังบ้านหลังหนึ่งตรงริมขอบฟ้าที่ตั้งเคียงกับโรงนาอีกหลัง อารมณ์ในภาพเหมือนจะแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัว บ้านและโรงนาที่อยู่ไกลออกไปดูเก่าโบราณเป็นสีเทาจนดูหลอมรวมกลมกลืนไปกับทุ่งหญ้าแห้ง และท้องฟ้าครึ้มเมฆข้างหลัง
ฉากในภาพดูงดงามคุ้นตา หากแต่ก็แฝงเอาไว้ด้วยความลึกลับและปริศนาอันน่าเศร้า ที่พ้องกันอย่างเหมือนจงใจก็คือ นอกจากท่านั่งและการจัดองค์ประกอบในฉากนี้จะอยู่ในตําแหน่งเดียวกันกับภาพ Christina’s World (แต่กลับซ้ายขวาเหมือนกระจกเงา) แล้วตัวละครภรรยาใหม่ของเฟรด ยังสวมเสื้อสีชมพูเหมือนคริสตินา ตัวละครหญิงสาวในภาพวาดอีกด้วย ถึงแม้จะสีสดฉูดฉาดกว่าก็เถอะ ภาพวาดนี้ยังเป็นแรงบันดาลใจให้หนังอีกหลายเรื่องอย่าง Days of Heaven (1978), The Reflecting Skin (1990) และ Oblivion (2013) อีกด้วย
หรือในฉากบ้านพักตากอากาศที่มาร์ธาเดินทางไปกระทําภารกิจสุดท้าย ภายในห้องพักของอิงกริดยังมีผลงานของจิตรกรเซอร์เรียลลิสต์ชาวสเปน มารูคา มัลโญ (Maruja Mallo) อย่าง Naturaleza viva con estrella de mar (Living Nature with Starfish) (1942) ภาพวาดดอกไม้อันสุดพิสดารที่รวมตัวกับดาวทะเลแขวนอยู่

มารูคา มัลโญ เป็นศิลปินคนสําคัญในขบวนการ Generation of ’27 กระแสเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรม ในยุค 1923 และ 1927 ของสเปน ที่ประกอบด้วยศิลปินหัวก้าวหน้าผู้กลายเป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งลัทธิเซอร์เรียลลิสม์อย่าง ซัลบาดอร์ ดาลี (Salvador Dalí), ฆวน มิโร (Joan Miró) และ ฆอร์เก หลุยส์ บอร์เกส (Jorge Luis Borges) กวีและนักเขียนคนสําคัญแห่งอาร์เจนตินา มัลโญเองก็น่าจะเป็นศิลปินคนโปรดของอัลโมโดวาร์อีกคนด้วย เพราะในหนังเรื่องก่อนหน้าของเขาอย่าง Pain and Glory (2019) ก็มีผลงานของมัลโญอยู่หลายชิ้น

ในฉากเดียวกัน ภายในห้องโถงของบ้านพักตากอากาศ ก็มีผลงานภาพวาด(รีโปรดักชัน) People in the Sun (1960) ของ เอ็ดเวิร์ด ฮอปเปอร์ (Edward Hopper) จิตรกรและศิลปินภาพพิมพ์แนวสัจนิยม (Realism) ที่โด่งดังที่สุดคนหนึ่งของวงการศิลปะอเมริกัน ผู้ถ่ายทอดภาพชีวิตประจําวันทั่วๆ ไปของคนอเมริกันด้วยการใช้สีสันแสงเงาอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แสดงออกถึงความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา แปลกแยก ที่แฝงอยู่ท่ามกลางความปกติธรรมดาของชีวิตในสังคมเมือง

ด้วยภาพวาดของชายหญิงนักท่องเที่ยวห้าคนนั่งอยู่บนระเบียงใต้ท้องฟ้าสีครามกว้างใหญ่ ถึงแม้จะดูเหมือนพวกเขากําลังนั่งชมทิวทัศน์อันงดงามตระการตา หรืออาบแสงแดดอันอบอุ่น แต่สีหน้าของพวกเขากลับเย็นชา ไร้อารมณ์ บางคนดูเศร้าหมองด้วยซ้ํา ฉากและตัวละครในภาพถูกจัดวางคล้ายกับอยู่ในจอภาพยนตร์ ด้วยการใช้องค์ประกอบของภาพที่กว้าง แสงเงาเข้มข้นคล้ายกับโรงละคร ทําให้ภาพวาดนี้สื่อถึงความเปลี่ยวเหงาเศร้าสร้อยของตัวละครอย่างมาร์ธา ที่อยู่ในช่วงเวลาสุดท้าย ของชีวิต กระทั่งซ้อนทับกับวาระสุดท้ายของเธอ หรือฉากสุดท้ายในหนังเรื่องนี้ได้อย่างทรงพลัง สิ่งละอันพันละน้อยในหนังเรื่องนี้ (และเรื่องอื่นๆ) ของเขาที่เราหยิบยกมาเป็นตัวอย่างเหล่านี้ เป็นหลักฐานที่แสดงให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่า ตลอดอาชีพการทํางานอันยาวนานของคนทําหนังอย่าง เปโดร อัลโมโดวาร์ ศิลปะนั้นหลอมรวมเข้ากับชีวิตอย่างไม่อาจแยกออกจากกันได้นั่นเอง.
เช็กรอบและจองตั๋ว App: House Cinema
https://www.housesamyan.com/site/Movie/detail/1277?
หรือหน้าเคาน์เตอร์โรง ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์ (MRT สามย่าน)
หนังสือ Louise Bourgeois The Fabric Works by Germano Celant
https://www.xavierhufkens.com/news/louise-bourgeois-i-have-been-to-hell-and-back-and- let-me-tell-you-it-was-wonderful
https://howtoseewithoutacamera.wordpress.com/tag/cristina-garcia-rodero/
https://www.promociondelarte.com/filedb/2019/sr80_PERIODICO_Baja.pdf
https://cinemassociations.tumblr.com/post/187581649145/on-dolor-y-gloria
https://news.artnet.com/art-world/pedro-almodovar-photography-1535581
หนังสือ Andrew Wyeth: Christina's World โดย Laura Hoptman, MoMA
https://www.thoughtco.com/christinas-world-by-andrew-wyeth-183007
งานศิลปะที่หลอมรวมอยู่ในเนื้อกายภาพยนตร์ The Room Next Door ของ Pedro Almodóvar
/
ท่ามกลางลิสต์ภาพยนตร์ต่อสู้ระทึกขวัญ หรือภาพยนตร์ดราม่าเรียกอารมณ์ผู้ชม ใน Hong Kong Film Gala Presentation & Dynamic Cityscapes of Hong Kong Films “งานภาพยนตร์ฮ่องกงพลังหนังขับเคลื่อนเมือง กับนิทรรศการหนังฮ่องกง” ที่เดินทางกลับมาฉายในไทยอีกครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ยังมีภาพยนตร์กลิ่นอายโรแมนติกอีกหนึ่งเรื่อง ที่น่าจับตามองไม่แพ้กันอย่าง Love Lies ที่นำเสนอความสัมพันธ์ของแพทย์หญิงหม่าย ที่รับบทโดย Sandra Ng Kwan-Yue (อู๋จินหยู) ผู้ร่ำรวย และมีหน้าที่การงานที่ดี ซึ่งบังเอิญตกหลุมรักกับวิศวกรชาวฝรั่งเศสวัยกลางคน ที่คอยหยอดคำหวานและคำห่วงใยผ่านแชทมาให้ตลอด จนกระทั่งเธอค้นพบความจริงว่าเบื้องหลังแชทเหล่านี้เกิดขึ้นด้วยคำลวงจากฝีมือเด็กหนุ่มมิชฉาชีพ ที่รับบทโดย MC Cheung (เอ็มซีเจิ้ง) ดังนั้นเรื่องราวต่อจากนี้ในภาพยนตร์จึงเป็นการค้นหาคำตอบของเธอในสมการความสัมพันธ์ครั้งนี้ว่าจะจบลงอย่างไร
/
ความสำเร็จด้านรายได้กว่า 100 ล้านเหรียญฮ่องกงของ A Guilty Conscience จากการกำกับของ แจ็ค อึ่ง (Jack Ng) สร้างปรากฏการณ์ใหญ่ที่นับได้ว่าเป็นความหวังใหม่ของอุตสาหกรรรมภาพยนตร์ของฮ่องกง และทำให้บรรยากาศของแวดวงนี้ดูจะกลับมาคึกคักอีกครั้งในสายตาของแฟนหนังทั่วโลก พอ Hong Kong Film Gala Presentation หรือที่ในปีนี้ใช้ชื่อเต็มว่า Hong Kong Film Gala Presentation & Dynamic Cityscapes of Hong Kong Films “งานภาพยนตร์ฮ่องกงพลังหนังขับเคลื่อนเมือง กับนิทรรศการหนังฮ่องกง” ได้กลับมาจัดอีกครั้งในประเทศไทย ก็ทำให้ลิสต์ในปีนี้เต็มไปด้วยภาพยนตร์คุณภาพที่น่าจับตามองจากฝีมือการกำกับของผู้กำกับรุ่นใหม่ และจากพลังของนักแสดง
/
ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้สามารถเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่จะบอกเล่าแก่คนรุ่นหลังได้ว่าพวกเราซึ่งเป็นประชาชนภายในประเทศนี้ผ่านอะไรกันมา กำกับโดย “เอกพงษ์ สราญเศรษฐ์” (เอก) ผู้กำกับภาพยนตร์อิสระจากสงขลา เอกเริ่มกำกับสารคดีสั้นเกี่ยวกับความตายของ กฤษณ์ สราญเศรษฐ์ ลุงของเขาในชื่อเรื่อง “คลื่นทรงจำ” (2561) ซึ่งได้รับรางวัลสารคดีสั้นยอดเยี่ยมในงานเทศกาลภาพยนตร์สารคดีนานาชาติ DMZ ที่ประเทศเกาหลีใต้ และได้เข้าฉายในเทศกาลต่างประเทศอีกหลายแห่ง และผู้กำกับอีกคน คือ “ธนกฤต ดวงมณีพร” (สนุ้ก) ผู้กำกับภาพยนตร์และผู้กำกับภาพ ที่ได้เข้าชิงรางวัลช้างเผือกจากเทศกาลภาพยนตร์สั้นแห่งประเทศไทยครั้งที่ 21 จากเรื่อง “ทุกคนที่บ้านสบายดี” (2560) และได้รับเลือกฉายในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติไห่ หนาน
/
Inside (2023) หนังทริลเลอร์จิตวิทยาของผู้กำกับสัญชาติกรีซ วาซิลลิส แคตซูพิส (Vasilis Katsoupis) ที่เล่าเรื่องราวของของนีโม (วิลเลียม เดโฟ) หัวขโมยที่ลักลอบเข้าไปในเพนท์เฮ้าส์สุดหรูของสถาปนิกชื่อดัง เพื่อขโมยงานศิลปะราคาแพงที่สะสมอยู่ในนั้น แต่ดันบังเอิญโชคร้ายถูกระบบนิรภัยขังอยู่ภายในคนเดียว ท่ามกลางงานศิลปะที่อยู่รายรอบ จนเขาต้องหาทางเอาชีวิตรอดอยู่ข้างใน โดยอาศัยข้าวของรอบตัว หรือแม้แต่งานศิลปะที่อยู่ในนั้นมาใช้เป็นเครื่องมือก็ตาม เรียกได้ว่าเป็น Cast Away เวอร์ชันอาชญากรก็ได้
/
ฮ่องกง เมื่อราวสิบยี่สิบปีก่อน นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่น่าจับตามองมาก ๆ ในฐานะประเทศที่ส่งออกภาพยนตร์ออกสู่สายตาของประชาคมโลก ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ต่อสู้กำลังภายใน ภาพยนตร์มาเฟีย หรือแม้แต่ภาพยนตร์ชีวิตที่ถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างลึกซึ้งของหว่องกาไว จนเรียกได้ว่าเป็นยุคทองของอุตสาหกรรมฮ่องกง แต่ด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ทำให้ความคึกคักของภาพยนตร์ฮ่องกงเริ่มเงียบเหงามากขึ้นเรื่อย ๆ จนแฟนหนังฮ่องกงหลายคน ออกปากบ่นคิดถึงความรุ่งเรืองในอดีต ดังนั้นเมื่อเกิดปรากฏการณ์ความนิยมระดับ 100 ล้านเหรียญฮ่องกง ของภาพยนตร์อาชญากรรมอย่าง A Guilty Conscience ขึ้นมาแล้ว แสงที่เคยริบหรี่ก็อาจจะกลับมาสว่างไสวขึ้นมาอีกครั้ง
/
นักธุรกิจชั้นนำหลายคนใช้เวลาว่างจากการทำงานไปกับความหลงใหลที่แตกต่างกัน บางคนใช้เวลาไปกับความหลงใหลในการท่องเที่ยวทั่วโลก บางคนใช้เวลาไปกับความหลงใหลในการล่องเรือตกปลา ขับรถซูเปอร์คาร์ หรือปาร์ตี้สุดเหวี่ยง แต่มีนักธุรกิจผู้หนึ่งที่มีความลุ่มหลงที่แปลกแตกต่างออกไป เขาผู้นี้คือนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ผู้บริหารรุ่นที่สองของ โก๋แก่ แบรนด์ถั่วอบกรอบระดับแนวหน้าของเมืองไทยอย่าง ต้น จุมภฏ รวยเจริญทรัพย์ ผู้หลงใหลในการทำหนังอย่างเข้าเส้น ลงลึกถึงกระดูกดำจนลุกขึ้นมาตั้งค่ายหนังอิสระของตัวเองในนาม โก๋ฟิล์ม ฝากผลงานหนังมันส์ๆ ดิบๆ ห่ามๆ ไม่แคร์ตลาด ไม่แยแสรางวัล ประดับวงการมาแล้วหลากหลายเรื่อง
We use cookies, localStorage and other technologies (collectively, "cookies") to recognise your browser or device, learn more about your interests, and provide you with essential features and services and for additional purposes. ( see details )