อุ้ม-วัลลภ รุ่งกำจัด นักแสดงภาพยนตร์อิสระ สู่เส้นทางของ Cannes Film | IAMEVERYTHING.CO

LOOKING ON EVERYTHING ?

EXPLORE ON EVERYTHING

อุ้ม-วัลลภ รุ่งกำจัด นักแสดงภาพยนตร์อิสระ สู่เส้นทางของ Cannes Film
Writer : Samattachai B. , Photographer : Akekapop Promstit

ฉากที่ 1 / Prince Theatre Heritage Stay / ภายในล็อบบี้
ตัวละคร อุ้ม

  วัลลภ รุ่งกำจัด หรือ อุ้ม นักแสดงที่เชื่อมโยงความเป็นมนุษย์กับโลกของภาพยนตร์ ผ่านการสร้างชีวิตให้ตัวละครต่าง ๆ ได้ออกมาโลดแล่นแสดงความรู้สึกทางอารมณ์ให้กับผู้ชม แม้เขาจะไม่ได้เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงในวงกว้างเทียบเท่ากับนักแสดงกระแสหลัก แต่ในเวทีระดับโลก “อุ้ม” ได้พิสูจน์ตัวเองกับการเป็นนักแสดงที่มีความสามารถที่ยอมทุ่มเทหลาย ๆ สิ่ง ให้กับงานศิลปะด้านการแสดงในภาพยนตร์เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้อย่างสุดตัว

ปี 2010 แสดงภาพยนตร์เรื่อง ที่รัก (Eternity) / กำกับ ศิวโรจณ์ คงสกุล
- รางวัล Tiger Award จากเทศกาล International Film Festival of Rotterdam ปี 2011
ปี 2012 แสดงภาพยนตร์เรื่อง 36 / กำกับ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์
- รางวัล New Currents Award จากเทศกาล Busan International Film Festival ปี 2012
ปี 2018 แสดงภาพยนตร์เรื่อง กระเบนราหู (Manta Ray) / กำกับ พุทธิพงษ์ อรุณเพ็ง
- รางวัล Venice Horizons Award - Best Film จากเทศกาล Venice Film Festival ปี 2018
ปี 2024 แสดงภาพยนตร์ไต้หวันเรื่อง Mongrel / กำกับ Chiang Wei Liang
- รางวัล Special Mention : Caméra d’or Prize จากเทศกาล Cannes Film Festival ปี 2024

  “ที่รัก (Eternity)” อุ้มรับบทเป็น วิทย์ หนังที่ถ่ายทอดความรักเล็ก ๆ ของครอบครัวหนึ่ง แต่กลับสร้างความประทับใจให้ผู้ชมในวงกว้าง ส่วนเรื่องต่อไปคือ “36” หนังของ เต๋อนวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ อุ้มรับบทเป็น อุ้ม หนังที่เล่าความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงที่ให้ความรู้สึก Nostalgia ในยุคที่เครื่องช่วยบันทึกภาพเปลี่ยนผ่านจากฟิล์มสู่ยุคดิจิทัล และต่อด้วย “กระเบนราหู (Manta Ray)” อุ้มรับบทเป็น ชาวประมง หนังสะท้อนปัญหาและทัศนคติของความขัดแย้งที่เกี่ยวกับผู้อพยพชาวโรโรฮิงญาในไทย และในภาพยนตร์ไต้หวัน “Mongrel” อุ้มรับบทเป็นแรงงานผิดกฎหมาย หนังเล่าผ่านตัวละครแรงงานผู้อพยพชาวไทยที่ไม่มีเอกสารและทำงานเป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุและผู้พิการในชนบท ซึ่งต้องดิ้นรนเพื่อรักษาความเป็นมนุษย์ของตนเอง

ฉากที่ 2 / สนามฟุตบอล / มหาวิทยาลัย / ร้าน VDO / กองถ่าย / โรงแรม
ตัวละคร อุ้ม

  ตอนเด็ก ๆ ผมชอบเตะฟุตบอล ฝันอยากเป็นนักฟุตบอล พอตอน ม.4 เราก็พยายามไปซ้อมแต่รู้สึกว่ามันเหนื่อย มันยากจัง ก็เลยเปลี่ยนแผนกลับมานั่งคิดว่าอยากเรียนต่อมหาวิทยาลัยอะไร พอดีมีเพื่อนของน้าแนะนำให้ไปลองติวศิลปะดู เขาก็บอกว่ามีติวสาขาอะไรบ้าง ในตอนนั้นก็รู้สึกว่าอยากเรียนออกแบบภายใน เลยพยายามติวเข้าศิลปกร ซึ่งพอเข้าไปเรียนกลายเป็นเรารู้สึกสนใจตกแต่งภายในน้อยลง แต่มันกลายเป็นประตูอีกโลกนึงที่เปิดโอกาสให้ได้ไปทดลองเรื่องอื่น ๆ ผมไปลงเรียนภาพพิมพ์ ไปเรียนเซรามิก ไปสนใจกราฟฟิก ซึ่งมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งถ้าข้อเสียมันทำให้ผมไม่ได้เกรดที่ดีของอินทีเรีย แต่ข้อดีมันทำให้ผมกล้าลองมากขึ้น ผมไม่กลัวเกรดต่ำ ไม่กลัวว่าใครจะมองผมยังไง แล้วช่วงเวลาตอนนั้นผมก็รู้สึกเหมือนได้เจอกับเคมีอะไรบางอย่างนั้นก็คือการได้ไปเช่าหนัง “ร้านเฟรมวีดีโอ” ตรงท่าพระจันทร์ ผมเช่ามาดูเยอะมากมันทําให้รู้จักหนังที่แบบ เฮ้ย มันคือหนังอะไรเนี่ย รู้สึกว่าหนังประเภทนี้น่าสนใจดี หลังจากนั้นก็เริ่มไปดูหนังที่สกาล่า โรงหนังสยาม ผมว่านั่นน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทําให้รู้สึกสนุกกับสื่อประเภทนี้ พอตอนปี 4 ผมจำเป็นต้องดรอป Thesis เพื่อนก็เลยชวนให้ไปสมัครงานที่บริษัท เดอะฟิล์มแฟคทอรี่ ไปทำตั้งแต่ Props Master, ผู้ช่วย Art Director และ Art Director ซึ่งพอทํางานที่นั่นก็รู้สึกว่าเราได้ทำอะไรที่เกี่ยวกับ “หนัง”

มันมีธรรมชาติบางอย่างที่เรารู้สึกว่าสนุกดี แต่ก็ยังเช็คกับตัวเองอีกทีว่าเรายังชอบงานอินทีเรียอยู่หรือเปล่า เลยลองไปทำงานอินทีเรียเป็นดีไซเนอร์ประจําโรงแรม ได้ทําอยู่หนึ่งปีก็รู้สึกว่า “มันทําได้” มันเอาอยู่ มันรู้ว่าการดีไซน์เป็นอย่างไงรู้ว่าโจทย์เป็นอย่างไง “แต่มันไม่ตื่นเต้น” ความตื่นเต้นมันน้อยกว่า ผมเลยกลับไปทำหนังเพราะรู้สึกว่าความคิดสร้างสรรค์ในเชิงศิลปะมันได้ทํางานเยอะกว่า แต่รายได้มันไม่ได้แบบดีมาก เพราะฉะนั้นไอ้ระหว่างที่มันล้มลุกคลุกคลานเราก็ต้องไปหาอย่างอื่นทำไปด้วย ซึ่งพอดีกับเพื่อนสนิทผม (ศิวโรจณ์ คงสกุล) ที่ทําโฆษณาที่ Film Factory มาด้วยกัน เขากําลังมีโปรเจกต์หนังยาวเรื่อง “ที่รัก (Eternity)” ซึ่งผมต้องไปทำ Art Director อยู่แล้ว แต่ระหว่างที่แคสติ้งหาตัวละครชื่อ “วิทย์” เพื่อนผมก็เลยชวนให้ไปลองแคสติ้งดู ผมรู้สึกว่า “ตัวผมกับตัวละครมันมีบางอย่างคล้ายกันอยู่แล้ว” มันสามารถเชื่อได้ว่าเรากับตัวละครมีความเชื่อมโยงบางอย่างกันซึ่งไม่ต้องพยายามแสดง ผมตีความว่ามันคือเด็กวัยรุ่นต่างจังหวัดคนหนึ่ง ถ้าใครเป็นเด็กวัยรุ่นต่างจังหวัดผมว่าคน ๆ นั้นก็เล่นเป็นตัวละครนี้ได้เหมือนกัน เราก็เอาชีวิตจริงของเรามาเป็นเครื่องมือในการแสดง เช่น สมมุติว่าตัวละครคุยกับพ่อกับแม่แบบนี้ในบท เราก็พยายามคิดว่าวิธีที่เราคุยกับพ่อแม่แบบนี้ในสถานการณ์อย่างนั้นมันเป็นยังไง แต่มันเป็นวิธีที่มั่วเลยนะ (หัวเราะ) เพราะมันไม่มีใครสอนเราไง แล้วอีกอย่างหนึ่งที่อาจจะมีส่วนให้แสดงได้อย่างไม่ประหม่ากับบรรยากาศรอบ ๆ คือการที่เป็นทีมงานมาก่อน มันทำให้เรารู้ข้อควรปฏิบัติขององค์ประกอบที่อยู่ในเฟรมว่าควรจะทำยังไงอันไหนใช้ได้อันไหนใช้ไม่ได้ เวลาใครได้ดูก็ชอบพูดว่าเหมือนไม่แสดงเลย (หัวเราะ) ซึ่งสําหรับผมมันเป็นเรื่องที่ดีนะ เพราะว่ามันทําให้เค้าเชื่อจริง ๆ ซึ่งการแสดงมันมีหลาย “รสชาติ” นะสำหรับภาพยนตร์ แต่ไอ้รสชาติที่รู้สึกว่า “ธรรมชาติ” มันก็เป็นหนึ่งในรสชาติสําหรับผม

ฉากที่ 3 / เบอร์ลิน / หมู่บ้านริมทะเล
ตัวละคร อุ้ม

  พอจบหนังเรื่องที่รัก (Eternity) เต๋อ - นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ก็ชวนไปเล่นเรื่อง “36” และหลังจากนั้นก็มีหนังของพี่นุช - พิมพกา โตวิระ เข้ามาอีก ซึ่งที่ผ่านมาผมยังไม่แน่ใจว่า “ผมทําได้ดีหรือเปล่า” แค่พอดีมีคนมาชวนแล้วผมก็รู้สึกว่าถ้าจะให้เราทําอะไรก็ควรจะตั้งใจทําให้มันดี แต่หลังจากนั้นผมได้มีโอกาสส่งโปรไฟล์ตัวเองไปที่เบอร์ลิน (Berlinale Talents 2014) แล้วก็ได้ไปเวิร์กชอปการแสดงที่นั่น มันรู้สึกว่าต้องจริงจังเราต้องตั้งใจเรียน เพราะว่าเพื่อน ๆ ที่มาเรียนด้วยกันเขาเป็นนักแสดงมืออาชีพที่ประเทศของเขาทั้งนั้น ซึ่งพอกลับมาวิธีคิดผมมันก็เริ่มเปลี่ยน เริ่มหาเครื่องมือ เริ่มหาวิธีคิด เริ่มศึกษามากขึ้นว่าถ้าเราจะทํางานกับการแสดงมันจะมีเครื่องมืออะไรได้บ้าง แล้วพอมีโอกาสได้เล่นเรื่อง “กระเบนราหู (Manta Ray)” เราก็เริ่มใช้เครื่องมือที่มันไม่เหมือนกับเครื่องมือที่ผ่านมา มันเป็นเครื่องมืออีกแบบหนึ่งที่เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมาตอนไหน อาจจะมาจากตัวเองหรืออาจจะมาจากการไปเรียนที่เบอร์ลิน ซึ่งทั้งหมดมันทําให้เจอกับความรู้สึกใหม่ “ความรู้สึกแบบผีสิง” ซึ่งผมไม่รู้เหมือนกันว่าคืออะไรมันต่างจากที่ผ่านมา มันรู้สึกสนุกกับการใช้เครื่องมือนี้มันให้ผลอะไรบางอย่าง ซึ่งความรู้สึกตอนโปรดักชั่นมันก็ประมาณนึง แต่พอวันที่หนังมันเริ่มเดินทางแล้วมีฟีดแบคจากคนดูกลับเข้ามาหาเราว่าเขารู้สึกแบบนี้ ซึ่งไอ้ความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นกับเราในตัวละครตอนนั้นมันค่อนข้างซิงค์กัน มันเป็นการ “ส่งสาร” แล้วสารนั้นไปถึงคนดูแล้วคนดูกลับมาบอกว่าเขาได้รับสารนี้ที่ตรงกับเรา มันเลยเริ่มเห็นวิธีอะไรบางอย่างกับฐานะการเป็นนักแสดง

ฉากที่ 4 / โลกเสมือน
ตัวละคร อุ้ม

  จริง ๆ ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจวิธี Method มากนัก แต่ผมรู้ว่าวิธีที่ผมทํางานด้วยมันเป็นยังไง ก็ได้ยินมานะว่าวิธี Method มันคือการอยู่กับตัวละครหรือเป็นตัวละครตลอดเวลา แต่สําหรับผม ๆ ไม่ได้ใช้วิธีนั้น ผมแค่มี “ผี” ที่เป็นตัวละครคอยอยู่ข้าง ๆ ตลอด ซึ่งผมจะเป็นคนอนุญาตให้เข้ามาตอนไหนและให้ออกตอนไหน คือสมมุติว่าผู้กำกับสั่งคัทปุ๊บผมจะเชิญออก แต่ถ้าเกิดว่ามันยังคาอยู่ก็ต้องมีวิธีเอาออกให้ได้ เพื่อจะเตรียมตัวสำหรับถ่ายซีนต่อไป ยกตัวอย่างง่าย ๆ ผมอาจจะใช้วิธีหยิบเพลงมาฟัง แล้วค่อยเรียกตัวละครนั้นเข้ามา พอหยุดฟังก็ให้ตัวละครนั้นออกไป หรือบางทีผมอาจจะหายใจเข้าออกเยอะ ๆ สะบัดร่างกาย เพื่อรีเซ็ตแล้วก็เริ่มใหม่ เพราะผมจะเอา “ผี” ให้สิงอยู่ในตัวตลอดไม่ได้ มันไม่ฟังก์ชั่นมันจะสร้างความลําบากให้คนอื่น “ตัวละครที่เราสร้างขึ้นมา” ต้องเป็นเครื่องมือที่ช่วยกันทำงาน ไม่งั้นเขาจะเป็นคนควบคุมเราซึ่งถ้าควบคุมเขาไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์ สำหรับ “ผี” ที่ผมสร้างขึ้นมามันจะค่อย ๆ เป็นตัวเป็นตนตั้งแต่เริ่ม Pre - Production มันจะอยู่กับผมไปเรื่อย ๆ จนถ่ายจบ ยกตัวอย่างเรื่อง Mongrel ก็ได้ ตลอดช่วงเวลาถ่ายทำผมต้องอยู่กับตัวละครนี้มาตลอด พอถ่ายเสร็จปุ๊บก็ขอทีมงานไปตัดผมเลย เพื่อให้เวลาที่มองตัวเองจะได้เปลี่ยนไปจากตัวละคร และหลังจากนั้นผมก็จะพยายามคุยกับตัวละครนั้นว่า “ขอบคุณมาก” “เดี๋ยวเราต้องแยกกันแล้วนะ” พอถึงวันเดินทางกลับตอนเครื่องบินขึ้นจากสนามบินกลายเป็นผมปล่อยโฮร้องไห้ออกมาเลย มันรู้สึกว่าไอ้ตัวละครนี้มันมีตัวตนจริง ๆ เขาคือ “พาร์ทเนอร์เรา”

ฉากที่ 5 / Mongrel
ตัวละคร อุ้ม

  ผู้กํากับ เจียงเหว่ยเหลียง (Chiang Wei Liang) เขาเป็นคนสิงคโปร์ที่เรียนและพักอยู่ที่ไต้หวันประมาณ 10 กว่าปี เขาเคยดูหนังที่ผมแสดงตั้งแต่เรื่องที่รัก (Eternity) จนจนถึง เรื่องกระเบนราหู (Manta Ray) เขาได้พัฒนาบทหนังเรื่อง “Mongrel” มาประมาณหลายปีแล้ว และในบทเขาก็เขียนตัวละครชื่อ “อุ้ม” ไว้ คือเขาเห็นภาพผมตั้งแต่เขียนบทเพราะตัวละครในหนังจะต้องเป็นคนไทย ซึ่งมันมีเหตุผลของหนังอยู่ว่าทำไมต้องเป็นคนไทย มันถูกตั้งต้นมาตั้งแต่การเขียนบทแล้วว่าแรงงานไทยชื่อ “อุ้ม” ซึ่งผมก็ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนเลยนะเกี่ยวกับรายละเอียดในเรื่องนี้ จนกระทั่งมีน้องที่ทำแคสติ้งที่รู้จักบอกว่ามันมีโปรเจกต์นี้นะ และทางผู้กำกับก็อยากให้เข้ามาแคสดู ผมก็เลยลองไปซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขาแคสไปเยอะมากแค่ไหนนะแต่รู้ว่าเป็นคนท้าย ๆ เพราะเหว่ยเหลียงอยากเห็นภาพของผมตอนนี้ว่าแตกต่างจากตอนที่เห็นในหนังมากน้อยแค่ไหน ซึ่งก็แคสผ่านรอบแรกไปได้ แต่เหว่ยเหลียงมองว่าบทหนังเขามันจะไม่เหมือนกับหนังที่รัก (Eternity) หรือเรื่องกระเบนราหู (Manta Ray) มันมีบางอย่างที่เรียกร้องเยอะกว่านั้น ก็เลยขอให้เข้ามาแคสอีกรอบนึงผมก็รู้สึกว่าผมก็พร้อม

  พอแคสผ่านรอบสองเขาก็รู้สึกมั่นใจก็เลยตกลงเซ็นสัญญากัน พอหลังจากเริ่มโปรเจกต์ผมกับเหว่ยเหลียงก็คุยกันเกือบทุกอาทิตย์เลย เวลาเบรกดาวน์ออกมาเราก็จะคุยกันในแต่ละซีน ถามความเห็นกันเช็คกันว่าซีนนี้เขาตีความแบบนี้เราตีความยังไง เรารู้สึกอย่างนี้ เขารู้สึกยังไง โดยระหว่างนี้เหว่ยเหลียงก็ได้พัฒนาบทไปด้วย เขาก็เอาความคิดเห็นของเราบางอย่างไปปรับในบท แล้วก็ชวนคุยเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องแต่จริง ๆ แล้วมันเกี่ยวกัน อย่างเรื่องของชีวิต เรื่องของครอบครัว หรือเรื่องที่มาของหนังสำหรับเขามันคืออะไรสําหรับเรามันมีอะไรที่เป็นแบบนี้ไหม เราคุยกันแบบนี้ทุกอาทิตย์ประมาณ 4 - 5 เดือน พอถึงช่วงถ่ายทำสิ่งที่ต้องเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่างก็คือเรื่องของภาษา ซึ่งผมต้องเรียนภาษาจีนใหม่แบบเริ่มจากศูนย์เพื่อให้สื่อสารได้ เพราะว่าในตัวเรื่องเวลาคุยกับคนไทยก็พูดภาษาไทย แต่หลัก ๆ ของทั้งเรื่องมันคือหนังจีน มันก็ต้องใช้ภาษาจีนคุยกับนักแสดงคนอื่น ๆ ส่วนทักษะที่เพิ่มขึ้นมาแบบที่ผมไม่เคยดันตัวเองให้มาถึงขั้นนี้ก็คือเรื่องของ “การแสดง” กับเรื่องของเทคนิคการทํางานในขนาดเฟรมภาพที่เป็นแบบ 4 ต่อ 3 ซึ่งโดยปกติผมจะรู้สึกอิสระในในเฟรมมากกว่านี้ แต่ครั้งนี้เป็นประสบการณ์ครั้งแรกเลยที่ผมรู้สึกว่ามันดึงทักษะอะไรเพิ่มขึ้นมาเพื่อการถ่ายทอดตัวละคร ผมรู้สึกว่าตั้งแต่การทำงานทั้งหมดที่ผ่านมาจนถึงวันนี้กับการทําโปรเจกต์ Mongrel เนี่ย “ผี” ตัวนี้มัน “ชัดเจน” ที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอ มันเป็นรูปร่างเนื้อหนังความรู้สึกแบบชัดเจนที่สุดเท่าที่ผ่านมาเลย ผมไม่รู้ว่าเหตุผลอะไรนะแต่ผมรู้สึกว่าเนี่ยเป็นตัวเป็นตนที่สุดละ ผมสั่นสะเทือนกับมันมากเวลามันเข้ามาหาหรือเวลาจากลา

ฉากที่ 6 / รางวัล Caméra d’or Prize กับความเปลี่ยนแปลงภายในตัวตน
ตัวละคร อุ้ม

  จริง ๆ ก่อนที่จะเริ่มโปรเจกต์ Mongrel เนี่ย ผมรู้สึกท้อแท้ว่า “อาชีพนักแสดงอิสระมันไม่น่าจะใช้ชีวิตได้ในประเทศไทย” และก็รู้สึกสิ้นหวังนิดนึง แค่รอโอกาสว่าเราจะได้ไปต่อมั้ย แล้วพอมันมีไอ้ “โอกาส” นี้เข้ามาก็รู้สึกว่าอยากจะขอเดิมพันกับมันดู แบบถ้าเรายังมีประโยชน์กับโลกใบนี้กับดวงดาวดวงนี้ในฐานะนักแสดงก็ให้เราไปต่อเหอะ เราจะเต็มที่เลย พอเสร็จโปรเจกต์บินกลับไทยผมก็รู้สึกว่ามันจบงานของเราละ เราทําเต็มที่ในหน้าที่ของเราละ เราก็แค่รอผลของมันซึ่งงานประมาณนี้เรามีเป้าหมายอยู่แล้วว่าเราอยากจะให้มันไปถึงไหนเราแค่รอโอกาสนั้น แล้วพอรู้สึกว่ามันมีโอกาสที่จะไปถึงปลายทางตรงนั้นได้ มันก็ค่อย ๆ ลุ้น มากขึ้น ๆ จนวันที่ได้ไปปักธงตรงนั้น เราก็รู้สึกว่ามันเป็นการบอกอะไรบางอย่างที่บอกเราด้วย บอกผู้กํากับด้วย บอกทีมด้วย ว่าไอ้สิ่งที่เราทําอยู่มันมี “คุณค่า” มันทําให้เรามีกําลังใจมากขึ้นว่ามันจะยากอย่างนี้แหละ แต่ขอให้ทำต่อไปแค่ทําสิ่งที่มั่นใจนี้ต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าวันนึงจะสามารถทําอาชีพนี้อาชีพเดียวได้ ซึ่งมันจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ได้ ผมเคยคุยกับเหว่ยเหลียงว่าเรื่องนี้คือเดิมพันครั้งสุดท้ายอาจจะเป็นเรื่องสุดท้ายในฐานะนักแสดง แต่พอหนังได้ไปฉายรอบพรีเมียร์ที่เทศกาล Cannes และได้รางวัล เหว่ยเหลียงก็บอกผมว่าจะต้องไปต่อนะอย่าหยุดแค่นี้ เขาสามารถพูดได้เลยว่าอย่าหยุดห้ามหยุดต้องไปต่อในฐานะ “นักแสดง”

  ผมว่าตอนนี้ผมเปิดโอกาสมากขึ้น คนส่วนใหญ่ชอบคิดว่าผมรับแต่หนังอินดี้ แต่จริง ๆ ผมเปิดรับหมดผมเปิดรับบททุก ๆ บท ผมแค่รอโอกาสให้คนเลือกผมไปทําหน้าที่รับผิดชอบตัวละครใดตัวละครนึงของเขาเท่านั้นเอง

    TAG
  • people
  • interview
  • film
  • movie
  • Cannes Film
  • อุ้ม-วัลลภ
  • อุ้ม-วัลลภ รุ่งกำจัด
  • 36
  • ter nawapol

อุ้ม-วัลลภ รุ่งกำจัด นักแสดงภาพยนตร์อิสระ สู่เส้นทางของ Cannes Film

PEOPLE/INTERVIEW
7 months ago
CONTRIBUTORS
EVERYTHING TEAM
RECOMMEND
  • PEOPLE/INTERVIEW

    คุยกับ Cupnoodle ผู้ที่ซื่อสัตย์และมั่นคงในดนตรีของตัวเอง ท่ามกลางความคิดแสนนานาจิตตัง บนเส้นทางสู่เป้าหมายชีวิตที่เรียกว่า “ศิลปิน”

    แค่ได้อ่านชื่อ ก็เชื่อว่าคิ้วของทุกคนคงต้องผูกกันเป็นปมด้วยความสงสัยแล้วว่า ‘บะหมี่ถ้วย ใช้ชื่อนี่เป็นชื่อศิลปินจริงดิ’, ‘มาทำเพลงเอาตลกหรือเปล่าเนี่ย’ บอกไว้ก่อนเลยว่า ไม่ ไม่ตลกเลย เพราะชีวิตที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังผลงานเพลงของ Cupnoodle หรือ “ซาช่า โจสท์” นั้น เต็มไปด้วยความพยายาม ความตั้งใจ จนบางครั้งก็ต้องยอมเสียสละบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้ได้ไขว่คว้าความฝันวัยเด็กในการเป็นศิลปิน ที่ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านนั้น เธอแทบจะผ่านประสบการณ์การลงมือทำมาหมดทุกอย่างแล้วเพื่อเข้าใกล้วงการดนตรีให้ได้มากที่สุด (ซึ่งเยอะจนเราเชื่อว่าคงเขียนเล่าได้ไม่ครบ) แต่แม้จะมุ่งมั่นออกตัววิ่งบนเส้นทางนี้ไปด้วยความรวดเร็วมากเท่าไหร่ ซาช่า ที่ ณ ตอนนั้นใช้ชีวิตอยู่ที่ลอนดอน ก็ยังคงไม่เห็นเส้นชัยของตัวเองสักที

    EVERYTHING TEAM5 days ago
  • PEOPLE/INTERVIEW

    มองสถาปัตยกรรมไทยร่วมสมัยในฐานะวัฒนธรรมที่มีชีวิตผ่าน ART TOYS เจาะลึกแนวคิดความสนุกจาก DUCTSTORE the design guru Co.,Ltd.

    ทันทีที่ Key Visual สถาปนิก’ 68 เผยแพร่ออกมา บทสนทนาปลุกสัญชาตญาณนักสืบในตัวทุกคนพร้อมใจกันทำงานแบบ Autopilot และระหว่างที่ตามหาเฉลยกันจริงจัง ทุกคนเริ่มหันมาตั้งคำถามต่อว่า Art Toys เกี่ยวข้องกับธีมงานอย่างไร รู้ตัวอีกทีวงสนทนาก็กระเพื่อมขยายกว้างขึ้น ส่งสัญญาณชัดว่า Key Visual ปีนี้เปิดฉากมาแบบสนุกเอาเรื่อง โดนเส้นกันสุดๆ

    EVERYTHING TEAMJanuary 2025
  • PEOPLE/INTERVIEW

    พูดคุยกับ “MAMIO” บนหน้ากระจกสะท้อนตัวตนที่ถูกซ่อนมาทั้งชีวิต “อาจใช้เวลานานถึง 30 ปี แต่ก็ดีกว่าไม่มีโอกาสได้รู้เลย”

    คงปฏิเสธไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้เราได้รู้จักกับเธอคนนี้ในชื่อของ พัด หรือที่ชอบเรียกติดปากกันว่า พัด ZWEED N’ ROLL เจ้าของเสียงทุ้มมีเสน่ห์ นักร้องและนักแต่งเพลงที่ฝากผลงานเพลงเศร้าเอาไว้ในวงการมากมาย อาทิ ช่วงเวลา, Diary, อาจเป็นฉัน และอีกมากมาย ไม่มีอะไรแน่นอนแม้กระทั่งตัวเราเอง ช่วงเวลาจึงได้พัดพาให้เรามาทำความรู้จักกับ “MAMIO” ในฐานะศิลปินใหม่จากค่าย Warner Music Thailand ซึ่งเป็นอีกตัวตนหนึ่งของคุณพัดที่ไม่เคยถูกปลดปล่อยออกมาเลยตลอดชีวิตการทำงานในวงการสิบกว่าปีที่ผ่านมา หรือถ้าจะให้ซื่อสัตย์กับตัวเองจริง ๆ ก็อาจจะเป็นทั้งชีวิตที่เกิดมาเลยเสียด้วยซ้ำ

    EVERYTHING TEAM7 months ago
  • PEOPLE/INTERVIEW

    THE ROARING SOUND OF BANGKOK EVILCORE

    Whispers เป็นหนึ่งในวงดนตรีที่สะท้อนการเติบโตของวงการ Hardcore ในประเทศไทยอย่างแท้จริง ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงกลุ่มเพื่อนที่หลงใหลในดนตรี เพราะนอกจากจะเป็นผู้เล่น พวกเขายังเป็นกำลังสำคัญที่คอยผลักดันซีนฮาร์ดคอร์ในบ้านเรามาโดยตลอด ประสบการณ์ที่สั่งสมทำให้เกิดเป็นสไตล์เฉพาะของ Whispers สร้างความแตกต่างและเป็นเอกลักษณ์ จนทำให้พวกเขาก้าวไปสู่เวทีระดับสากล ถึงแม้พวกเขาจะอยู่ใต้ดินของไทย แต่เสียงคำรามของพวกเขาก็ดังไปไกลถึงทวีปยุโรป มาพบกับเส้นทางดนตรีที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจและการเปลี่ยนแปลง กับวงฮาร์ดคอร์ระดับบท็อปของ Southeast Asia

    EVERYTHING TEAM8 months ago
  • PEOPLE/INTERVIEW

    Nat Inksmith (ชณัฏฐ์ หวังบุญเกิด) มากกว่าความสวยงามคือการนำเสนอผลงานที่เป็นตัวตนผ่านศิลปะลายสัก

    ด้วยลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์และรูปแบบงานสักของเขา ที่เรารู้สึกแปลกประหลาดกว่างานสักอื่น ๆ (แปลกประหลาดในที่นี้คือความหมายในแง่ดีนะ) ก็เลยตัดสินใจส่งข้อความทักไปหา “พี่นัทครับ ผมขอสัมภาษณ์พี่ได้ไหม” “ได้ครับ” สั้น ๆ แต่จบ เรื่องราวทั้งหมดก็เลยเริ่มต้นขึ้นที่ร้าน CAVETOWN.TATTOO แถว ๆ ปิ่นเกล้า ซึ่งพี่นัทเป็นเจ้าของร้านแห่งนี้ บทสนทนาของเราเริ่มกันในช่วงเวลาบ่าย ๆ ของวันพฤหัส พอไปถึงร้านพี่นัทกำลังติดงานสักให้กับลูกค้าอยู่หนึ่งคน พอได้เห็นลายที่เขาสักต้องบอกว่าเท่มาก ๆ มันมีความเป็น Psychedelic บวกกับ Ornamental ผสมผสานกับเทคนิค Dotwork จนกลายเป็นงานศิลปะบนผิวหนังหลังฝ่ามือ เราถึงกับต้องถามคำถามโง่ ๆ กับลูกค้าที่ถูกสักว่า “เจ็บไหม” แน่นอนคำตอบที่ได้คือ “โคตรเจ็บ” เพราะจุดที่สักคือหลังฝ่ามือ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่หลายคนร่ำลือกันว่าโคตรเจ็บ ระหว่างที่รอพี่นัทไปพลาง ๆ น้องแมคช่างภาพที่มีรอยสัก Full Sleeve เต็มแขนขวา ก็เริ่มกดชัตเตอร์กล้องถ่ายรูปเก็บภาพระหว่างที่เขาสักไปด้วย พอสักเสร็จเรียบร้อยก็ปล่อยให้พี่เขาพักผ่อนกินน้ำ ปัสสาวะ (อ่านแยกคำนะอย่าอ่านติดกัน) ก่อนจะพูดคุย แต่เดี๋ยว ! ก่อนจะเริ่มบทสนทนา เราขอเกริ่นให้ฟังซักนิดนึงเกี่ยวกับชายคนนี้ก่อน

    EVERYTHING TEAM8 months ago
  • PEOPLE/INTERVIEW

    KIKI กับการเดินทางก้าวต่อไปของความคิดสร้างสรรค์บนเส้นทางดนตรี

    ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปีวงดนตรีสัญชาติไทยที่ชื่อ KIKI ได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในวงที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากทั้งในประเทศไทย ญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ ฮ่องกง ก็เพราะด้วยเสียงเพลงที่มีความเป็นเอกลักษณ์ และการนำเสนอแนวคิดที่ไม่เหมือนใคร รวมถึงความตั้งใจในการสร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนถึงตัวตนของพวกเขาได้อย่างชัดเจน

    EVERYTHING TEAM10 months ago
SIGN UP TO OUR NEWSLETTER
A Monthly update of the new issue from us
THANK YOU FOR YOUR SUBSCRIPTION

We use cookies, localStorage and other technologies (collectively, "cookies") to recognise your browser or device, learn more about your interests, and provide you with essential features and services and for additional purposes. ( see details )