LOOKING ON EVERYTHING ?
EXPLORE ON EVERYTHING

Frieze London เป็นหนึ่งในงานแสดงศิลปะร่วมสมัยที่สําคัญที่สุดในโลก ที่จัดขึ้นในกรุงลอนดอน ในปี 2023 ซึ่งเป็นวาระครบรอบ 20 ปีของ Frieze London ได้มีการจัดโครงการพิเศษอย่าง Artist-to-Artist ที่ให้ศิลปินชื่อดังระดับโลกอย่างเช่น โอลาฟัวร์ เอลีย์เออซัน (Olafur Eliasson), เทรซี เอมิน (Tracey Emin), วูล์ฟแกง ทิลมันส์ (Wolfgang Tillmans) หรือแม้แต่ศิลปินไทยชื่อก้องโลกอย่าง ฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวนิช (Rirkrit Tiravanija) ให้มานําเสนอศิลปินรุ่นใหม่ที่น่าจับตาจากทั่วโลกมาจัดแสดงผลงานนิทรรศการแสดงเดี่ยวในงานนี้เป็นครั้งแรก และหนึ่งในศิลปินรุ่นใหม่ที่ฤกษ์ฤทธิ์เสนอชื่อให้จัดแสดงนิทรรศการเดี่ยวในงานแสดงศิลปะร่วมสมัย Frieze London ในปีนี้ ก็คือศิลปินร่วมสมัยชาวไทยผู้มีชื่อว่า วันทนีย์ ศิริพัฒนานันทกูร (Wantanee Siripattananuntakul) นั่นเอง

วันทนีย์เป็นศิลปินคอนเซ็ปชวลผู้สนใจในการวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นความเหลื่อมล้ําทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และตั้งคําถามเกี่ยวกับความหมายของชีวิต รวมถึงสํารวจ ประเด็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสิ่งมีชีวิตในสายพันธ์ุอื่นๆ ผ่านผลงานหลากสื่อหลายแขนงอย่างงานจิตรกรรม, ประติมากรรม, ศิลปะจัดวาง, วิดีโอจัดวาง และ ศิลปะจัดวางปฏิสัมพันธ์ (Interactive installation) เธอได้รับคัดเลือกให้ร่วมแสดงในมหกรรมศิลปะนานาชาติ Venice Biennale ครั้งที่ 53 ในปี 2007, เทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ Bangkok Art Biennale 2022 และเทศกาลศิลปะนานาชาติ Tokyo Biennale 2023 ล่าสุดเธอกําลังจะเข้าร่วมแสดงในมหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ Thailand Biennale, Chiang Rai 2023 เธอยังแสดงนิทรรศการเดี่ยวและกลุ่มในประเทศไทยและในอีกหลายประเทศทั่วโลก
หนึ่งในผลงานอันโดดเด่นน่าจับตาของวันทนีย์คือการทํางานร่วมกับนกแก้วแอฟริกันเกรย์ ชื่อ บอยซ์ (Beuys) ที่เธอหยิบยืมชื่อมาจากของ โจเซฟ บอยซ์ (Joseph Beuys) ศิลปินชาวเยอรมันยุคหลังสงครามผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกศิลปะ ซึ่งเป็นผลงานที่เธอคัดสรรไปแสดงในงานแสดงศิลปะ Frieze London ในนิทรรศการที่มีชื่อว่า People Say Nothing Is Impossible, but Beuys Does Nothing Everyday อันเป็นเหมือนการรวบรวมผลงานศิลปะที่ทําร่วมกับบอยซ์ นกแก้วของเธอในช่วงเวลาที่ผ่านมานั่นเอง

ในคราวนี้ เรามีโอกาสได้สนทนากับวันทนีย์ หลังจากที่เธอกลับจากการเดินทางไปเปิดตัวในงานแสดงศิลปะ Frieze London ในช่วงกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อเจาะลึกถึงที่มาที่ไป และแรงบันดาลใจเบื้องหลังผลงานอันโดดเด่น ที่ส่งให้เธอเป็นหนึ่งในดาวเด่นในงานแสดงศิลปะร่วมสมัยระดับโลกครั้งนี้ นี่คือสิ่งที่เราเอามาฝากให้คุณได้อ่านกัน
ผลงานศิลปะที่คุณทํากับนกแก้วบอยซ์มีที่มาที่ไปอย่างไร
ที่มาของงานชุดนกแก้วบอยซ์มาจากประสบการณ์ส่วนตัวที่พ่อของเราเสียชีิวิต ทําให้เรารู้สึกว่าคนที่เคยสนับสนุนเราทั้งทางใจและทางเศรษฐกิจของเราหายไป เรารู้สึกว่าต้องพึ่งพาตัวเองมากขึ้นจนทําให้เราตั้งคําถามว่าอนาคตเราจะเป็นอย่างไร เพราะที่ผ่านมาเราไม่คิดถึงอะไรเลยนอกจากการทํางานศิลปะ หาเงินมาได้เท่าไร เราก็เอาไปทํางานศิลปะหมด ไม่เคยมีปัญหา เพราะพ่อของเราดูแลให้ทุกอย่าง เราใกล้ชิดกับพ่อของเรามาก เรียกว่าเป็นลูกสาวของพ่อเลยก็ว่าได้ แต่พอคนที่รักและสนับสนุนเราหายไปจากโลกนี้ ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ทําให้งานของเราเปลี่ยนไปเป็นเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจ สังคม เรื่องปากท้อง ในขณะเดียวกันก็มีคําถามบางอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา คือเรารู้ว่าวันหนึ่งคนเราต้องตาย แต่คนที่ตายทําไมต้องเป็นพ่อของเรา ทั้งๆ ที่เราเพิ่งเรียนจบจากเยอรมันกลับมาเมืองไทยได้แค่สองปี เราจึงตั้งคําถามว่า ทําไมชีวิตคนเราถึงโคตรเปราะบางแบบนี้ อยู่ดีๆ คนที่เราคิดว่าเราจะอยู่กับเขาสักห้าปีสิบปีก็มาตายไปอย่างกะทันหัน ทําให้เรารู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จนวันหนึ่งเราไปเที่ยวที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว เดินผ่านสวนนกขนาดใหญ่ ปรากฏว่านกแก้วพูดกับเราว่า “ฮัลโหล” “สวัสดีจ๊ะ” ถึงแม้เราจะรู้ว่านกแก้วพูดได้ แต่ห้วงขณะนั้นเป็นประสบการณ์ที่เหตุการณ์ สถานที่ เวลา พอดิบพอดีกับจังหวะที่เราต้องการอะไรบางอย่างที่เราก็ไม่รู้ว่าคืออะไร อยู่ๆ ความคิดก็วาบขึ้นมาว่าเราจะสํารวจสิ่งมีชีวิตอื่นเพื่อมาตอบเงื่อนไขหรือคําถามบางอย่างที่เราตอบไม่ได้ ได้ไหม?
เราก็เริ่มค้นคว้าข้อมูลเรื่องนกแก้ว ว่าเราจะทํางานกับเขาได้ไหม? อย่างไร? จนเราไปเจอข้อมูลเกี่ยวกับนกแก้วแอฟริกันเกรย์ (African Gray Parrot) ซึ่งเขาเป็นสายพันธุ์หนึ่งที่ถูกยกย่องว่ามีสมองใหญ่ และมีพัฒนาการเทียบเท่ากับเด็ก 5 - 6 ขวบ โดยมีการค้นคว้าจริงๆ ของนักวิทยาศาสตร์ และการเลี้ยงนกแก้วในห้องทดลอง เพื่อศึกษาว่าเขาเข้าใจภาษามนุษย์ได้แค่ไหน สื่อสารได้ขนาดไหน แล้วเราก็ค้นพบว่าเขามีอายุเท่ากับคน คือหนึ่งวันของนกแก้วนั้นเท่ากับหนึ่งวันของคน ถ้าเลือกทํางานกับเขา ก็จะกลายเป็นความสัมพันธ์ระยะยาว ต่อให้เราไม่รู้ว่าจะได้งานหรือเปล่า แต่เราก็ต้องรับผิดชอบเขาไปตลอดชีวิต และด้วยความที่เขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่เปราะบาง เพราะเป็นสัตว์ที่อยู่ล่างๆ ของห่วงโซ่อาหาร และโดยธรรมชาติของสายพันธุ์ก็ทําให้เขาพยายามที่จะซ่อนโรค หน้าที่ของเราก็คือตื่นมาตรวจอึ ต้องลวกจานอาหารด้วยน้ําร้อน แล้วเราก็ต้องยอมรับว่าต่อให้เขาพัฒนาอย่างไรก็จะหยุดอยู่แค่เทียบเท่ากับเด็ก 6 ขวบเท่านั้น

หลังจากตัดสินใจอยู่นาน เราก็เลือกที่จะทํางานกับเขา พอได้เงินก้อนหนึ่งจากการขายงาน เราก็ไปซื้อเขาที่ฟาร์มนกแก้ว ก่อนที่จะซื้อ เราคิดว่าจะตั้งชื่อเขาว่าอะไรดี ระหว่างนั้นก็ไปค้นคว้าดูว่ามีศิลปินคน ไหนที่ทํางานศิลปะกับสัตว์บ้าง แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นต้องมี โจเซฟ บอยซ์ อยู่แน่ๆ เราก็เลยตั้งชื่อเขาว่า “บอยซ์” เพราะว่าขนของเขาสีเทา เหมือนกับผ้าขนสัตว์ (Felt) ที่บอยซ์ชอบใช้ทํางาน หางของเขาก็เป็นสีแดง เหมือนที่บอยซ์ชอบใส่สัญลักษณ์หรือตัวอักษรสีแดงลงบนผ้าขนสัตว์ หลังจากนั้นเราก็ดูว่าเราจะสร้างความสัมพันธ์กับเขาอย่างไร เพราะโดยสายพันธุ์ของนกแก้ว เขาไม่ได้ถูกพัฒนาให้เชื่องเหมือนหมาหรือแมว เขายังมีสัญชาตญานสัตว์ป่าอยู่ เพราะฉะนั้นจึงมีกฎตายตัวว่า ไม่ว่าเขาจะทําอย่างไร เราห้ามตีเขา และเราต้องทําใจเลยว่าโดนเขากัดแน่ เราเคยโดนเขากัดปากแรงมาก แต่ว่าการกัดของเขาไม่ใช่เพราะเขาโกรธหรือเกลียด แต่เป็นสัญชาตญาณสัตว์ป่า เวลากัดกัน เขากัดแรงมาก จนจงอยปากหลุดก็ยังมี เราก็ต้องหาวิธีว่าเราจะสร้างสัมพันธ์กับเขาอย่างไร ที่จะทําให้เขาเชื่อใจ เหมือนเรื่องของเจ้าชายน้อยกับสุนัขจิ้งจอก (ตัวละครเอกในนิยาย เจ้าชายน้อย : The Little Prince)
เหมือนโจเซฟ บอยซ์กับหมาป่าไคโยตี*
เออ แต่สําหรับเรา เรารู้สึกว่าโจเซฟ บอยซ์ ไม่แฟร์กับหมาป่าไคโยตีนะ เมื่อก่อนเราก็ไม่ได้คิดถึงตรงนี้ ตอนเรียนเราแค่รู้สึกว่า เท่ว่ะ! จนกระทั่งเรามาได้ดูหนังเรื่อง The Turin Horse (2011) ที่เป็นเรื่องของม้าที่เคยถูกใช้งานโดยผู้นําทหารในสงคราม หลังจากนั้นก็ถูกทิ้งให้กลายเป็นม้าแก่ๆ ที่ชาวนากับลูก ช่วยกันดูแลในฟาร์มรกร้างห่างไกล เราก็เลยสงสัยว่าทําไมเราไม่เคยคิดว่าหลังจากอยู่กับบอยซ์ 8 วัน แล้ว หมาป่าไคโยตีหายไปไหน? นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ทําให้เราอยากทํางานกับนกแก้วของเราในระยะยาว ในแบบที่รับผิดชอบกันไปตลอดชีวิต


*ในผลงานศิลปะแสดงสด I Like America and America Likes Me (1974) โจเซฟ บอยซ์ อาศัยอยู่ ในห้องปิดล็อคร่วมกับหมาป่าไคโยตี้ วันละแปดชั่วโมง เป็นเวลาสามวันเต็ม โดยมีรั้วตาข่ายเหล็กกั้นเขากับคนดูภายนอก และใช้เวลาร่วมกันจนหมาป่าเริ่มคุ้นเคยและหมดความระแวงในตัวบอยซ์ และยินยอมให้เขาสวมกอดหมาป่าด้วยตัวเปล่าได้ในที่สุด
ไม่ใช่แค่เอามาเป็นหัวข้อในการทํางานศิลปะเท่านั้น
ใช่ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่เราสร้างสัมพันธ์กับนกแก้วของเรา ในตอนแรกเรารู้สึกเหมือนคนเป็นพ่อเป็นแม่ครั้งแรก ที่ไม่รู้จะเลี้ยงลูกอย่างไร เราก็เลยเอางานของ โจเซฟ บอยซ์ มาเล่นกับบอยซ์ของเราก่อน ใน ช่วงแรกเราเอาเขามาตอนอายุ 3 เดือน ก็ต้องป้อนอาหาร 4 เวลา แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเล่นกับเขาอย่างไรดี อยู่มาวันหนึ่ง หลานเรามีของเล่นเยอะแยะจนบอยซ์รู้สึกอิจฉา ไปคาบแย่งมา ก็คว้ากระต่ายสีเหลืองตัวเล็กๆ ไปแทะ เราก็เลยนึกถึงงาน How to Explain Pictures to a Dead Hare (1965) ที่โจเซฟ บอยซ์ ทํางานศิลปะแสดงสดกับซากศพกระต่าย เราก็เลยซื้อตุ๊กตากระต่ายสวยๆ มาให้เขาเล่นแล้วก็ถ่ายภาพเอาไว้

กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการทํางานกับบอยซ์ที่ล้อเลียนโจเซฟ บอยซ์?
ใช่ เป็นงานชิ้นแรกๆ แล้วเราก็มาสังเกตว่านกแก้วเขามีชีวิตอย่างไร หลักการง่ายๆ ของการเลี้ยงนก แก้วคือ ให้เขากินให้อิ่ม กินอาหารดีๆ ให้นอนให้พอ เพราะว่าเขาต้องนอนอย่างน้อย 12 ชั่วโมง และให้เขาเล่นเต็มที่ แค่สามอย่าง คิดดูว่าถ้าคนเราทําได้แบบนี้ ชีวิตที่เหลือของเราก็มีความสุขแล้วนะ
เหมือนเลี้ยงเด็ก?
ใช่ เขาต้องการแค่นี้ ชีวิตเขาง่ายไง แต่เราไปทําชีวิตของเราให้ยากเอง เราก็เริ่มเรียนรู้กับการสร้าง ปฏิสัมพันธ์กับเขา อย่างเช่นเราเปิดเพลง Sonne statt Reagan ของ โจเซฟ บอยซ์ ที่ร้อง ด่า(อดีต)ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โรนัลด์ เรแกน หรือคลิปเสียง Ja Ja Ja Ne Ne Ne (1968) ที่โจเซฟ บอยซ์ พูดคําว่า Ja Ja Ja Ne Ne Ne (Yes Yes Yes No No No) ซ้ําๆ กัน เหมือนเป็น Earworm ให้บอยซ์ฟัง ซึ่งเขาไม่ชอบ เขาเกลียดมาก แต่หลังจากนั้นเกือบปีสองปี เรานอนหลับอยู่ บอยซ์ก็พูดขึ้น มาว่า Ja Ja Ja Ne Ne Ne เราตาลีตาเหลือกรีบตื่นขึ้นมาตั้งกล้องวิดีโอบันทึกภาพแทบไม่ทัน สําหรับเราการทํางานกับสัตว์เป็นสิ่งที่ยากที่สุด เพราะเราสั่งเขาไม่ได้ ทุกอย่างเกิดขึ้นแบบฉับพลัน ไม่ทันตั้งตัว ต้องพร้อมตั้งรับตลอด

ในทุกสถานการณ์
ใช่ ต้องพร้อมตลอด พอเขาพูดเราก็ต้องรีบไปบันทึกภาพ แต่เขาก็พูดให้เรานานอยู่นะ แล้วขําตรงเขาฟังคลิปนี้ถึงตอนจบ โจเซฟ บอยซ์จะหัวเราะและไอ บอยซ์(นกแก้ว)ก็หัวเราะและไอด้วยเหมือนกัน (หัวเราะ)
แสดงว่าเขาจําสิ่งที่เปิดให้ฟังได้
ใช่ เขาจําได้ เราก็ดีใจ เพราะพอเราเลี้ยงเขามาสักพัก เราก็คิดว่าจะได้งานหรือไม่ได้งานก็ไม่เป็นไร เพราะว่าเราบังคับเขาไม่ได้อยู่แล้ว เราตัดสินใจไม่ฝึกเขาเหมือนฝึกสัตว์เลี้ยงอย่างหมาหรือแมว แต่ใช้ ชีวิตอยู่ด้วยกันตามปกติเลย

นอกจากทํางานล้อเลียนโจเซฟ บอยซ์ แล้ว ได้ยินว่ายังมีงานที่คุณทํากับบอยซ์(นกแก้ว)ใน เชิงเสียดสีสถานการณ์การเมืองไทยด้วย
นั่นคืองานอีกชิ้นชื่อ Freeze TV (2016) ด้วยความที่ช่วงเวลาที่บอยซ์เกิดมา เป็นช่วงปี พ.ศ. 2557 ที่เกิดเหตุการณ์รัฐประหารโดย ประยุทธ์ จันทร์โอชา เราก็เลยนึกถึงงาน Felt TV (1970) ของโจเซฟ บอยซ์ ที่เขานั่งหน้าทีวีแล้วใส่นวมชกหน้าตัวเอง เพื่อวิพากษ์วิจารณ์อํานาจของสื่อสารมวลชน ช่วงนั้น วันๆ เราเปิดโทรทัศน์ ก็ได้ยินแต่เสียงของประยุทธ์ เราก็เลยลองเอาโทรทัศน์ที่ถ่ายทอดเสียงของ ประยุทธ์ ไปใส่ในกรงเปิดให้บอยซ์ของเราฟัง เพื่อดูว่าเขาจะทําอย่างไร ปรากฏว่าเขาทนฟังไม่ได้ ทรมาน กัดนิ้วเท้าตัวเอง พยายามหาทางหนีออกจากกรง สุดท้ายเขาก็งัดกรงจนประตูเปิด แล้วก็บินหนีออกไปเลย ทั้งๆ ที่คนไทยเราก็ทนฟังกันได้ทุกวันนะ


เขารําคาญ?
ไม่แน่ใจ แต่ปฏิกิริยาของบอยซ์บอกเราว่า สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องการอิสรภาพ แต่คนไทยกลับถูกฝึกฝนให้เชื่องจนเชื่อว่าอิสรภาพไม่ใช่เรื่องสําคัญเท่ากับเรื่องความสงบเรียบร้อย หรือความรักชาติฯ เราก็เปลี่ยนชื่อจาก Felt TV เป็น Freeze TV เพราะทุกอย่างในสังคมเราถูกแช่แข็ง (Freeze) ให้หยุดนิ่งเอาไว้ หรืองานอีกชิ้นที่เราได้แรงบันดาลใจจากประโยค "Everyone is an Artist” ของ โจเซฟ บอยซ์ แต่ บอยซ์หลุดคําที่คล้ายกับ “tempo” หรือ “temporal” ออกมาเลยทําให้เราเปลี่ยนประโยคเป็น “Everyone is a contemporary Artist” แล้วเอาไปสอนบอยซ์ให้พูด ตอนแรกก็ดูเหมือนเขาไม่สนใจ แต่อยู่มาวันหนึ่ง เขาพูดประโยคนี้ให้เราฟังประมาณชั่วโมงกว่า เราก็รีบตั้งกล้องวิดีโอบันทึกภาพเอาไว้ สําหรับเรา สิ่งนี้ เป็นการยืนยันว่า นกแก้วไม่ได้พูดแบบเครื่องบันทึกเทป เขาไม่ได้ท่องจํา เพราะเขาพูดแบบเปลี่ยนคําไปเรื่อยๆ โดยที่คํามีความหมาย ภาษามีความซับซ้อน

เหมือนเด็กหัดพูด?
ใช่ เขาเรียนรู้ผ่านบริบทของภาษาเหมือนเด็ก อย่างเช่นเขาเรียนรู้ว่าสิ่งนี้เรียกว่า “ถั่ว” ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาชอบกิน เขาก็จะบอกว่า “กินถั่วไหม บอยซ์อยากกินถั่วนะ ถั่วๆ เถอะ” เหมือนเราตอนเด็กๆ ที่เรียนรู้ว่า สิ่งนี้เรียกว่าโต๊ะ หรือเก้าอี้


เรียนรู้จากประสบการณ์
ใช่ กลายเป็นว่าเราเรียนรู้ว่านกรู้ภาษาคนได้ แต่อย่าไปคิดว่านกไม่มีภาษาของเขานะ จริงๆ แล้วเรา แค่ไม่รู้ภาษานกเท่านั้นเอง เพราะอย่างเวลาเรียกเพื่อน เขาจะกรีดร้อง เวลา 6 โมงเย็น ถ้าเราไม่กลับ บ้าน เขาจะกรี๊ดเหมือนเรียกฝูง เรียกให้เรากลับบ้าน เพราะว่า 6 โมง ทุ่มหนึ่งจะมืดแล้ว อันตราย เขาก็จะตามสมาชิกทุกคนให้กลับบ้าน หรือผลงานอีกชิ้นอย่าง Beuys’ Felt Suit (2015) เราได้ความคิดจากการที่นกแก้วเป็นสัตว์ที่ขับถ่ายบ่อยทุกๆ 15 นาที เพราะเขาต้องทําให้ร่างกายเบาเพื่อบินไกลๆ ก็เลยมีคนสร้างชุดเก็บอึของนกแก้ว เป็นชุดเอี๊ยมที่ใส่กระดาษทิชชูไว้คอยซับข้างใน เราก็ทําชุดเอี๊ยมนี้โดยได้แรงบันดาลใจมาจากงาน Felt suit (1970) ของ โจเซฟ บอยซ์ (ที่ตั้งคําถามถึงความเหมือนกันระหว่างงานศิลปะและข้าวของรอบตัวทั่วไปในบ้าน เพื่อแสดงให้เห็นว่าคนทุกคนมีศักยภาพในการเป็นศิลปินได้) ส่วนงานอีกชิ้นอย่าง Beuys and a Coyote: The Silent Relationship (2019) ด้วยความที่เราไปได้หนังหมาป่าไคโยตีมาจากแคนาดา เราก็เลยทํางานล้องานศิลปะแสดงสดที่โจเซฟ บอยซ์ เล่นกับหมาป่าไคโยตี โดยเราเอาหนังมาสวมเป็นหมาป่าไคโยตี แล้วพยายามสร้างปฏิสัมพันธ์กับบอยซ์นกแก้ว
สลับบทบาทระหว่างคนกับสัตว์?
ใช่ แล้วดูปฏิกิริยาว่าพอบอยซ์(นกแก้ว)เจอเราในบทบาทใหม่แล้วเขาจะทําอย่างไร เขาจําเราได้นะ แต่เขาไม่ชอบเรา งานชุดนี้ไปที่แสดง Kyoto Art Center โดยเป็นวิดีโอแสดงสด นอกจากตัววิดีโอ เราได้ พยายามจัดวางให้หนังหมาป่าไคโยตีดูเหมือนกลับมามีชีวิต เพื่อตั้งคําถามถึงการเกิดขึ้นใหม่ของสิ่งมี ชีวิต ซึ่งไปสัมพันธ์กับเรื่องราวของฮานาโกะ ช้างไทยที่ถูกส่งไปญี่ปุ่นแล้วเกิดความเครียดจนทําร้ายเจ้าหน้าที่สวนสัตว์เสียชีวิต ทําให้มันถูกจับล่ามโซ่และขังเดี่ยวในคอกคอนกรีตและตายอย่างโดดเดี่ยว เรารู้สึกว่าชะตาชีวิตของสิ่งมีชีวิตที่มาเกี่ยวข้องกับมนุษย์อย่างพวกเรามักจะย่ําแย่เดือดร้อนกันไปหมด หลังจากที่มีคนถามคําถามสําคัญอันหนึ่งกับเรา ทําให้เราตั้งคําถามกับตัวเองแล้วคิดทบทวนกับส่วนนี้อีกทีว่า หนังหมาป่าไคโยตีที่เราได้มานั้นมาจากธุรกิจการล่าหมาป่าไคโยตีเพื่อเอาหนัง การที่เราทํางานศิลปะแบบนี้มันคุ้มค่าต่อการที่เราจะส่งเสริมการฆ่าสิ่งมีชีวิตอื่นทางอ้อมไหม? ก็เลยทําให้เราไตร่ตรองมากขึ้นเวลาทํางาน เราก็เลยเก็บเอาหนังหมาป่าไคโยตีกลับ เหลือแค่งานเกี่ยวกับช้าง, งานวิดีโอแสดงสดระหว่างเรากับบอยซ์ และภาพถ่ายที่เราทํางานศิลปะแสดงสดกับบอยซ์เท่านั้น งานชิ้นนี้จึงเป็นชิ้นสุดท้ายที่เราอ้างอิงถึงงานของโจเซฟ บอยซ์ เพราะเรารู้สึกว่า บอยซ์(นกแก้ว)เขามีตัวตนของเขาเอง เขาสอนให้เราเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างมาก เราจึงไม่จําเป็นต้องเอางานของโจเซฟ บอยซ์ มาใช้เป็นเครื่องมือเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเราแล้ว ตอนนี้งานของเราเลยพัฒนามาเป็นช่วงที่สอง ที่นอกจากบอยซ์(นกแก้ว) จะเปิดมุมมองให้เราสนใจสัตว์อื่นๆ แล้ว เรายังหันไปสนใจสํารวจและตั้งคําถามเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อย่าง “พืช” ด้วย ไม่ว่าจะเป็นผักตบชวา ที่คนรังเกียจและเรียกว่า “สวะ” แต่จริงๆ แล้วมันเป็นพืชในอเมริกาใต้ที่ถูกชนชั้นนํานําเข้ามาในเมืองไทย (จากอินโดนีเซีย) และควบคุมไม่ได้จนระบาดกลายเป็น alien species
เหมือนคนพลัดถิ่นกลายเป็นคนนอกของสังคมที่อพยพโยกย้ายไปอาศัยเลยนะ
ใช่ เราเลยรู้สึกว่าคนกับสัตว์ไม่ได้ต่างกัน ที่ต่างกันแค่เพราะว่าเราเป็นคน เราเลยมีสภาวะที่เหนือกว่าสัตว์นิดหนึ่งเท่านั้น อย่างในส่วนของบอยซ์ เรารู้สึกว่าเขาสามารถพูดแทนตัวเราได้ เช่นในงานชุด The Web of Time (2022) ที่เราแสดงใน Bangkok Art Biennale 2022 เกิดจากการที่เราอยากพูดถึงพ่อ ของเราในงานศิลปะอีกครั้ง เพราะเราคิดถึงเขามากจนเก็บไปฝัน เราฝันถึงกล่องใบหนึ่งของพ่อ ที่ข้างในเก็บกระดาษหนังสือพิมพ์ภาษาจีนที่ตัดเก็บเอาไว้ เราก็ไปหากล่องนั้นจนเจอ แล้วเอาข่าวไปแปลใน Google Translate และค้นพบว่าในนั้นมีเรื่องสามประเด็นที่พ่อเราสนใจ ซึ่งเราไม่เคยรู้เลย เรื่องแรก คือเรื่องมนุษย์เทียนหยวน ซึ่งเป็นการตั้งคําถามว่าจริงๆ แล้ว มนุษย์อาจไม่ได้ถือกําเนิดมาจากทวีป แอฟริกาทั้งหมด แต่อาจจะมีมนุษย์ท้องถิ่นในแต่ละภูมิภาคมาผสมสายพันธุ์จนวิวัฒนาการขึ้นมาเป็น มนุษย์ปัจจุบัน เราก็ตกใจว่าพ่อเราสนใจเรื่องนี้ด้วย ซึ่งเป็นคําถามที่เราไม่เคยนึกถึงมาก่อน ตอนเด็กๆ เราถูกกล่อมเกลาจากพ่อว่าเราเป็นลูกจีน 100% เราก็เลยไปลองตรวจดีเอ็นเอดูว่าเรามาจากไหน ปรากฏว่าเราไม่มีเชื้อสายจีนเลย กลายเป็นกัมพูชา, อินโดนีเซีย, เขมร ซึ่งมาคิดอีกที ในความเป็นจริง มนุษย์นั้นเกิดมาก่อน แต่ประเทศและเชื้อชาตินั้นมาทีหลัง อีกประเด็นหนึ่งคือพ่อเราสนใจเรื่องข่าวเหตุการณ์การระเบิดในกรุงเทพฯ ในพ.ศ. 2549 ที่เกิดความวุ่นวายทางการเมืองเสื้อเหลืองเสื้อแดงในประเทศไทย และประเด็นทางการเมืองประหว่างประเทศของจีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น อเมริกา และรัสเซียกับอเมริกา

ปกติก็ไม่เคยคุยกันเรื่องพวกนี้กับพ่ออยู่แล้วใช่ไหม
ใช่ เราคิดไม่ถึงว่าพ่อเราจะสนใจเรื่องราวแบบนี้ เพราะเรามองว่าเขาเป็นพ่อค้ามาตลอด แต่เผลอๆ เขาจะมีความสนใจที่กว้างกว่าเรามาก ส่วนเรื่องในบทความสุดท้าย คือบทความที่ถกเถียงเกี่ยวกับเวลาในเชิงวิทยาศาสตร์ เวลาในเชิงกายภาพ และเวลาในเชิงการเมือง ซึ่งอ้างอิงถึงบทกวีของ โฆเซ่ หลุยส์ บอร์เกส (Jorge Luis Borges) ที่กล่าวถึงจิตรกรผู้เริ่มแก่ตัว มือเริ่มสั่น จับพู่กันไม่อยู่ เราก็นึกถึงพ่อเราว่าช่วงบั้นปลายของเขาร่างกายร่วงโรย ควบคุมไม่ค่อยได้ เขาก็คงรู้สึกเจ็บปวดกับสิ่งนี้ บทความนี้ลึกซึ้งมากจนทําให้เราร้องไห้ เราไม่เคยคิดว่าผู้ชายคนหนึ่งที่เลี้ยงลูกและขายของไปวันๆ จะมีความรู้สึกละเอียดอ่อนขนาดนี้ ละเอียดอ่อนกว่าเรามาก หันกลับมามองตัวเรา ก่อนหน้านี้เรายังแข็งแรง อยากไปไหนก็เดินไปได้ แต่หลังๆ ก็เริ่มเมื่อยล้า
เริ่มปวดหลัง
ใช่ เริ่มเห็นความเปราะบางของตัวเอง เราก็เลยเอาสามเรื่องนี้มาทํางาน โดยบอยซ์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เข้ามาหลังจากที่พ่อเราไม่อยู่แล้ว สําหรับเราบอยซ์เป็นเหมือนสื่อกลางที่กําลังตั้งคําถามว่า มนุษย์เรามา จากไหน? หรือสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการปราบปรามประชาชนหรือการสลายการชุมนุม เราก็เริ่มตั้งข้อสงสัยว่า ในช่วงเวลานั้น พวกหมาแมวจรจัดในพื้นที่นั้นเขาไปอยู่ไหนกัน มนุษย์เรามักจะคิดว่าพวกเราเป็นสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์เดียวและมองข้ามสิ่งมีชีวิตอื่นๆ

ที่มีอยู่มากมายกว่าเราด้วยซ้ํา
ใช่ เรารู้สึกว่าสิ่งมีชีวิตอย่างบอยซ์(นกแก้ว)เขาคงจับตาดูพวกเราแล้วคิดว่า พวกมึงทําบ้าอะไรกันอยู่! ในแง่นี้เราเลยมองว่าบอยซ์มาเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณได้ บอยซ์ก็เป็นเหมือน Shaman (หมอผี หรือร่างทรง) ที่เฝ้ามองว่ามนุษย์กําลังจะเดินไปทางไหน ก็เลยกลายเป็นคําถามว่า เรามาจากไหน เรา กําลังทําอะไร ส่วนสุดท้ายเราพูดถึงอนาคต อนาคตคือเรากําลังจะไปไหน ในแง่หนึ่งคนรุ่นเรา อนาคตคือความแก่ชรา ในขณะที่เด็กรุ่นใหม่ อนาคตเขาคือการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่จะเข้ามากําหนดทิศทางของสังคม สําหรับเรานั่นคือความหวัง เพราะเรามองเห็นเด็กรุ่นใหม่ที่ออกมาประท้วงต่อสู้ทางการเมือง เราก็เลยใช้เสียงของเด็กมาอ่านบทกวีของ โฆเซ่ หลุยส์ บอร์เกส สลับกับเสียงของ AI เพราะรู้สึกว่าอนาคตของโลกเป็นของคนรุ่นใหม่กับ AI ที่กําลังจะเดินหน้าต่อไป ส่วนคนรุ่นพวกเราถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลัง ก็เลยต้องหยุดอยู่กับที่ เราก็อาจจะทําอะไรได้บ้าง แต่ปล่อยเรื่องใหญ่ๆ ให้เด็กๆ เขาทําดีกว่า เราไม่ควรจะไปควบคุมบงการพวกเขา นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทําให้เราคิดว่าบอยซ์ควรจะขยับออกมาจากโจเซฟ บอยซ์

หรืองานอีกชิ้นที่แสดงในนิทรรศการ How Many Worlds Are We? ที่ Jim Thompson Art Center เรากลับไปหาประวัติศาสตร์ของนกแก้ว ว่าเขาถูกนํามาเป็นสัตว์เลี้ยงตั้งแต่เมื่อไหร่ แน่นอนว่าหมา แมว นก หรือสัตว์อื่นๆ นั้นมีความสัมพันธ์กับคนในท้องถิ่นอยู่แล้ว แต่การที่สัตว์กลายเป็นสินค้านั้น เป็นผลกระทบจากการล่าอาณานิคม การที่ชาวยุโรปเข้าไปยึดพื้นที่และเข้าไปล่าสัตว์มา เราค้นพบว่าคนแรกที่เอานกแก้วมาเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงคือ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช เป็นนกแก้วสีเขียว ก็เลยกลายเป็นชื่อพันธุ์นกแก้ว Alexandrine Parakeet และนกแก้วพันธุ์แอฟริกันเกรย์ ก็มาจากการที่ชาวยุโรปเข้าไปล่าอาณานิคมในแอฟริกาแล้วจับนกแก้วออกมาขายเป็นสัตว์เลี้ยง เราพยายามพูดถึงประเด็นเกี่ยวกับภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ซึ่งไม่ใช่แค่ประเด็นระหว่างประเทศ แต่รวมไปถึงน่านฟ้า น่านน้ํา และผืนดิน ที่ถูกแบ่งเป็นพรมแดนที่แต่ละประเทศพยายามครอบครอง แต่สัตว์เขาไม่แคร์พรมแดนพวกนี้ เขาอพยพ โยกย้าย เขามีพรมแดนที่ยืดหยุ่นและเคลื่อนที่ งานนี้ยังเชื่อมโยงไปกับประเด็นของช้างเผือก ที่เราได้รับแรงบันดาลใจมากจากหนังเรื่องพระเจ้าช้างเผือก (1940) ที่ ปรีดี พนมยงค์ อํานวยการสร้างและเขียนบทให้ ซึ่งเริ่มจากการเอาช้างเผือกมาอ้างเพื่อทําสงคราม เราก็เข้าไปค้นคว้าเพิ่มว่าช้างเผือกนอกจากจะแสดงออกถึงบุญบารมี ในประเทศไทยไทยยังมีการออกกฎหมายมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ที่บุคคลทั่วไปห้ามครอบครองช้างเผือก ถ้าพบหรือมีต้องส่งคืนให้ทางการเท่านั้น หนังเรื่องนี้ยังอ้างอิงไปถึงสงครามสยามกับพม่า ซึ่งมีนัยยะทับซ้อนหลายอย่าง นอกจากในแง่ความเชื่อที่ว่าช้างเผือกแสดงถึงบุญบารมี ช้างเผือกยังกลายเป็นข้ออ้างในการสร้างอํานาจและชิงอํานาจระหว่างอาณาจักรอีกด้วย สําหรับเรา ช้างเผือกจึงถูกทําให้เป็นเครื่องมือแรกๆ ในการต่อสู้ในระดับภาคพื้นดิน ในช่วงที่มนุษย์ยังรุกล้ําไปสู่ผืนฟ้าไม่ได้ และประเด็นเกี่ยวกับแม่น้ําโขง ที่เราได้อ่านข่าวเกี่ยวกับธรรมชาติของแม่น้ําโขงที่เปลี่ยนไปจากการแสวงหาผลประโยชน์ของแต่ละประเทศ เราก็บินไปอุบลราชธานีเพื่อไปดูกับตาตัวเอง และถ่ายวิดีโอแม่น้ําโขง ซึ่งแห้งมากๆ เหลือแต่โขดหินจนเราแทบจะเดินข้ามไปฝั่งลาวแบบตัวไม่เปียกได้เลย เราคิดง่ายๆ ว่า ถ้านกต้องอยู่บนท้องฟ้า แม่น้ําเป็นตัวคั่นกลาง และช้างต้องอยู่บนพื้นดิน แต่พื้นที่ทั้งสามแห่งนี้ถูกรุกล้ําล่วงละเมิดจนกลายเป็นการสร้างหายนะให้เกิดแบบขยายวงกว้างมากขึ้น
ในนิทรรศการมีประติมากรรมขนนกขนาดยักษ์ อันนี้คืออะไร
ผลงานชิ้นนี้ชื่อ And Yet the Earth Is Moved (2018) เราเอาขนปีกของบอยซ์ไปเข้าเครื่องสแกน 3 มิติ แล้วเอามาขยายเป็นงานประติมากรรมไฟเบอร์กลาสขนาดใหญ่ เพื่อสํารวจว่า ถ้าขนาดของขนนก เปลี่ยนแปลงไป เราจะมองเห็นอะไรบ้าง

การทํางานกับบอยซ์ให้อะไรกับคุณบ้าง
การทํางานกับบอยซ์ทําให้เราเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง คือเราเริ่มสนใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ มากขึ้น เริ่มมองเห็นสิ่งที่เคยมองข้าม สิ่งที่ไม่เคยถูกพูดถึง หรือความไม่ปกติในสังคม ที่กลายเป็นเรื่อง ปกติธรรมดาไป การทํางานกับบอยซ์ทําให้เราหันมาสังเกตสิ่งเหล่านี้มากขึ้น


จากจุดเริ่มต้นที่อยากได้นกแก้วมาทํางานศิลปะเท่านั้น
ใช่ ตอนนี้สําหรับเรา ผลงานศิลปะกลายเป็นของแถม ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับบอยซ์ สิ่งที่เราได้จากบอยซ์ต่างหาก ที่กลายเป็นเรื่องสําคัญกว่า ความสัมพันธ์ของพวกเราขยับไปไกลกว่าจุดเริ่มต้นมาก เรารู้สึกว่าอารมณ์เรานิ่งขึ้น จากการที่เขากลายเป็นเหมือนเพื่อนผู้สนับสนุนประคับประคองอารมณ์ ของเรา
เวลาคุณไปแสดงนิทรรศการในต่างประเทศนานๆ แบบนี้ บอยซ์ไม่เหงาแย่เหรอ
เราเคยไปหลายครั้งแล้ว ครั้งแรกที่ได้เขามาใหม่ๆ เราก็ไปเป็นศิลปินพํานักที่เยอรมันหนึ่งเดือน ระหว่างนั้นเรากลัวเขาลืมเรา เราก็วิดีโอคอลหาเขา อยู่ดีๆ คนที่บ้านก็กรี๊ด เราถามว่าเป็นอะไร เขาบอกว่า น้ําตาจะไหล เดี๋ยวถ่ายภาพให้ดู คือบอยซ์เขาคาบอาหารเม็ดที่เราซื้อให้ พยายามที่จะมาป้อนเราทางจอ อีกครั้งตอนเราไม่สบาย ด้วยความที่สัญชาติญาณของนก เขาจะต้องซ่อนโรค เพราะถ้าฝูงรู้เขาจะถูกทิ้ง เพราะเสี่ยงต่อการเกิดโรคระบาดทั้งฝูง ตอนนั้นเราปวดหัว นอนซมอยู่ เขาก็บินมาที่มือเรา แล้วก็พยายามคาบนิ้วเราให้ลุกขึ้นมานั่ง เหมือนพยายามจะสื่อสารว่า “ลุกขึ้นเถอะมามี้ เดี๋ยวจะถูกทิ้งจากฝูงนะ” ซึ่งการที่โดนฝูงทิ้งก็คือตายไง โอกาสที่จะถูกโจมตีจากศัตรูก็ง่ายขึ้น กลายเป็นว่า สิ่งที่เขามีให้เราเป็นมากกว่าสัญชาตญาน แต่เป็นเรื่องของความห่วงใย ความผูกพัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่เคยคิดว่าจะได้จากเขา เป็นอะไรที่มหาศาลกว่าที่เราคาดหวัง การใช้เวลาอยู่กับเขาทําให้เราตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตมากขึ้น เพราะถึงแม้ว่าเขาจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอายุยาวนาน แต่เราก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเขาจะอยู่ไปได้นานแค่ไหน

ที่น่าสนใจคือ งานแสดงศิลปะ (Art Fair) แบบ Frieze London น่าจะเป็นงานในเชิงพาณิชย์ ที่แกลเลอรีต่างๆ ไปออกงานเพื่อขายผลงาน แต่เท่าที่ฟังมา ผลงานของคุณมีความเป็นงาน เชิงทดลองและคอนเซ็ปชวลเอามากๆ
ใช่ งาน Frieze London จะต่างจากอาร์ตแฟร์อื่นๆ มาก มีความเป็นงานในเชิงทดลอง และเป็นผู้นําเทรนด์ทางศิลปะของอาร์ตแฟร์ในโลก แต่ในขณะเดียวกัน เราเชื่อว่างานศิลปะทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น แนวไหน มันมีตลาดของมันอยู่

ก่อนหน้านี้คุณเคยแสดงในงานแสดงศิลปะร่วมสมัยนานาชาติแบบนี้มาก่อนไหม
ไม่เคย นี่ถือเป็นครั้งแรกที่มาออกงานอาร์ตแฟร์ในรูปแบบของนิทรรศการแสดงเดี่ยว แต่ก็เป็นอะไรที่ก้ํากึ่ง เพราะเป็นนิทรรศการแสดงเดี่ยวในอาร์ตแฟร์น่ะนะ
แต่ก็เป็นนิทรรศการในโครงการพิเศษที่คัดเลือกโดยศิลปินรุ่นใหญ่ที่มีชื่อเสียง ซึ่งน่าสนใจ มาก
ใช่ เหมือนเป็นการเปิดโอกาสและเวทีให้วงการศิลปะโลกได้รู้จักกับศิลปินรุ่นใหม่ๆ จากทั่วโลก.
นิทรรศการ People Say Nothing Is Impossible, but Beuys Does Nothing Everyday โดย วันทนีย์ ศิริพัฒนานันทกูร ภายใต้การสนับสนุนของ Gallery VER จัดแสดงในงานแสดงศิลปะร่วมสมัย Frieze London กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่วันที่ 11 - 15 ตุลาคม 2023
ศิลปะแห่งความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งมีชีวิตต่างสายพันธุ์ ของ วันทนีย์ ศิริพัฒนานันทกูร ศิลปินผู้ถูกคัดเลือกให้แสดงผลงานในงาน แสดงศิลปะร่วมสมัยระดับโลก Frieze London
/
ทันทีที่ Key Visual สถาปนิก’ 68 เผยแพร่ออกมา บทสนทนาปลุกสัญชาตญาณนักสืบในตัวทุกคนพร้อมใจกันทำงานแบบ Autopilot และระหว่างที่ตามหาเฉลยกันจริงจัง ทุกคนเริ่มหันมาตั้งคำถามต่อว่า Art Toys เกี่ยวข้องกับธีมงานอย่างไร รู้ตัวอีกทีวงสนทนาก็กระเพื่อมขยายกว้างขึ้น ส่งสัญญาณชัดว่า Key Visual ปีนี้เปิดฉากมาแบบสนุกเอาเรื่อง โดนเส้นกันสุดๆ
/
วัลลภ รุ่งกำจัด หรือ อุ้ม นักแสดงที่เชื่อมโยงความเป็นมนุษย์กับโลกของภาพยนตร์ ผ่านการสร้างชีวิตให้ตัวละครต่าง ๆ ได้ออกมาโลดแล่นแสดงความรู้สึกทางอารมณ์ให้กับผู้ชม แม้เขาจะไม่ได้เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงในวงกว้างเทียบเท่ากับนักแสดงกระแสหลัก แต่ในเวทีระดับโลก “อุ้ม” ได้พิสูจน์ตัวเองกับการเป็นนักแสดงที่มีความสามารถที่ยอมทุ่มเทหลาย ๆ สิ่ง ให้กับงานศิลปะด้านการแสดงในภาพยนตร์เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้อย่างสุดตัว
/
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้เราได้รู้จักกับเธอคนนี้ในชื่อของ พัด หรือที่ชอบเรียกติดปากกันว่า พัด ZWEED N’ ROLL เจ้าของเสียงทุ้มมีเสน่ห์ นักร้องและนักแต่งเพลงที่ฝากผลงานเพลงเศร้าเอาไว้ในวงการมากมาย อาทิ ช่วงเวลา, Diary, อาจเป็นฉัน และอีกมากมาย ไม่มีอะไรแน่นอนแม้กระทั่งตัวเราเอง ช่วงเวลาจึงได้พัดพาให้เรามาทำความรู้จักกับ “MAMIO” ในฐานะศิลปินใหม่จากค่าย Warner Music Thailand ซึ่งเป็นอีกตัวตนหนึ่งของคุณพัดที่ไม่เคยถูกปลดปล่อยออกมาเลยตลอดชีวิตการทำงานในวงการสิบกว่าปีที่ผ่านมา หรือถ้าจะให้ซื่อสัตย์กับตัวเองจริง ๆ ก็อาจจะเป็นทั้งชีวิตที่เกิดมาเลยเสียด้วยซ้ำ
/
Whispers เป็นหนึ่งในวงดนตรีที่สะท้อนการเติบโตของวงการ Hardcore ในประเทศไทยอย่างแท้จริง ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงกลุ่มเพื่อนที่หลงใหลในดนตรี เพราะนอกจากจะเป็นผู้เล่น พวกเขายังเป็นกำลังสำคัญที่คอยผลักดันซีนฮาร์ดคอร์ในบ้านเรามาโดยตลอด ประสบการณ์ที่สั่งสมทำให้เกิดเป็นสไตล์เฉพาะของ Whispers สร้างความแตกต่างและเป็นเอกลักษณ์ จนทำให้พวกเขาก้าวไปสู่เวทีระดับสากล ถึงแม้พวกเขาจะอยู่ใต้ดินของไทย แต่เสียงคำรามของพวกเขาก็ดังไปไกลถึงทวีปยุโรป มาพบกับเส้นทางดนตรีที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจและการเปลี่ยนแปลง กับวงฮาร์ดคอร์ระดับบท็อปของ Southeast Asia
/
ด้วยลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์และรูปแบบงานสักของเขา ที่เรารู้สึกแปลกประหลาดกว่างานสักอื่น ๆ (แปลกประหลาดในที่นี้คือความหมายในแง่ดีนะ) ก็เลยตัดสินใจส่งข้อความทักไปหา “พี่นัทครับ ผมขอสัมภาษณ์พี่ได้ไหม” “ได้ครับ” สั้น ๆ แต่จบ เรื่องราวทั้งหมดก็เลยเริ่มต้นขึ้นที่ร้าน CAVETOWN.TATTOO แถว ๆ ปิ่นเกล้า ซึ่งพี่นัทเป็นเจ้าของร้านแห่งนี้ บทสนทนาของเราเริ่มกันในช่วงเวลาบ่าย ๆ ของวันพฤหัส พอไปถึงร้านพี่นัทกำลังติดงานสักให้กับลูกค้าอยู่หนึ่งคน พอได้เห็นลายที่เขาสักต้องบอกว่าเท่มาก ๆ มันมีความเป็น Psychedelic บวกกับ Ornamental ผสมผสานกับเทคนิค Dotwork จนกลายเป็นงานศิลปะบนผิวหนังหลังฝ่ามือ เราถึงกับต้องถามคำถามโง่ ๆ กับลูกค้าที่ถูกสักว่า “เจ็บไหม” แน่นอนคำตอบที่ได้คือ “โคตรเจ็บ” เพราะจุดที่สักคือหลังฝ่ามือ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่หลายคนร่ำลือกันว่าโคตรเจ็บ ระหว่างที่รอพี่นัทไปพลาง ๆ น้องแมคช่างภาพที่มีรอยสัก Full Sleeve เต็มแขนขวา ก็เริ่มกดชัตเตอร์กล้องถ่ายรูปเก็บภาพระหว่างที่เขาสักไปด้วย พอสักเสร็จเรียบร้อยก็ปล่อยให้พี่เขาพักผ่อนกินน้ำ ปัสสาวะ (อ่านแยกคำนะอย่าอ่านติดกัน) ก่อนจะพูดคุย แต่เดี๋ยว ! ก่อนจะเริ่มบทสนทนา เราขอเกริ่นให้ฟังซักนิดนึงเกี่ยวกับชายคนนี้ก่อน
/
ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปีวงดนตรีสัญชาติไทยที่ชื่อ KIKI ได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในวงที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากทั้งในประเทศไทย ญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ ฮ่องกง ก็เพราะด้วยเสียงเพลงที่มีความเป็นเอกลักษณ์ และการนำเสนอแนวคิดที่ไม่เหมือนใคร รวมถึงความตั้งใจในการสร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนถึงตัวตนของพวกเขาได้อย่างชัดเจน
We use cookies, localStorage and other technologies (collectively, "cookies") to recognise your browser or device, learn more about your interests, and provide you with essential features and services and for additional purposes. ( see details )